บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 679 ยึดสมบัติ
บทที่ 679 ยึดสมบัติ
บทที่ 679 ยึดสมบัติ
ฟิ้ว!
ค่ายกลแสงทมิฬแปดขั้วปกคลุมบริเวณโดยรอบทั้งหมดของแท่นบูชา
แม้แสงสีดำแปลกประหลาดนี้จะดูน่ากลัวเสียจนขนหัวลุก แต่มันกลับท่วมท้นไปด้วยพลังอันร้อนระอุ ดูราวกับสามารถหลอมละลายและเผาผลาญทุกสิ่งให้เป็นเถ้าถ่านได้
ทันทีที่ปรากฏขึ้น มันได้ทำให้ความว่างเปล่าร้อนฉ่าเสียจนเกิดเสียงดังฟู่ จากนั้นอากาศก็เริ่มบิดเบี้ยวและม้วนตัวอย่างรุนแรง ข้อจำกัดที่แต่เดิมปกคลุมอยู่โดยรอบแท่นบูชาก็ถูกเปิดใช้งาน บังเกิดเสียงดังก้องกังวาน กระแสลมปั่นป่วนและน่าสะพรึงกลัวได้โหมกระหน่ำไปทั่วบริเวณโดยรอบ และทำให้โลกมืดหม่นลงทันที
ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!
อานุภาพของค่ายกลนี้เกือบจะบดขยี้ดวงอาทิตย์ ทลายดวงจันทร์ และทำลายท้องฟ้า อีกทั้งยังแผ่ขยายและปกคลุมลงมาอย่างฉับพลัน จึงทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเหล่านั้นไม่ทันตั้งตัว และต้องหลบหลีกอย่างทุลักทุเล
“นี่มัน!?”
“บัดซบ! เราถูกซุ่มโจมตี!”
“ช่างเป็นค่ายกลที่น่าสะพรึงกลัวเสียจริง! แสงอันดำมืดนี้ก็ร้ายกาจยิ่งนัก มันสามารถกัดกร่อนเลือดเนื้อและกระดูก หรือแม้แต่วิญญาณได้!”
“บัดซบ! นี่มันแสงอสูรเพลิงทมิฬจากพิภพแสงทมิฬซึ่งอยู่ต่างพิภพ! ผู้เปิดฉากโจมตีในครั้งนี้คือ ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ!”
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเหล่านี้มีชีวิตอยู่มายาวนาน อีกทั้งยังมีความรู้กว้างขวาง พวกเขาจึงสังเกตเห็นแทบจะทันทีว่า ค่ายกลใหญ่ที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันนี้ แท้จริงแล้วคือพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่มาจากต่างพิภพ!
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาถูกซุ่มโจมตีโดยผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ!
กี่ปีแล้วที่ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพได้ปรากฏตัวในภพทั้งสาม? ครั้งสุดท้ายที่พวกมันปรากฏตัวขึ้น ก็อยู่ในช่วงยุคบรรพกาลเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน และมันผ่านกาลเวลามานานแสนนาน มันนานเสียจนภพทั้งสามได้ลืมการมีอยู่ของพวกนอกรีตเหล่านี้ไปแล้ว
ทว่าด้านหน้าแท่นบูชาที่อยู่ภายในด่านแห่งความลึกล้ำในเวลานี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง หรือนี่จะเป็นสัญญาณบอกว่าภพทั้งสามกำลังจะเกิดกลียุคขึ้นจริง ๆ?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั้งหมดก็เคร่งขรึมขึ้น และพวกเขาไม่อาจสนใจโอสถทิพย์หรือสมบัติศักดิ์สิทธิ์มากมายบนแท่นบูชาได้อีกต่อไป ปราณเซียนดังกึกก้องไปทั่วร่างกายของพวกเขา ขณะใช้สมบัติวิเศษและพลังอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ ที่น่าสะพรึงกลัว เพื่อต้านแสงแห่งความมืดที่คืบคลานเข้าหาจากทุกทิศทุกทาง
ครืน!
ปราณเซียนพุ่งออกมาดุจมังกรสะบัดหาง ทำให้ลำแสงทั้งหลายปะทะกัน ดูราวกับภูเขาไฟหลายลูกชนกันจนปะทุขึ้น คลื่นพลังสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก จนทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยง ๆ มันดูเหมือนกับการมาถึงของภัยพิบัติวันสิ้นโลก
เมื่อเผชิญกับการซุ่มโจมตีของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพในเวลานี้ เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั้งหมดต่างไม่กล้าที่จะเก็บออมพลังแม้แต่น้อย พวกเขาต่างใช้เคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุด ร่างของพวกเขาดูยิ่งใหญ่ราวกับเทพเจ้าที่ยืนตระหง่านอยู่ใต้หล้า และทุกการโจมตีก็มีอานุภาพที่สามารถทำลายล้างได้ทั้งเมือง
ทว่าสิ่งที่ทำให้หัวใจของพวกเขารู้สึกหนักอึ้งก็คือ ค่ายกลนี้น่าสะพรึงกลัวยิ่ง และแม้ว่าพวกเขาจะรวมพลังกันนับสิบคน ทว่ากลับไม่สามารถทำลายมันได้!
ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาทุกคน กอปรกับพวกเขาได้ใช้พลังออกไปทั้งหมดและเอาชีวิตเข้าแลก แม้กระทั่งค่ายกลเซียนก็ยังถูกพวกเขาทำลาย ทว่าตอนนี้คนทั้งหมดกลับไม่สามารถทำอะไรกับค่ายกลที่อยู่ตรงหน้าได้ แล้วพวกเขาจะไม่ตกใจได้อย่างไร?
แสงแห่งความมืดอันชั่วร้ายเหล่านั้นรุนแรงยิ่งขึ้น และพวกมันก็ก่อตัวเป็นภูตผีแปลกประหลาดมากมาย จนดูเหมือนกับปีศาจที่ดุร้ายและกระหายเลือดนับไม่ถ้วน ซึ่งปิดล้อมผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีด้วยความตั้งใจที่จะกลืนกินวิญญาณและดื่มเลือดของพวกเขา
ในขณะนี้ หัวใจของเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีได้จมลงสู่ก้นบึ้ง ด้วยต่างก็รู้สึกว่าสถานการณ์นี้คับขันเป็นอย่างยิ่ง และหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาอาจจะไม่ได้รับสมบัติศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้ และต้องกลายเป็นร่างไร้วิญญาณอยู่ในด่านแห่งความลึกล้ำแทน!
“บัดซบ! ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเหล่านี้มาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดกัน พวกมันหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากกฎของเต๋าสวรรค์ในทั้งสามภพได้อย่างไร?!”
“ไม่มีประโยชน์ที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ สหายเต๋า สถานการณ์ของเราตอนนี้เสียเปรียบอย่างมาก ถึงขั้นที่ชีวิตของเราอาจตกอยู่ในอันตราย หากเรายังไม่ใช้พลังทั้งหมดออกไป ข้าเกรงว่า…”
“ฆ่าพวกมัน! ทุ่มพลังออกไปให้หมด! แม้ว่าจะต้องสละชีวิต แต่เราต้องฆ่าไอ้สารเลวต่างพิภพเหล่านี้ให้จงได้”
“ฆ่า!”
เมื่อถูกกระตุ้นด้วยความตาย ดวงตาของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที หนวดเคราของพวกเขากระพือพลิ้วด้วยความโกรธ ตัวคนดูเหมือนกับปีศาจคลุ้มคลั่งพุ่งไปข้างหน้าและคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ซึ่งท่าทางของคนทั้งหมดก็เหี้ยมโหดราวกับหมายจะเสี่ยงชีวิตจนตัวตาย
แน่นอนว่าภายใต้การโจมตีที่สิ้นหวังของพวกเขา ค่ายกลแสงทมิฬแปดขั้วก็เริ่มสั่นคลอนอย่างรุนแรง มันสั่นสะเทือนจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ และกำลังจะถูกทำลายในไม่ช้า
“ฮึ่ม! ไอ้พวกโง่เขลา พวกเจ้าอยู่ในค่ายกลแสงทมิฬแปดขั้วของข้าแล้ว แต่ยังดิ้นรนจะเอาชีวิตรอดอยู่อีกหรือ?”
ทว่าก่อนที่พวกเขาจะรู้สึกยินดี เสียงที่น่าสยดสยองและเย็นชาก็ดังขึ้น และสิ่งที่มาพร้อมกับเสียงนี้คือชายที่สวมชุดคลุมสีทอง เขาปรากฏตัวอย่างกะทันหันภายในค่ายกลใหญ่
คนผู้นี้มีรูปร่างสูงโปร่ง มีหน้าตาที่หล่อเหลา เสื้อคลุมสีทองของเขาถูกปักด้วยลวดลายแปลกประหลาดและบิดเบี้ยวมากมาย ซึ่งขับเน้นให้เจ้าตัวมีท่าทางที่แปลกประหลาดมากยิ่งขึ้น
ชายในชุดคลุมสีทองคนนี้คือเสวียนเฉิน และทันทีที่เจ้าตัวปรากฏขึ้น เขาก็เหยียดนิ้วยาวสีขาวของตนออกไป ก่อนที่จะตวัดนิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้แสงสีดำสนิทและมืดมนฟันลงมา
แสงสีดำสนิทนี้แฝงด้วยกลิ่นอายที่คลุมเครือ น่าสะพรึงกลัวและเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง ซึ่งดูจะสามารถพิพากษาทุกสิ่งในโลกได้ และทันทีที่ปรากฏขึ้น มันก็ได้ปรากฏตรงหน้าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนหนึ่งราวกับเคลื่อนย้ายมิติ
พรวด!
ศีรษะเปื้อนเลือดลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า น้ำพุเลือดสีแดงฉานก็พุ่งออกมาจากคอของคนผู้นั้น และผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนนั้นไม่ทันแม้แต่จะร้องโหยหวน ก่อนที่ร่างของเขาจะล้มลงกับพื้น
ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว กลับสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีได้!
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ หลังจากผู้เยี่ยมยุทธ์คนนั้นได้ตายลง ร่างกายของเขาก็มอดไหม้จนไม่เหลือซาก และเลือดที่สาดกระเซ็นออกมาก็ถูกดูดกลืนเข้าไปในแสงสีดำที่อยู่ในค่ายกลทั้งหมด ในชั่วพริบตาพลังของค่ายกลก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก!
เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีหวาดกลัวเสียจนวิญญาณของพวกเขาแทบออกจากร่าง เพราะพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน จะแข็งแกร่งจนสามารถสังหารสหายคนหนึ่งของพวกเขาด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้
“ฮ่า ๆๆ! ตายซะ! พวกเจ้าควรจะสูญพันธ์ไปตั้งนานแล้ว และการปล่อยให้พวกเจ้าอยู่รอดได้จนถึงตอนนี้ ก็นับว่าปรานีมากแล้ว!” เสวียนเฉินหัวเราะดังสนั่น เสียงของเขาทั้งดุร้ายและกระหายเลือดราวกับเทพอสูร
“เอาล่ะ ให้ข้าเสวียนเฉินได้เป็นผู้ปลิดชีวิตของพวกเจ้าเถิด แล้วข้าจะใช้เลือดเนื้อของพวกเจ้าสังเวยแก่ค่ายกลแสงทมิฬแปดขั้ว!”
ในขณะที่พูด เจ้าตัวก็ก้าวไปพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่สั่นสะเทือนท้องฟ้า มือของเขาปล่อยแสงสีดำนับไม่ถ้วนที่ดูเหมือนกับความมืดของราตรีอันเป็นนิรันดร์ ซึ่งแสงเหล่านี้ได้ชักนำพลังจากค่ายกลและได้หลอมรวมเข้ากับพลังของค่ายกล ทำให้มันสามารถใช้พลังของค่ายกลได้ จากนั้นมันก็โจมตีใส่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเหล่านั้นโดยตรง
“สู้จนตัวตาย!” เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั้งหมดต่างคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ในขณะที่ดวงตาของพวกเขาแทบจะถลนออกมา ในช่วงเวลาที่คอขาดบาดตายเช่นนี้ พวกเขาจะนิ่งเฉยรอความตายได้อย่างไร?
ตู้ม!
การต่อสู้ปะทุขึ้นอีกครั้ง คลื่นพลังที่รุนแรงมากมายได้ปกคลุมไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
…
ในอีกด้านหนึ่ง ภายใต้การปกป้องจากหม้อใบจิ๋ว เฉินซีจึงไม่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีของค่ายกลแสงทมิฬแปดขั้ว และในขณะนี้ความคิดของเขาก็จดจ่ออยู่ที่ผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหลบนแท่นบูชา
ฟุ่บ!
ในขณะที่เสวียนเฉินปรากฏตัวและเข้าต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี เฉินซีก็เคลื่อนไหวเช่นกัน เขาใช้ปีกกำราบผกผันและบินไปยังแท่นบูชาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะยื่นมือออกไปเพื่อคว้าผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหลมา
ตามที่หม้อใบจิ๋วกล่าว เพียงแค่ได้รับผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหลและดูดซับมันเข้าไป หม้อใบจิ๋วก็จะมีพลังเพียงพอที่จะกำจัดผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพสองคนนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่เช่นนั้น ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน มันก็มีโอกาสที่พวกเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส และอาจทำให้เฉินซีต้องทิ้งชีวิตไว้เบื้องหลังก็เป็นได้
และที่สำคัญคือ ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพสองคนนี้สามารถใช้พลังอยู่ในขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้น อันเป็นผลกระทบจากกฎแห่งเต๋าสวรรค์ของสามภพ มิฉะนั้น หากพวกเขาระเบิดพลังทั้งหมดออกมา ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะไม่ด้อยไปกว่าเซียนสวรรค์เลย
ตู้ม!
ทว่าก่อนที่ชายหนุ่มจะเข้าไปใกล้ จู่ ๆ พลังอันน่าสะพรึงกลัวและมหาศาลก็โจมตีเข้ามาจากทางด้านข้าง ทำให้เขาสั่นสะท้านและปลิวดุจว่าวที่สายป่านขาด กระดูกและเส้นเอ็นในร่างก็เจ็บปวดอย่างรุนแรงราวกับว่าร่างกายแทบแหลก จากนั้นชายหนุ่มก็กระอักเลือดออกมากบปากทันที
หากเขาไม่มีพลังของหม้อใบจิ๋วปกป้องอยู่ การโจมตีในครั้งนี้ก็สามารถปลิดชีวิตของเฉินซีแล้ว!
“เอ๊ะ ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาตัวเล็ก ๆ กลับสามารถต้านทานการโจมตีของข้าได้ด้วยหรือ?” เสียงที่ไพเราะดังขึ้นและเผยให้เห็นความประหลาดใจเล็กน้อย
เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองและเห็นหญิงสาวในชุดคลุมสีทองที่มีรูปลักษณ์งดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ซึ่งจู่ ๆ ก็ปรากฏตัวอยู่ที่ด้านข้างของแท่นบูชา และที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือนางเป็นหนึ่งในผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ!
ทันใดนั้น ความรู้สึกขมขื่นก็เอ่อล้นอยู่ในหัวใจของเฉินซี!
‘ดูเหมือนข้าจะลงมือผิดเวลาจริง ๆ เพราะอีกเพียงก้าวเดียวข้าก็จะได้สมบัติมาครอบครองแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะมีอุปสรรคเช่นนี้ปรากฏขึ้น’
“เจ้ามนุษย์โลก ถึงแม้การบ่มเพาะของเจ้าจะต่ำมาก แต่เจ้ากลับสามารถมาถึงส่วนลึกของด่านแห่งความลึกล้ำ และปรากฏตัวที่ด้านข้างของแท่นบูชาโดยที่ซ่อนตัวจากจิตสัมผัสของข้าได้ มันช่างแปลกอย่างยิ่ง”
หญิงสาวคนนี้ย่อมคือเสวียนขุย นางจดจ้องประเมินเฉินซีด้วยความประหลาดใจ และสายตาที่ลึกล้ำของนาง ดูเหมือนตั้งใจที่จะมองทะลุความลับทั้งหมดของอีกฝ่าย
“ในความคิดของข้า เจ้าที่มาจากต่างพิภพและมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ มันกลับแปลกมากกว่าเสียอีก” เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ในขณะที่เขาแอบโคจรแดนฮุ้นตุ่นของเขาอย่างลับ ๆ ทำให้อาการบาดเจ็บทั่วร่างกายฟื้นคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว
เสวียนขุยเพียงหัวเราะเยาะ โดยไม่สนใจคำถากถางและความชิงชังในคำพูดของเฉินซี นางชำเลืองมองไปที่ผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหล และกล่าวว่า “สิ่งนี่เป็นผลึกแก่นแท้จากยุคโกลาหลเมื่อครั้งที่ภพทั้งสามยังไม่ก่อตัวขึ้น มันเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ ความสามารถในการแยกแยะของเจ้าถือได้ว่าไม่เลว เพราะดูเหมือนความสนใจของเจ้าจะมุ่งไปที่มัน โดยไม่เหลือบแลสมบัติเหล่านั้นเลย”
เฉินซีเม้มริมฝีปากแน่นและนิ่งเงียบ แต่เขากลับสื่อสารกับหม้อใบจิ๋วในใจอย่างรวดเร็ว
“ท่านผู้อาวุโส เหตุใดเราถึงไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ ข้าจะรั้งนางเอาไว้ และท่านไปก็เอาผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหลด้วยตัวเอง จากนั้นท่านค่อยจัดการกับพวกมันทั้งสองคน”
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือ?” หม้อใบจิ๋วรู้สึกเล็กลังเลเล็กน้อย
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร หากข้ายังไม่ลอง” เสียงของเฉินซีเผยให้เห็นถึงความแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว
“เอาล่ะ ตราบใดที่เจ้ายังมีลมหายใจ ข้าจะช่วยชีวิตเจ้าให้ฟื้นคืนมาอย่างแน่นอน!” ทันทีที่พูดจบ หม้อใบจิ๋วได้กลายเป็นแสงและพุ่งเข้าหาผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหลอย่างรวดเร็ว
“หืม? อยู่ต่อหน้าข้า นี่เจ้ายังกล้าเล่นลูกไม้ชั้นต่ำอีกหรือ?” ดวงตาของเสวียนขุยกลายเป็นเย็นชา นางสะบัดแขนเสื้อไปทางหม้อใบจิ๋วด้วยความตั้งใจที่จะหยุดและทำลายมัน
โอม!
อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่นางเคลื่อนไหว กระดองเต่าที่แตกหัก ซึ่งแต่เดิมลอยอย่างเงียบ ๆ อยู่บนแท่นบูชา จู่ ๆ ก็สั่นสะท้านอย่างกระทันหัน ก่อนที่จะพุ่งลงมาราวกับว่ามันถูกอัญเชิญ
ฉากนี้ทำให้เสวียนขุยอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง และการเคลื่อนไหวของนางก็ช้าลงเล็กน้อย
“ข้าลืมบอกเจ้าไป แท้จริงแล้ว เป้าหมายของข้าคือกระดองเต่าชิ้นนี้ต่างหาก” เฉินซียิ้มเบา ๆ ขณะที่เขายื่นมือออกไป ตั้งใจที่คว้ากระดองเต่าที่แตกหัก
ในขณะนี้ เสวียนขุยไม่อาจหันเหความสนใจเพื่อหยุดและทำลายหม้อใบจิ๋วได้อีกต่อไป นางยื่นมือออกไปเพื่อฟาดแสงสีดำแปลก ๆ ที่บินตรงไปหาเฉินซี
นางรู้สึกมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า และไม่สามารถแยกแยะความจริงในคำพูดของเฉินซีได้ แต่หญิงสาวก็ตระหนักเป็นอย่างดีว่า ตราบใดที่นางฆ่าเฉินซีได้ ทุกอย่างก็จะได้รับการแก้ไข!
ปัง!
ความแข็งแกร่งของเสวียนขุยนั้นน่ากลัวเกินไป และการโจมตีของนางดูเหมือนจะทะลุพันธนาการแห่งอวกาศไปเมื่อนานมาแล้ว ทำให้มันรวดเร็วเป็นพิเศษและทรงพลังอย่างน่าสะพรึงกลัว เฉินซีไม่มีเวลาแม้แต่จะตอบโต้ ทำให้เขาถูกระเบิดจนปลิว บาดแผลฉกรรจ์ปรากฏขึ้นบนร่างกายของชายหนุ่มนับไม่ถ้วน และกระดูกในร่างกายของเขาก็แตกหักไปมากมาย
เพียงแค่โจมตีเพียงครั้งเดียว กลับทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส และเกือบสิ้นชีวิต!