บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 685 แดนเนรเทศ
บทที่ 685 แดนเนรเทศ
บทที่ 685 แดนเนรเทศ
ครืน! ครืน! ครืน!
คลื่นโคลนสีดำที่พลุ่งพล่านเป็นเหมือนกับมังกรเกรี้ยวกราดที่ม้วนตัวและส่งเสียงคำราม เสียงของพวกมันดังก้องดุจเสียงของฟ้าร้อง ก้อนหินกระเด็นขึ้นสู่ท้องฟ้า ในขณะที่คลื่นปั่นป่วนซัดเข้าหาฝั่ง และมันสุดแสนจะอันตราย
เหยี่ยวกระดูกที่มีรูปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวบินผ่านริมฝั่งแม่น้ำ และถูกคลื่นยักษ์ซัดเข้าอย่างจัง ทำให้มันตกลงสู่แม่น้ำและหายไปในพริบตา
แม่น้ำสายใหญ่นี้สุดแสนจะอันตราย น้ำของมันขุ่นมัวและไหลเชี่ยวเป็นอย่างมาก ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายไม่กล้าเข้าใกล้
ทว่าในเวลานี้กลับมีร่างสีดำลอยอยู่กลางแม่น้ำเหมือนจอกแหนที่ล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย หากดูดี ๆ แล้วละก็ มันคือร่างของคน!
ร่างกายของคนผู้นี้เปียกโชก ผิวหนังปริแตก และถูกน้ำในแม่น้ำพัดพาจนซีดเซียว จนไม่อาจเห็นสีแดงระเรื่อของเลือดได้จากตัวคน อีกทั้งยังเห็นชิ้นส่วนกระดูกที่แตกหักโผล่ออกมาจากร่างกาย ซึ่งร่างกายของคนผู้นี้แทบไม่มีส่วนไหนที่ไม่บุบสลายเลยแม้แต่ส่วนเดียว และอาการบาดเจ็บก็ดูสาหัสมาก
เฉินซีไม่เคยนึกมาก่อนว่าหลังจากที่หม้อใบจิ๋วได้เปิดมิติและพาเขาหนีออกมา ปลายทางกลับเป็นแม่น้ำไหลเชี่ยวกรากที่รอเขาอยู่ ซึ่งก่อนจะทันได้ตอบสนอง เขาก็ถูกกระแสน้ำพัดพาไปไกล ราวกับท่อนไม้ผุ ๆ ที่ไหลไปเรื่อย ๆ อย่างควบคุมไม่ได้
ไม่เพียงแค่นั้น ตลอดทางเฉินซียังถูกโขดหินกระแทกนับครั้งไม่ถ้วน และร่างกายที่บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้วของเขาก็แทบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ แม้กระทั่งอวัยวะภายในก็ยังบาดเจ็บจากการกระแทกอย่างรุนแรงนี้
ในตอนนี้ ร่างกายของเฉินซีมีบาดแผลฉกรรจ์และรอยฟกช้ำมากมาย เส้นชีพจรภายในร่างกายของเขาเสียหาย ในขณะที่แดนฮุ่นตุ้นของชายหนุ่มก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ ส่งผลให้ร่างกายของเขาเหมือนกับก้อนสำลีเปื่อยยุ่ย พลังชีวิตแห้งเหือด ทำให้ตัวคนไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว!
“ข้า…กำลังจะตายหรือ? ไม่…ข้าไม่ยอมตาย!”
เฉินซีฝืนลืมตาขึ้น แต่เขาพบว่าแม้แต่เปลือกตาของตนก็ยังหนักอึ้งและไม่สามารถเปิดได้ บางครั้งสติของเขาก็ชัดเจน บางครั้งก็พร่ามัว ชายหนุ่มดูเหมือนกับคนใกล้ตาย และสามารถสิ้นลมได้ทุกขณะ
โครม!
ในเวลาต่อมา ศีรษะของเฉินซีก็ชนเข้ากับก้อนหินโดยตรง ความเจ็บปวดนั้นรุนแรงราวกับเจาะเข้าไปในหัวใจของเขา จากนั้นการมองเห็นของชายหนุ่มก็มืดลง …หมดสติไป
…
“เสี่ยวเฉิน ระวังตัวด้วย แม่น้ำนรกนี่เชี่ยวกรากมาก อย่าได้เข้าใกล้มันมากนัก”
“ท่านลุงเหมิงเหวย อย่าได้กังวลเลย ข้าไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ”
“ฮ่า ๆ ยัยหนู ความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งของเจ้านั้น เหนือกว่าคนอื่น ๆ ในเผ่ายิ่งนัก”
“ฮิ ฮิ ท่านลุงเหมิงเหวย ข้าจะเป็นอันดับหนึ่งในเผ่า ดังนั้นข้าย่อมไม่เกรงกลัวสิ่งใดอยู่แล้ว”
ที่นี่เป็นสถานที่รกร้างซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำสีดำที่กว้างใหญ่ มันถูกปกคลุมด้วยก้อนหินทุกขนาดทุกรูปร่าง มันรกร้างและแห้งแล้งเหลือเกิน แม้แต่สภาพอากาศก็ยังมืดและชื้น
ท้องฟ้าดูจะก่อตัวขึ้นจากชั้นเถ้าถ่านที่หนาทึบ ทำให้แสงแดดถูกขวางกั้น ส่งผลให้สภาพแวดล้อมถูกปกคลุมด้วยสีเทาดำ และไม่มีทางที่จะเห็นแสงแดดที่นี่ได้
จากระยะไกล ร่างใหญ่และเล็กเข้ามาใกล้แม่น้ำสายใหญ่นี้
ร่างหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนร่างกำยำ คิ้วหนา ดวงตากลมโต และหน้าผากกว้าง เขาสวมชุดหนังสัตว์ธรรมดาที่เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่แข็งแรงดุจหิน ถือคันธนูสีดำสนิทที่มีคุณภาพต่ำซึ่งทำจากเขาของสัตว์ร้ายไว้
ที่ด้านข้างของชายวัยกลางคนคือ เด็กหญิงที่มีผมสีดำนุ่มสลวยที่ปล่อยลงมาบนไหล่ของนาง ดวงตากลมโตของเด็กหญิงทั้งชัดเจนและสดใส นางสวมชุดหนังสัตว์ที่คล้ายกัน ซึ่งเผยให้เห็นแขนและขาเรียวขาวคู่หนึ่ง
แม้ว่านางจะสวมชุดหนังสัตว์เนื้อหยาบ แต่มันก็ไม่อาจปกปิดความงามและความน่ารักของเด็กหญิงได้ ซึ่งรูปลักษณ์ที่อ่อนเยาว์ของนางก็เผยให้เห็นถึงความดุร้ายที่ดื้อรั้นอย่างชัดเจน
เด็กหญิงถือถังไม้ที่สูงกว่านางด้วยซ้ำ แต่ท่าทีกลับดูผ่อนคลาย ขณะเดินไปที่ริมแม่น้ำ ก่อนจะย่อตัวลงไปตักน้ำขึ้นมา
“เสี่ยวเฉิน ให้ข้าทำเถอะ” ชายวัยกลางคนร่างกำยำที่มีนามว่าเหมิงเหวยกวาดสายตามองแม่น้ำที่เชี่ยวกราก และความกังวลเล็กน้อยก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
“ไม่จำเป็น ท่านปู่นักบวชบอกข้าว่า ข้าควรจัดการเรื่องของข้าเอง” เสี่ยวเฉินส่ายศีรษะด้วยท่าทางแน่วแน่
เหมิงเหวยลอบถอนหายใจ เสี่ยวเฉินเป็นเด็กที่นักบวชเลี้ยงดูมาด้วยตัวเอง นางเป็นคนมีเหตุผลและเฉลียวฉลาดตั้งแต่เด็ก ในขณะที่ท่านนักบวชกำลังป่วยและใกล้จะเสียชีวิต
เสี่ยวเฉินคนนี้เคยได้ยินจากใครบางคนว่า ถ้าใช้น้ำในแม่น้ำนรกเพื่อต้มยา มันจะสามารถยืดอายุขัยของคนคนนั้นและฟื้นฟูพลังชีวิตได้ ดังนั้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นางจะมาที่แม่น้ำนรกเพื่อนำน้ำมาต้มยาให้แก่นักบวชทุกวัน
น่าเสียดายที่สาวน้อยคนนี้ไม่เคยรู้ว่า แท้จริงแล้วนักบวชไม่ได้ป่วย แต่ถูกใครบางคนทำร้ายอย่างรุนแรง ทำให้นักบวชได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตาย และเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงไม่กี่วัน
“ท่านลุงเหมิงเหวย เร็วเข้า! ที่นั่น! ดูเหมือนจะเป็นคน!” ในขณะนั้นเอง จู่ ๆ เสี่ยวเฉินก็ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ จากนั้นนางก็ปลุกเหมิงเหวยที่กำลังครุ่นคิดอยู่ให้ได้สติกลับมา
ดวงตาของเขาจดจ่อและกวาดสายตาไปยังใจกลางแม่น้ำอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าเขาเห็นร่างหนึ่งลอยอยู่ในแม่น้ำเหมือนท่อนไม้ผุ ๆ
…
เมื่อพวกเขากลับมาที่เผ่าอีกครั้ง ก็ได้มีร่างหนึ่งอยู่บนหลังของเหมิงเหวยติดตามมาด้วย
ที่แห่งนี้เป็นเผ่าที่แปลกมาก มีคนประมาณร้อยกว่าคน ส่วนใหญ่เป็นเด็กชายและเด็กหญิง คนที่โตที่สุดมีอายุประมาณสิบสองหรือสิบสามปี และคนที่อายุน้อยที่สุดก็เพียงแปดหรือเก้าขวบเท่านั้น
แม้จะยังเด็ก แต่พวกเขาทั้งหมดมีรูปร่างที่กำยำและร่างกายที่แข็งแกร่ง ถึงแม้พวกเขาจะสวมชุดหนังสัตว์ แต่ก็มิอาจปกปิดจิตวิญญาณอันกล้าหาญที่เปล่งออกมาได้
ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังเคลื่อนไหวปราดเปรียวราวกับกองทัพที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี บ้างก็ก่อไฟและปรุงอาหาร บ้างก็ยืนเฝ้าระวังอยู่ บ้างก็ซ่อมอาวุธ บ้างก็บ่มเพาะ… ไม่มีใครสักคนที่เล่นตามประสาเด็กเลย
โดยปกติแล้ว พวกเขาควรจะเล่นสนุกตามวัย แต่ตอนนี้พวกเขากลับกำลังทำในสิ่งที่เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ โดยไร้ความกระวนกระวาย ซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างยิ่งว่า พวกเขาเคยผ่านประสบการณ์อะไรมา ถึงทำให้พวกเขากลายเป็นคนมีเหตุผลและเป็นผู้ใหญ่ถึงเพียงนี้
ในทางกลับกัน เผ่านี้กลับมีผู้ใหญ่เพียงสิบกว่าคน พวกเขาทุกคนมีฝีมือมาก อีกทั้งยังมีสายตาที่เยือกเย็น ดุร้ายและระแวดระวัง พวกเขาคุ้มกันอยู่รอบ ๆ และคอยมองกระโจมหนังสัตว์ที่อยู่ตรงกลางค่าย
กระโจมหนังสัตว์เต็มไปด้วยกลิ่นยาตลบอวล อากาศภายในนั้นคละคลุ้งและมีกลิ่นฉุนมาก นอกจากนี้ยังมีชายชราคนหนึ่งนอนอยู่บนหนังสัตว์ที่อ่อนนุ่มและขาดรุ่งริ่งอยู่ตรงกลาง
กระดูกของชายชราคนนี้หนาและใหญ่ แต่เขากลับซูบผอมมาก ราวกับคนคนนี้เป็นเพียงโครงกระดูกที่ถูกหุ้มด้วยผิวหนัง ทั้งใบหน้าและมือของชายชราเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นที่เหมือนหุบเหว ดวงตาของเขาขุ่นมัว ทำให้ดูชรายิ่ง
“อาหารจะพออยู่ได้อีกนานแค่ไหนหรือ?” ชายชรากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำและแหบแห้ง พร้อมกับหอบหายใจอย่างถี่เร็ว ทำให้ผู้คนกังวลมากว่า เขาจะหายใจเฮือกสุดท้ายในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า
“เรียนท่านนักบวช หัวหน้าเผ่าเหมิงเหวยกับข้าได้ล่าเหยี่ยวกระดูกมาหลายตัว และเมื่อรวมกับอาหารที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน ก็น่าจะอยู่ได้อีกประมาณหนึ่งเดือน”
หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวด้วยความเคารพ รูปร่างของนางสูงเพรียวและมีส่วนเว้าส่วนโค้งที่น่าพิสมัย ผมสีดำขลับของนางถูกมัดรวบเป็นหางม้า เผยรูปลักษณ์อันเย็นยะเยือกและงดงามออกมา นอกจากนี้ น้ำเสียงและท่าทางของหญิงสาวยังเผยความรู้สึกที่ตรงไปตรงมา
“หนึ่งเดือน? มันน้อยเกินไป…” ชายชราถอนหายใจเฮือกใหญ่ และความกังวลปรากฏขึ้นในดวงตาที่ขุ่นมัวของเขา หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าตัวก็ถามด้วยเสียงแหบแห้งอีกครั้ง “เราเหลืออยู่กี่คน”
“ทารกสิบสามคน เด็กอีกเจ็ดสิบหกคน และองค์รักษ์อีกเก้าคนเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบ
“องค์รักษ์อีกสามคนเสียชีวิตแล้วหรือ?” ความกังวลในดวงตาของชายชรายิ่งเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้บรรยากาศภายในกระโจมหนักอึ้งและกดดัน
หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นและไม่รู้จะตอบชายชราอย่างไรดี เพราะหัวใจของนางรู้สึกหนักอึ้งมากเช่นกัน
“พวกเจ้าทุกคนทำได้ดี เด็กเหล่านี้คือความหวังของเผ่าเรา การเสียสละของคนเหล่านี้ก็เพื่อพวกเขา…” ชายชราพึมพำด้วยน้ำเสียงที่เผยความเศร้าโศกที่หนาแน่น
“ท่านนักบวช พวกเรา…พวกเราจะออกไปจากสถานที่ที่ถูกเนรเทศนี้ได้จริงหรือ?” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นทันที และมองไปยังชายชราบนเตียงด้วยแววตาสับสนที่หาได้ยากยิ่ง
“โม่ย่า เจ้ายังจำคำทำนายที่สลักไว้ได้หรือไม่?” ชายชราถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ข้าจำได้เจ้าค่ะ” โม่ย่าพยักหน้า ถึงจะไม่รู้ว่าจำอะไรได้บ้าง แต่สายตาของนางกลับมาแน่วแน่อีกครั้ง และหญิงสาวก็ไม่สับสนอีกต่อไป
“เพื่อความหวังของเผ่าเรา เจ้ากับเหมิงเหวยต้องอยู่ต่อไป และจงพาเด็กเหล่านั้นออกไปดูโลกที่บรรพบุรุษของเราเคยอาศัยอยู่” รอยหวนรำลึกปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เหี่ยวย่นของชายชรา
“ข้าจะทำมันให้สำเร็จอย่างแน่นอน!” โม่ย่าเม้มริมฝีปากของนางและกัดฟันแน่น จากนั้นหญิงสาวก็จ้องมองอย่างว่างเปล่า ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านนักบวช แล้วท่านล่ะเจ้าคะ? หรือว่าท่านจะไม่ไปกับพวกเรา?”
“ข้าหรือ?” ทันใดนั้น ชายชราก็เริ่มหัวเราะและเผยให้เห็นความเศร้าโศกเล็กน้อย “ข้าอาศัยอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิตและดูแลที่นี่มาโดยตลอด ถึงอย่างไร ข้าก็ทำได้เพียงเฝ้าดูอย่างเฉยเมยเมื่อภัยพิบัติได้ทำลายผนึกและปรากฏขึ้นในโลกอีกครั้ง ข้า…ข้าละอายใจต่อบรรพบุรุษของเรา!”
“ถ้าอย่างนั้น…” โม่ย่าขมวดคิ้วและตั้งใจจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้น กระโจมก็ถูกเปิดออก และชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กำยำเดินเข้ามา เขาคือเหมิงเหวย!
“ท่านนักบวช ข้าได้ช่วยคนผู้นี้ขึ้นมาจากแม่น้ำนรกขอรับ” เหมิงเหวยกล่าวขณะที่วางคนบนหลังของเขาลงบนพื้นเบา ๆ ซึ่งการเคลื่อนไหวของเขาก็ดูนุ่มนวลและระมัดระวังยิ่ง
เป็นเพราะเขากังวลอย่างมากว่า ตนเองจะทำให้คนคนนี้แตกสลายหากใช้กำลังเพิ่มกว่านี้เพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม อาการบาดเจ็บของชายคนนี้ก็น่ากลัวเกินไป เนื้อหนังมังสาของอีกฝ่ายแยกออกจากกัน จนเห็นกระดูกขาวโพลนโผล่ออกมา และมันก็น่าสยดสยองเกินกว่าจะมองดู
หากไม่ใช่เพราะเขาพบว่าคนผู้นี้ยังมีร่องรอยของพลังชีวิตอยู่ เขาคงเกือบคิดว่าตนได้ช่วยศพขึ้นมา
“มันก็แค่ซากศพ จะเปลืองแรงเอามันกลับมาทำไม” โม่ย่าชำเลืองมองที่ไปชายหนุ่มบนพื้นซึ่งไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย และนางก็ขมวดคิ้วขณะที่กล่าว
“เขายังมีร่องรอยของพลังชีวิตอยู่” เหมิงเหวยอธิบายด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“แม่น้ำแห่งนรก?” ใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นของชายชราบนเตียงเผยให้เห็นความประหลาดใจเล็กน้อย ทันใดนั้น เขาก็พยายามลุกขึ้น ก่อนจะชี้ไปยังชายหนุ่มบนพื้น และกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวลว่า “เร็วเข้า รีบฉีกเสื้อผ้าของเขา แล้วพามาให้ข้าดู!”
เหมิงเหวยทำตามที่ชายชราบอก ด้วยตอนนี้เขาสังเกตเห็นว่า เสื้อผ้าที่ชายหนุ่มคนนี้สวมใส่นั้นแปลกมาก และมันแตกต่างชุดหนังสัตว์ที่ตนสวมอยู่อย่างสิ้นเชิง เสื้อผ้าของอีกฝ่ายดูนุ่มลื่น และมีร่องรอยของพลังป้องกันที่แปลกประหลาด
“อย่างที่คาดไว้ นี่เป็นสมบัติที่สามารถหาได้จากโลกภายนอกเท่านั้น!”
ชายชราตรวจสอบเศษผ้าในมือของตน ก่อนที่ความรู้สึกตื่นเต้นที่อธิบายไม่ได้จะพวยพุ่งออกมาจากดวงตาที่ขุ่นมัวของเขา
“เสื้อผ้าเหล่านี้ได้รับการสร้างจากวัตถุวิญญาณต่าง ๆ และมีค่ายกลถูกวางทับไว้หลาย ๆ ชั้น มันควรเรียกว่า ‘เสื้อผ้าสมบัติ’!”
วัตถุวิญญาณ? เสื้อผ้าสมบัติ?
เหมิงเหวยกับโม่ย่าต่างมองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างรู้สึกสับสน เนื่องจากบรรพบุรุษของพวกเขาอาศัยอยู่บนดินแดนอันมืดมิดนี้มาหลายชั่วอายุคน พวกเขาล้วนใช้หนังสัตว์เป็นเสื้อผ้า ใช้เนื้อสัตว์ร้ายต่าง ๆ เป็นอาหาร และเป็นเรื่องยากสำหรับคนทั้งหมดที่จะจินตนาการว่า วัตถุวิญญาณคืออะไร เสื้อผ้าสมบัติคืออะไร
แต่จากปฏิกิริยาของนักบวช พวกเขารู้สึกราง ๆ ว่า ชายหนุ่มผู้นอนอยู่บนพื้นราวกับซากศพคนนี้ ดูเหมือน…จะมาจากโลกภายนอก?
“เร็วเข้า! ไม่ว่าอย่างไรเจ้าต้องช่วยเขาและถามเขาให้แน่ชัดว่า เขามาถึงนรกขุมที่เก้าที่ว่ากันว่าไม่มีทางออกได้อย่างไร!” ชายชรารู้สึกตื่นเต้นในทันที เสียงทุ้มต่ำและแหบแห้งของเขา เผยให้เห็นถึงความตื่นเต้นและความสุขที่ไม่สามารถปกปิดได้!