บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 669 เหล้าเซียนบ่ม
บทที่ 669 เหล้าเซียนบ่ม
บทที่ 669 เหล้าเซียนบ่ม
ณ พระราชวังแห่งการรังสรรค์
ที่แห่งนี้เหลือเพียงเฉินซีอยู่ภายในห้องโถงอันว่างเปล่า แต่เขาก็ไม่ได้กังวล มองดูรอบกายตนเอง สังเกตประตูมากมายที่เรียงรายอยู่ ก่อนจะถามขึ้นว่า “ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าข้าควรเลือกประตูบานใด?”
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง หม้อใบจิ๋วกลับไม่ได้ตอบ แต่ถามกลับว่า “รู้หรือไม่ว่านับตั้งแต่โบราณมา มีสิ่งมีชีวิตมากมายเท่าไรที่เคยมาที่นี่?”
เฉินซีชะงักไปครู่ เขาไม่รู้จะตอบอย่างไร
ยุคบรรพกาลนั้นนานเกินไป ราวกับเป็นแค่ตำนานเท่านั้น และตามที่ตำนานเล่าไว้ มันเป็นช่วงเวลาที่เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ และเพิ่งจะมีภพทั้งสามเกิดขึ้น เป็นช่วงที่ดินแดนทั้งยังคงรกร้างและวุ่นวายในเวลาเดียวกัน
ตอนนั้นทุกอย่างเพิ่งมีจิตวิญญาณและความนึกคิด เหล่าเทพอสูรได้พเนจรอย่างอิสระ ในขณะที่นักปราชญ์ก็สู้กันเพื่ออำนาจ สร้างตำนานสะท้านฟ้าดินขึ้นมามากมาย
…ตัวตนสูงส่งทรงอำนาจทั้งหลายแห่งสามภพได้ถือกำเนิดขึ้นมาในช่วงเวลานั้น
เหวเงาทมิฬเกิดขึ้นจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์โบราณที่เชื่อมต่อระหว่างภพเซียนกับภพมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่นานมากแล้ว ไม่มีใครมั่นใจว่า มีสิ่งมีชีวิตมากมายเท่าไรที่เคยเข้าไปในที่แห่งนั้น
“แท้จริงแล้ว ตั้งแต่โบราณกาลเป็นต้นมา ผู้คนก็มีจำนวนน้อยมาก เพราะเหวเงาทมิฬเพิ่งปรากฏขึ้นได้สามครั้งเท่านั้น”
“ครั้งแรกที่มันปรากฏตัวขึ้นคือยุคบรรพกาล ตอนนั้นเกิดภัยพิบัติที่ส่งผลกระทบมาถึงสามภพ ทำให้ทั้งสามภพตกอยู่ในความโกลาหล ทั้งเทพทั้งนักปราชญ์ล้วนพากันล้มตาย”
“ครั้งที่สองคือเมื่อภัยพิบัติเทพอสูรมาเยือน เทพอสูรทั้งหลายพเนจรไปมาอย่างอิสระ มีอำนาจเหนือทุกสิ่งในใต้หล้า ก่อนที่จู่ ๆ มันจะถูกลบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ หลังจากนั้นก็ไม่อาจพานพบทายาทเทพอสูรที่แท้จริงได้อีกต่อไป เราเรียกยุคนั้นว่ายุคบรรพกาล ห่างจากยุคต้นกำเนิดนับล้านปี”
“ครั้งที่สามคือเมื่อหมื่นปีก่อน แต่มันปรากฏขึ้นเพียงชั่วครู่ ราวสามชั่วยามเท่านั้น ก่อนจะหายไปอย่างน่าประหลาด ทำให้ผู้ใดก็ไม่อาจเข้าไปได้ ว่ากันว่ามีผู้ยิ่งใหญ่ที่บรรลุสู่จุดหมายแห่งเต๋ามาที่นี่ และเป็นผู้ปิดผนึกเหวเงาทมิฬเอาไว้”
“ส่วนนี่เป็นครั้งที่สี่ที่มันปรากฏขึ้น”
น้ำเสียงของหม้อใบจิ๋วราบเรียบไร้อารมณ์ ราวกับกำลังเล่าเรื่องไม่สำคัญ ก่อนจะเงียบไป
ทว่าเมื่อชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ราวกับเสียงฟ้าลั่น ทำเอาใจสั่น ก่อเกิดเป็นพายุคลั่ง เขาไม่อาจสงบจิตใจได้เป็นเวลานาน
ครั้งแรกที่เหวเงาทมิฬปรากฏขึ้นก็คือยามที่เกิดภัยพิบัติขึ้นในสามภพ เทพและปราชญ์ถึงคราวสูญสิ้น!
ครั้งที่สองที่ปรากฏขึ้นก็เกิดภัยพิบัติกับเทพอสูรแห่งสามภพ เผ่าเทพอสูรซึ่งมีพลังอันน่าเกรงขามก็ถูกลบล้างไปเช่นนั้น!
ครั้งที่สามที่มันปรากฏขึ้น แม้จะไม่ได้เกิดภัยพิบัติใหญ่หลวง แต่ก็มีผู้ยิ่งใหญ่จุติลงมาเพื่อผนึกมันไว้!
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่ที่เหวเงาทมิฬปรากฏขึ้น เช่นนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน?
หรือว่า… คงจะไม่ได้เกี่ยวกับกลียุคแห่งสามภพกระมัง?
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เฉินซีที่มักสงบอยู่ตลอดเวลาถึงขั้นตกตะลึงจนหนังศีรษะด้านชา สองครั้งแรกทำให้ปราชญ์และทวยเทพรวมถึงเทพอสูรสูญสิ้นไป เช่นนั้นครั้งนี้เล่า? จะมีเรื่องน่าผวาใดเกิดขึ้นอีก?
ชายหนุ่มไม่กล้าคิดอีกต่อไป กระทั่งผู้มีอำนาจสูงส่งอย่างเทพ ปราชญ์ และเทพอสูรยังไม่อาจหลีกเลี่ยงภัยพิบัติแห่งสามภพได้ แล้วสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในสามภพจะไปเหลืออะไร?
“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเหวเงาทมิฬเหมือนเป็นต้นเหตุแห่งภัยพิบัติ ทุกครั้งที่ปรากฏขึ้นมาจะต้องตามมาด้วยกลียุคแห่งสามภพทั้งสิ้น เหลือเชื่อเกินไปหรือไม่…?” เฉินซีพึมพำ เรื่องพวกนี้เหมือนอยู่ไกลตัวยิ่ง แต่เมื่อเกิดขึ้นจริง ใครจะกล้ามั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบถึงตนเอง?
ทว่าหลังจากนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นได้ อีกเพียงก้าวเดียวก็จะถึงด่านแห่งความลึกล้ำ เหตุใดหม้อใบจิ๋วจึงมาบอกเรื่องอะไรเอาตอนนี้?
“เมื่อเวลานั้นมาถึงเจ้าย่อมเข้าใจเอง” หม้อใบจิ๋วเหมือนอ่านใจเขาออก จึงเอ่ยคำประหลาดออกมา “เพราะเจ้าต่างจากคนอื่น”
มันเป็นคำที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อออกมาจากหม้อใบจิ๋วกลับทำให้เขารู้สึกว่ามันผิดปกติอยู่เล็กน้อย เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
เขาอยากถามว่าตนเองมีจุดใดแตกต่างจากผู้อื่น แต่สุดท้ายก็ระงับความอยากรู้เอาไว้ ด้วยชายหนุ่มรู้ดีว่าหม้อใบจิ๋วไม่เต็มใจตอบ และถึงเขาจะถามต่อไปก็อาจไร้คำตอบจากอีกฝ่าย
เหวเงาทมิฬ ภัยพิบัติใหญ่แห่งสามภพ… การบอกว่าตัวเขาแตกต่างจากผู้อื่นอย่างไร้ที่มาที่ไป นับว่าเข้าใจยากจริงเชียว เฉินซีได้แต่ถอนหายใจเสียงเบา
“ไปกันเถอะ เมื่อได้รับการปกป้องจากต้นอ่อนเงาทมิฬแล้ว เจ้าจะเลือกเข้าประตูใดก็ได้ และหากมุ่งหน้าต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะถึงใจกลางของพระราชวังแห่งการรังสรรค์เอง…” หม้อใบจิ๋วนำทาง “ส่วนสมบัติตกทอดจากตัวตนสูงส่งอะไรนั่น ข้านำทางให้ไม่ได้ เพราะข้าทำได้เพียงสัมผัสถึงตัวตนของผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหลได้เท่านั้น”
เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามดึงสติของตนเองกลับมา ก่อนจะพยักหน้าแล้วเลือกประตูอย่างสบาย ๆ จากนั้นก็รุดหน้าเข้าไป
…
ทันทีที่เดินเข้าไป ทางเดินที่ทั้งเงียบงันและทอดยาวก็ปรากฏขึ้น มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความโกลาหล ดูลึกล้ำอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าจะมีสิ่งชั่วร้ายอันตรายใดซุกซ่อนอยู่บ้าง
วิ้ง~ วิ้ง~ วิ้ง~
เมื่อเฉินซีก้าวไปคราหนึ่ง ทางเดินนั่นก็เริ่มหมุนวน พายุดาบพลันซัดออกมา มันพุ่งเข้ามาอย่างรุนแรงพร้อมกับปรากฏภาพของสิ่งมีชีวิตอันน่าผวาขึ้นมา พวกมันคำรามอย่างดุดัน ขณะปลดปล่อยพลังบีบคั้นที่ให้ความรู้สึกราวกับขุนเขากดทับลงมา
ครืน!
ทว่าเฉินซีไม่แม้แต่จะเหลือบมอง เพียงโคจรแดนฮุ่นตุ้นของตนเอง ส่งผลให้กลิ่นอายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬพุ่งสูงขึ้น ก่อนจะเริ่มพุ่งไปข้างหน้า
แล้วทันใดนั้น ภาพที่น่าตกใจก็ปรากฏขึ้น พายุดาบและภาพของสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเหล่านั้นราวกับพบจ้าวเหนือหัว พวกมันพากันหลีกทางให้ ก่อนจะสลายหายไป
ถึงขั้นที่กลิ่นอายโกลาหลซึ่งปกคลุมทางเดินเอาไว้หายไปอย่างสิ้นเชิง ทัศนวิสัยของชายหนุ่มกลับมาชัดเจนอีกครั้ง
ตอนนี้เฉินซีจึงสังเกตเห็นว่า แท้จริงแล้วผนังทางเดินถูกสร้างขึ้นจากแก่นเบญจธาตุกับหินศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ซึ่งแฝงด้วยกฎเกณฑ์และข้อจำกัดมากมาย กระทั่งพื้นดินยังมีสมบัติล้ำค่าจากฟ้าดินที่มีความลึกล้ำเรียงรายอยู่ พวกมันปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่าเกรงขามออกมา
‘ไหนขอดูหน่อยซิว่าของในทางเดินนี้เก็บไปได้หรือไม่’ เฉินซีถือกระบี่โลหิตของเผ่าหยาจื้อไว้ แล้วใช้เต๋าแห่งกระบี่ระดับสูงสุดซัดออกมา
ตู้ม!
แสงจ้าระเบิดออกไปทั่วทุกทิศ ทว่ากำแพงทางเดินไม่ขยับแม้สักนิด และไร้การตอบสนองเมื่อถูกกระบี่ของเขากระแทกเข้าไป
…เช่นนี้แปลว่าไม่ได้
เฉินซีใจสั่น กระทั่งสมบัติกึ่งอมตะถูกการโจมตีเมื่อครู่เข้าไปยังเกิดความเสียหายได้ หรือกำแพงนี่จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าสมบัติกึ่งอมตะ?
ถึงอย่างไร เขาก็มาเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่แล้ว นับตั้งแต่โบราณจนถึงตอนนี้ มีตัวตนสูงส่งมากมายที่เข้ามาที่นี่ หากมันเก็บกลับไปง่ายจริงก็คงถูกปล้นชิงไปตั้งนานแล้ว
ชายหนุ่มไม่รอช้า รีบใช้ทักษะปีกกำราบผกผันแล้วพุ่งเข้าไปในด้านในทันใด
ทางเดินนี้เต็มไปด้วยอันตรายและจิตสังหารในทุกย่างก้าว ยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งได้เห็นกระบวนท่าสังหารทั้งหลายมากขึ้น บ้างเหมือนค่ายกลสังหารขนาดใหญ่ สามารถสร้างวิญญาณดุร้ายที่มีอำนาจสูงส่งให้เข้ามาปกคลุมทางเดินไว้ได้ และเมื่อพวกมันลงมือก็ไม่ต่างจากผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาขั้นสุดยอด ดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
เฉินซีได้เห็นหุ่นเชิดสวมเกราะแปลกประหลาด พวกมันสวมเกราะทองแดง เต็มไปด้วยหนามโลหะแหลมคม ดุดันโหดเหี้ยมนัก ทั้งยังถืออาวุธร้ายแรงทั้งหลาย เช่น กระบี่ ตะขอ สามง่าม ขวาน ขวานใหญ่ และอื่น ๆ อีกมากมาย
ที่น่าตื่นตะลึงที่สุดคือหุ่นเชิดเกราะเงินที่มีอักขระยันต์ซึ่งแฝงพลังคำสาปอยู่ด้วย มันชั่วร้ายเกินพรรณนา ทำให้หุ่นเชิดทุกตัวมีพลังสูงส่งยิ่ง
นอกจากวิญญาณดุร้ายและหุ่นเชิดเกราะเงินแล้ว ก็ยังมีจิตสังหารอยู่มากมาย คลื่นจิตสังหารหลายคลื่นตีวงล้อมเข้ามายังทางเดินราวกับไร้จุดจบ
หากไม่ได้ต้นอ่อนเงาทมิฬช่วยไว้ กระทั่งเขาก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถเดินผ่านทางเดินที่สุดแสนจะอันตรายนี้ด้วยพลังบ่มเพาะในปัจจุบันของตนเองไปได้หรือไม่ด้วยซ้ำ
ระหว่างทางนั้น เฉินซีพบโครงกระดูกมากมาย บ้างแตกกระจายเพราะถูกระเบิดอย่างรุนแรง บ้างเปลี่ยนเป็นสีดำเพราะถูกพิษร้ายกัดกร่อน บ้างก็กลายเป็นกองเถ้าเนื่องจากผ่านมานานแล้ว มีรูปแบบการตายที่หลากหลายอย่างยิ่ง
เห็นได้ชัดว่าโครงกระดูกเหล่านี้คงจะอยู่มานานมาก และคงจะเสียชีวิตไปเมื่อครั้งที่เหวเงาทมิฬปรากฏขึ้นคราวก่อน
‘ไม่รู้ว่าประตูด่านอื่นจะมีอันตรายใดอยู่บ้าง?’ ชายหนุ่มพลันนึกถึงนักพรตเต๋าสุริยันชาด เหลิ่งฉานเอ๋อร์ เหวินเต้าหราน และคนอื่น ๆ ขึ้นมา
“เจ้ารนหาที่ตายแล้ว! สถานที่แห่งนี้ถูกตระกูลจูเยี่ยนของข้าพบก่อน! ดังนั้นสมบัติที่อยู่ในนั้นย่อมตกเป็นของเรา!”
“หึ! ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีความสามารถในการชิงมันไปหรือไม่!”
“น่ารังเกียจจริง!”
“กล้าเรียกนิกายอสูรกระดูกขาวว่าน่ารังเกียจอย่างนั้นหรือ? ฆ่ามัน สังหารมันให้หมดทุกคน!”
ในตอนที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง เสียงปะทะกันก็ดังขึ้นจากภายในทางเดิน เสียงตะโกนลั่นดังออกมา เหมือนกำลังถกเถียงอะไรบางอย่างกันอยู่
‘ตระกูลจูเยี่ยน? นิกายอสูรกระดูกขาว? ทั้งสองเป็นกองกำลังที่เข้ามาในพระราชวังพร้อมกับข้าไม่ใช่หรือ? เหตุใดมาปรากฏตัวที่นี่ได้?’ เฉินซีรู้สึกแปลกใจ เขาจำได้อย่างแม่นยำว่าทั้งสองเลือกประตูคนละบาน อีกทั้งตัวเขาเองก็เลือกประตูอีกบานหนึ่ง แต่ตอนนี้ทั้งหมดกลับมาพบกันเสียได้!
หรือทางเดินภายในประตูเหล่านั้นมันเชื่อมถึงกัน?
เฉินซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเคลื่อนตัวออกไปพร้อมยับยั้งกลิ่นอายของตนเองไว้ จากนั้นค่อย ๆ เข้าไปอย่างไร้เสียง
ที่นี่เป็นโถงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยแสงจ้าและกลิ่นอายจากสมบัติกระจายคลุ้ง ปราณเซียนหนาแน่นจนแทบกลั่นเป็นของเหลวกำจายอยู่รอบกาย
แต่มันเป็นห้องโถงที่ว่างเปล่า ตรงกลางมีเพียงแผ่นหินหนึ่งวางอยู่เท่านั้น บนนั้นคือหม้อหยกและถ้วยหยกที่แผ่แสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ธรรมดาเป็นแน่
ตอนนี้มีคนกว่าสิบคนกำลังต่อสู้กันอยู่ภายใน ส่งผลให้ศาสตร์เต๋าพุ่งไปมาเป็นริ้วเส้นอย่างดุเดือด คนทั้งหมดต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงหม้อหยกและถ้วยหยกบนแผ่นหินเหล่านั้น
สถานการณ์กำลังดุเดือดจนถึงขีดสุด เห็นได้ชัดว่าสู้แบบเอาชีวิตเข้าแลก
เมื่อเฉินซีมาถึง ก็รู้สึกว่าจิตวิญญาณสะอาดสดชื่น นัยน์ตาเจือแววประกาย หม้อหยกและถ้วยหยกบนแผ่นหินเหมือนถูกสลักมาจากหยกทั้งก้อน มันส่องประกายคล้ายสมบัติวิเศษ รอบข้างเห็นมีประกายแสงโปรยลงมา ดูมหัศจรรย์ยิ่ง
ถึงกับขนาดมีกลิ่นเหล้าเจืออยู่ในอากาศ แค่สูดเข้าไปคราวหนึ่งก็ทำให้เลือดในร่างเฉินซีเดือดพล่าน จิตวิญญาณรู้สึกเบาสบาย ราวกับได้รับการชำระล้างก็มิปาน
สมบัติ!
หรือจะเป็นไปได้ว่าหม้อหยกนั่นบรรจุเหล้าที่เทพเป็นผู้บ่มไว้?
เฉินซีพลันเข้าใจในทันที ถึงแม้ว่าตัวหม้อและถ้วยหยกจะเป็นของล้ำค่าหายาก แต่ในเรื่องของมูลค่านั้นพวกมันไม่อาจเทียบกับสมบัติศักดิ์สิทธิ์ภายในที่คล้ายว่าได้รับการบ่มจากเทพได้เลย!