บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 683 ต่อสู้กับเซียนสวรรค์
บทที่ 683 ต่อสู้กับเซียนสวรรค์
บทที่ 683 ต่อสู้กับเซียนสวรรค์
ที่หน้าด่านแห่งความลึกล้ำ บนยอดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
เงาร่างที่หล่อเหลาดูจะโผล่ออกมาจากอากาศ อีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมขนนกและครอบมงกุฎรูปดาวอยู่บนศีรษะ ดวงตาเต็มไปด้วยวงแสงมากมาย ทำให้ตัวคนดูเหมือนกับภาพลวงตาที่ลี้ลับและท่วมท้นไปด้วยปราณเซียน
ชายหนุ่มผู้นี้มีผิวที่ขาวและกระจ่างใสมาก นิ้วของเขาเรียวยาว ละเอียดและบอบบาง มีบุคลิกที่สำรวมดุจบัณฑิตที่ยากไร้ แต่มากด้วยพรสวรรค์จากโลกมนุษย์
ทว่ากลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวกลับแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเขา ราวกับคนผู้นี้สามารถควบคุมอวกาศได้ดั่งใจ สามารถพลิกฟ้าดินให้ตาลปัตรอย่างง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ และดูเหมือนกฎแห่งจักรวาลจะถูกสร้างมาเพื่อเขา!!
พร้อมกับรูปลักษณ์ ฟ้าดินอันกว้างใหญ่ดูจะเงียบสงัด ทุกซอกทุกมุมเต็มไปด้วยความเงียบสงบ และความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ปิงซื่อเทียน!
นัยน์ตาของชายหนุ่มพลันหรี่ลงทันทีเมื่อเห็นคนผู้นี้ จากนั้นใบหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง เพราะไม่ว่าจะเค้นสมองสักเท่าใด เขาก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงปรากฏตัวที่นี่
“นี่คือด่านแห่งความลึกล้ำในตำนานหรอกหรือ? ช่างน่าเสียดาย ข้ารู้สึกได้ว่าที่แห่งนี้เต็มไปด้วยปราณหายนะและความตาย มิฉะนั้น ข้าก็คงเข้าไปแล้วดูว่าสมบัติเช่นใดที่ซ่อนอยู่ข้างในนั้น”
ปิงซื่อเทียนจัดท่าทางให้สง่างามและเอามือไพล่หลังไว้ ในขณะที่มองไปยังด่านแห่งความลึกล้ำและถอนหายใจเบา ๆ
หลังจากนั้นสายตาของเขาก็ชำเลืองไปทางเฉินซี และหลังจากจ้องมองอีกฝ่ายอยู่นาน เจ้าตัวก็ถอนหายใจและกล่าวว่า “ไม่นึกเลยว่า หลังจากไม่ได้พบกับเจ้าเพียงครึ่งปี ฝีมือของเจ้ากลับเติบใหญ่จนแม้แต่สือซานก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังได้รับโชคลาภจากดินแดนรังสรรค์กระบี่ครั้งแล้วครั้งเล่า และเป็นคนเดียวที่เดินออกมาจากด่านแห่งความลึกล้ำได้อย่างปลอดภัย จนแม้แต่ตัวข้าก็ยังต้องยอมรับว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะที่มีวาสนาเทียมฟ้า และหากข้าปล่อยให้เจ้าปีกกล้าขาแข็งมากกว่านี้ บางทีเจ้าอาจกลายเป็นสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ก็เป็นได้”
ความเย็นได้แผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของเฉินซี เพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าปิงซื่อเทียนจะรู้ถึงการกระทำของตัวเขาตั้งแต่เข้าไปในเหวเงาทมิฬได้อย่างละเอียด
‘หรือว่าบางทีมันอาจซ่อนตัวอยู่และคอยติดตามข้ามาตั้งแต่แรก?’
“แต่น่าเสียดาย…” ปิงซื่อเทียนส่ายศีรษะ
“น่าเสียดายอันใด?” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ เขาค่อย ๆ ระงับความประหลาดใจและความวิตกกังวลในใจ ทว่าเส้นประสาททั่วร่างของชายหนุ่มกลับตึงขึ้ง เพราะเฉินซีรู้ว่าอีกฝ่ายมาด้วยเจตนาร้าย!!
ถึงขนาดที่เขาพอจะคาดเดาได้ว่า เหตุผลที่ปิงซื่อเทียนปรากฏตัวในเหวเงาทมิฬครั้งนี้ก็เพื่อฆ่าเขาอย่างแน่นอน!
เพราะถึงอย่างไร ในสายตาของคนผู้นี้ เฉินซีก็เป็นดั่งเสี้ยนหนามในใจ เนื่องจากชายหนุ่มมีความสัมพันธ์กับชิงซิ่งอี้ อีกทั้งเขายังเคยคุกคามเฉินซีอยู่หลายครั้งตอนที่อยู่ในสมรภูมิบรรพกาล หากอีกฝ่ายบอกว่ามาที่นี่เพียงเพื่อพูดคุย มันก็คงเป็นเรื่องตลกร้ายยิ่ง
ยิ่งกว่านั้น คนผู้นี้ไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา ถึงแม้เขาจะเดิมพันกับเฉินซีเอาไว้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้กล่าวว่าจะไม่ลงมือกับเขาภายในหนึ่งร้อยปีนี้!
ตัวอย่างเช่น เมื่อหลายเดือน ตอนที่เฉินซีมุ่งหน้าไปยังเมืองรอยจันทราของแคว้นสือ เพื่อจัดการอสูรไก่ฟ้าทมิฬทั้งเจ็ด เขาได้ทราบจากประมุขนิกายอู่จือฉงแห่งนิกายวายุม่วงว่า การหายตัวไปของชิงอวี่ผู้เป็นศิษย์พี่ของเขานั้น ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสเยว่ฉือของยอดเขาจรัสตะวันออกแห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง แต่ยังเกี่ยวข้องกับปิงซื่อเทียน และเป้าหมายของพวกมันก็คือจัดการกับเขา!
เฉินซีจดจำเรื่องเหล่านี้ไว้ในหัวใจ ดังนั้นเมื่อเห็นปิงซื่อเทียนปรากฏตัวขึ้น เขาก็มั่นใจทันทีว่าคนผู้นี้จะไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน
“ช่างน่าเสียดาย คนหนุ่มที่มีพรสวรรค์อย่างเจ้า ผู้มีศักยภาพพอที่จะกลายเป็นสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ได้ แต่กลับต้องมาตายด้วยน้ำมือของข้าในวันนี้ นอกจากนี้สมบัติล้ำค่าต่าง ๆ ที่เจ้าได้มาจากดินแดนรังสรรค์กระบี่ และด่านแห่งความลึกล้ำนั้น ต้องตกมาอยู่ในมือของข้าแทน ดังนั้นข้าจึงถอนหายใจด้วยความรู้สึกว่า ความพยายามและวาสนาทั้งหมดของเจ้ากลับต้องสูญสลายในชั่วพริบตา”
ทันใดนั้น สายตาของปิงซื่อเทียนพลันเปลี่ยนเย็นชาและดุร้าย ในพริบตาเดียว… กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวก็กลืนกินฟ้าดินทั้งหมด และมันก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อากาศปั่นป่วนอย่างรุนแรง จนเกิดเสียงหวีดหวิวอยู่โดยรอบ อีกทั้งยังสะท้านไปถึงชั้นเมฆ มันสลายตัวทีละนิดก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ทุกสิ่งในใต้หล้าในเวลานี้ดูจะสังเกตเห็นจิตสังหารของปิงซื่อเทียน สายลมและมวลเมฆต่างโหมกระหน่ำอย่างเกรี้ยวกราด ฟ้าดินก็เหมือนจะมืดดับลง กลิ่นอายที่ทำให้วิญญาณสั่นสะเทือนแผ่ขยายออกไปเต็มท้องฟ้าและผืนดิน!
“ดูเหมือนเจ้าจะกลัวว่า หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยปี ข้าจะเติบใหญ่จนสามารถคุกคามเจ้าได้และทำให้เจ้าต้องแพ้พนัน ดังนั้นเจ้าจึงไม่อาจอดกลั้นและต้องการฆ่าข้าเพื่อปิดปากสินะ!?”
เฉินซีสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ จึงเกร็งไปทั้งตัวอย่างอดไม่ได้ อย่างไรก็ตาม แม้เผชิญกับแรงกดดัน เขากลับถากถางอย่างไม่จบสิ้น และน้ำเสียงของชายหนุ่มก็เต็มไปด้วยการเย้ยหยัน!
ปิงซื่อเทียนคำรามอย่างเย็นชา “ข้าปิงซื่อเทียนเป็นเซียนสวรรค์ที่น่าภาคภูมิใจ เหตุใดข้าต้องมีเหตุผลที่จะฆ่ามดปลวกด้วยหรือ?”
ตู้ม
ทว่าก่อนที่เสียงของเขาจะดังก้องไปทั่วท้องฟ้า เฉินซีก็ลงมืออย่างฉับพลัน เต๋ารู้แจ้งดังก้องไปทั่วทั้งร่างกายของชายหนุ่ม ในขณะที่ปีกกำราบผกผันอาบไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ และเนตรเทวะแห่งความจริงก็เปิดออกตรงหว่างคิ้วอย่างกะทันหัน โดยมีแสงแห่งการทำลายล้างก็กะพริบอยู่ภายในนั้น!
นอกจากนั้น กระบี่ที่มีสีแดงเข้มเหมือนเลือดได้ปรากฏขึ้นที่มือขวาของเขา และพุ่งเข้าใส่ปิงซื่อเทียนราวกับสายฟ้าฟาด ฟาดฟันด้วยกระบี่เล่มนี้ลงไป!
ในขณะนี้ พลังต่อสู้หกเท่าของเขาได้ถูกใช้ออกมาจนถึงขีดสุด กระบี่เปื้อนเลือดเองก็พวยพุ่ง เผยความลึกล้ำที่หลากหลายของมหาเต๋า จนบังเกิดเป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ต่าง ๆ เช่น สายฟ้า สายลม ดวงดาว และอื่น ๆ
กระบี่เปื้อนเลือดนี้เป็นศัสตราศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าหยาจื้อ แม้ว่ามันจะไม่มีวิญญาณศัสตรา แต่พลังของมันเทียบได้กับสมบัติอมตะ ในขณะนี้เฉินซีได้ใช้พลังทั้งหมดของเขา และอานุภาพของมันก็น่าเกรงขามมาก แม้ว่าเยี่ยนสือซานจะออกโรงมาเอง แต่อีกฝ่ายก็คงถูกฟันด้วยกระบี่นี้จนตายอยู่ดี!
ในขณะนี้ เฉินซีดูราวกับเป็นยักษ์ที่แยกสวรรค์และโลกออกจากกัน เขาก้าวขึ้นไปบนท้องฟ้าและผ่านพ้นอวกาศที่ไร้ขอบเขต ก่อนจะฟันกระบี่ลงมาในคราวเดียวก็สามารถแยกสวรรค์และโลกออกจากกัน
การฟันกระบี่ครั้งนี้เป็นที่สุดของการฟันนับตั้งแต่ชายหนุ่มได้บ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ เขาทุ่มชีวิตและพละกำลังทั้งหมดที่มีออกไป เพราะรู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า แม้ปิงซื่อเทียนที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นเพียงร่างจำแลงเซียนสวรรค์ แต่ความแข็งแกร่งของมันก็น่าสะพรึงมาก ถึงขั้นที่อีกฝ่ายสามารถดูแคลนผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตปฐพีส่วนใหญ่ในภพมนุษย์ได้!
สำหรับตัวเขา ปิงซื่อเทียนเป็นภัยคุกคามที่สุดแสนจะอันตราย
ชายคนนี้มุ่งมั่นจะฆ่าเขาให้จงได้ เพราะปิงซื่อเทียนต้องการเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับชิงซิ่วอี้ และเพื่อให้ได้ชัยชนะในการเดิมพันระหว่างตนเองกับเฉินซี เขาจึงต้องการฆ่าเฉินซี!
ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน เฉินซีย่อมรู้ดีว่าเขาไม่สามารถต่อสู้กับอีกฝ่ายได้ ชายหนุ่มจึงต้องเปิดฉากโจมตีอย่างสายฟ้าแลบ เพราะบางทีเขาอาจมีโอกาสหลบหนีเอาตัวรอดมากขึ้น ด้วยหากไม่เป็นเช่นนั้น ผลของการตกเป็นเป้าหมายของคนผู้นี้ก็ยากจะจินตนาการได้
กระบี่เปื้อนเลือดได้บรรจุพลังทั้งหมดของเฉินซี และฟันลงไปที่ศีรษะของปิงซื่อเทียน
ในขณะนี้ เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่ง
ปิงซื่อเทียนไม่ได้ขยับเลยสักนิด เขาเพียงชำเลืองมองเฉินซีที่พุ่งเข้ามาหา ราวกับกำลังจ้องมองของเล่นเด็กอยู่
ทันทีที่กระบี่เปื้อนเลือดฟันลงมาเหนือศีรษะ ทันใดนั้น ปิงซื่อเทียนก็เหยียดฝ่ามือเรียวขาวออกไปและคว้าจับ
ขวับ!
ฝ่ามือที่ขาวราวกับหยกของเขา แท้จริงแล้วกลับคว้าเข้าใส่การโจมตีของกระบี่เปื้อนเลือด และมันไม่ได้ระคายผิวของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย!
การฟันด้วยศัสตราศักดิ์สิทธิ์ที่เปรียบได้กับสมบัติอมตะของเผ่าหยาจื้อ และสามารถสังหารเยี่ยนสือซานได้กลับถูกต้านทานได้อย่างง่ายดายด้วยการคว้าจับของปิงซื่อเทียน
เขาไม่ได้ใช้สมบัติอมตะหรือพลังแห่งกฎเกณฑ์อันทรงพลัง ปิงซื่อเทียนเพียงแค่ยื่นฝ่ามือเรียวขาวออกมาเท่านั้น!
…การบ่มเพาะของเขานั้นต้องน่าเกรงขามเพียงใด จึงจะบรรลุสิ่งนี้ได้?
เฉินซีรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก หรือว่านี่คือความสามารถของเซียนสวรรค์?
เซียนสวรรค์เป็นเซียนที่แท้จริง แม้ว่าเซียนปฐพีจะมีคำว่าเซียนในขอบเขตการบ่มเพาะ แต่ความแข็งแกร่งของเซียนปฐพีนั้นบรรลุเพียงจุดสูงสุดของภพมนุษย์เท่านั้น และไม่ถือว่าเป็นเซียนที่แท้จริงของภพเซียน
มีเพียงเซียนสวรรค์เท่านั้นที่เป็นเซียนที่แท้จริงของภพเซียนและเป็นของสวรรค์! พวกเขาท่องไปทั่วจักรวาลอย่างอิสระเหนือสวรรค์ทั้งเก้า และคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์
ความห่างชั้นระหว่างการบ่มเพาะของทั้งสองคนนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว และไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอย่างสิ้นเชิง
ในตอนนี้ เฉินซีเข้าใจแล้วว่า ความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด และตัวเขาไม่ต่างกับมดที่พยายามเขย่าต้นไม้ใหญ่!
“ช่างเป็นสมบัติที่ยอดเยี่ยมเสียนี่กระไร! กระบี่เล่มนี้ครั้งหนึ่งเคยดื่มเลือดของนักปราชญ์และมีพลังที่ไร้ขอบเขต น่าเสียดายที่มันตกอยู่ในมือของเจ้า ราวกับไข่มุกที่ส่องประกายวาววับที่ถูกโยนลงไปในความมืดมิด ดังนั้นจงมอบมันให้ข้าดูแลเถิด!”
ท่าทางของปิงซื่อเทียนนั้นไม่แยแสเหมือนราชาผู้ยิ่งใหญ่ ในขณะที่ปราณเซียนที่ลุกโชติช่วง ก็พวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือสีขาวและเรียวยาวที่จับกระบี่ไว้อยู่ ก่อนที่จะผสมผสานเข้ากับพลังของกฎอันน่าสะพรึงกลัว และดูเหมือนว่ามันกำลังถอนสายพิณ กระแทกซ้ำไปซ้ำมาบนผิวของกระบี่เปื้อนเลือด!
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
คลื่นเสียงที่กระทบกันอย่างรวดเร็วนั้น เขย่าฟ้าดินและดังกึกก้องไปทั่วหล้า ในขณะที่โลกทั้งใบดูจะถูกปกคลุมด้วยกฎที่ลึกซึ้ง จนแม้แต่แสงและดวงดาวทั้งหมดก็ยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย มีเพียงมวลปราณเซียนที่ลุกโชนนี้เท่านั้นที่ยังคงอยู่
มวลปราณเซียนลูกนี้ฟาดลงบนกระบี่เปื้อนเลือดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งที่มันโจมตี พลังอันน่าสะพรึงกลัวจะไหลเข้าสู่ร่างกายของเฉินซี และทำให้เขาสั่นสะท้านจนเลือดลมในร่างกายไหลย้อนกลับ ในขณะที่อวัยวะภายในของชายหนุ่มดูเหมือนกับถูกฟ้าผ่าและกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ
“เฉินซี เจ้าเป็นแค่มนุษย์ ในขณะที่ข้าเป็นเซียน คนหนึ่งต้องใช้ชีวิตต้อยต่ำอยู่บนพื้นดิน ในขณะที่อีกคนหนึ่งใช้ชีวิตอย่างอิสระบนสรวงสวรรค์ แล้วเจ้าจะสู้ข้าได้อย่างไร?” ท่าทีของปิงซื่อเทียนเย็นชาและไม่แยแส ราวกับว่าเขากำลังมองมดตัวเล็ก ๆ ที่จะต้องตายอย่างแน่นอน น้ำเสียงของเจ้าตัวเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เหนือกว่าและดูถูก “เจ้าควรที่จะยินดี เพราะเจ้าจะตายด้วยน้ำมือของข้า!”
ในขณะนี้เฉินซีตระหนักได้ว่า ภัยคุกคามถึงชีวิตได้มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว และเมื่อเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวเช่นนี้ มีเพียงต้องใช้ไพ่ตายเท่านั้นถึงจะมีโอกาสหลบหนี และเมื่อเขาบ่มเพาะสำเร็จแล้ว จึงจะค่อยกลับมาต่อสู้กับปิงซื่อเทียนอีกครั้ง
ครืน!
เฉินซีคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ในขณะที่แดนฮุ่นตุ้นภายในร่างกายของเขาก็โคจรอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ปราณแท้ของชายหนุ่มเดือดพล่าน และแม้แต่ปราณเซียนที่ปล่อยออกมาจากต้นอ่อนเงาทมิฬก็พวยพุ่งขึ้นสูง มันถูกใช้และเผาผลาญอย่างรุนแรง
เดิมที ต้นอ่อนเงาทมิฬนั้นหยั่งรากอยู่ภายในแดนฮุ่นตุ้นของเขา และจะปล่อยปราณเซียนออกมาเพื่อหล่อเลี้ยงและเสริมความแข็งแกร่งให้กับแดนฮุ่นตุ้นของเฉินซี ภายใต้ภาวะเหล่านี้ หากได้พบกับผู้เยี่ยมยุทธ์ในระดับเดียวกัน ชายหนุ่มจะสามารถต่อสู้กับคนคนนั้นได้ทั้งวันทั้งคืน ปราณแท้ของเขาจะไม่เหือดแห้งแม้แต่น้อย และทำให้คู่ต่อสู้หมดแรงจนตาย
แต่ตอนนี้เฉินซีกำลังเผชิญหน้ากับเซียนสวรรค์อย่างปิงซื่อเทียน แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงร่างจำแลง แต่ก็น่ากลัวยิ่งกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีส่วนใหญ่ในโลก และความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ก็ไม่อาจหยั่งถึงได้!
ทันทีที่ลงมือ เฉินซีก็เริ่มเผาผลาญปราณแท้ภายในแดนฮุ่นตุ้นของเขา และเป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มใช้ปราณเซียนที่ปล่อยออกมาจากต้นอ่อนเงาทมิฬ ทำให้การบ่มเพาะของเขาระเบิดพลังอย่างเต็มที่!
ภายใต้คำสั่งของเต๋าแห่งยันต์อักขระ มหาเต๋านับสิบที่อยู่ในแดนฮุ่นตุ้นก็โคจรจนระดับสูงสุด ในขณะที่ศาสตร์เต๋าระดับสูงสุดทั้งสี่สิบเก้าเคล็ด และความลึกล้ำทั้งหลายที่มีอยู่ในสัจธรรมสวรรค์ก็ถูกเฉินซีใช้ออกไปทั้งหมด
การโคจรปราณแท้และศาสตร์เต๋าจนถึงระดับสูงสุด ทำให้ร่างกายของเขาเดือดพล่านจนดูเหมือนดวงอาทิตย์ที่แผดเผา มันได้ปลดปล่อยพลังแฝงภายในร่างกายของเขาทั้งหมดออกมาในเวลานี้!
ร่างกายทั้งหมดของเฉินซีในเวลานี้ดูเหมือนจะกลายเป็นมหาสมุทรแห่งอักขระยันต์ และภายในมหาสมุทรก็มีสายลม เมฆ สายฟ้า ธาตุทั้งห้า หยินหยาง หรือเต๋ารู้แจ้งชนิดอื่น ๆ อีกมากมายกำลังส่งเสียงดังกึกก้อง ยิ่งกว่านั้น พวกมันยังให้ความรู้สึกที่อิสระอย่างลึกซึ้ง เผยสภาวะที่ไม่มีตัวตนออกมา
กระบี่เปื้อนเลือดในมือเปล่งแสงสีเลือดออกมาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน มันย้อมฟ้าดินให้กลายเป็นสีแดงเลือด และหลังจากนั้น ฉากอันน่าสยดสยองของนักปราชญ์ที่ถูกเข่นฆ่าไปมากมาย และเลือดที่สาดกระเซ็นไปทั่วท้องฟ้าสีครามก็อุบัติขึ้น!
“หากนักปราชญ์ไม่ตาย การปล้นชิงก็จะไม่มีวันสิ้นสุด กระบี่แห่งโลหิตนั้นไร้ขอบเขต และมันโหยหาที่จะทำลายสัมผัสทั้งหกของฟ้าดิน!” ถ้อยคำที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์เร่าร้อนพลันหลั่งไหลเข้ามาในหัวใจของเฉินซีโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเขาก็ตะโกนออกมาดุจเสียงฟ้าร้อง ขณะที่ชายหนุ่มฟันกระบี่เปื้อนเลือดลงมาอย่างดุเดือด
ตู้ม!
บาดแผลปรากฏขึ้นบนมือขาวและเรียวยาวที่จับกระบี่เปื้อนเลือดไว้แน่นของปิงซื่อเทียน และเลือดสีทองที่ส่องประกายก็ไหลออกมา!