บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 686 เสี่ยวเฉินอย่าร้องไห้
บทที่ 686 เสี่ยวเฉินอย่าร้องไห้
บทที่ 686 เสี่ยวเฉินอย่าร้องไห้
ผ่านไปเจ็ดวัน เฉินซีจึงฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
คนแรกที่เขาได้เห็นหลังจากลืมตาขึ้นคือเด็กหญิงใบหน้างดงามผู้สวมชุดตัดเย็บจากหนังสัตว์ นางกำลังป้อนยาให้เขาด้วยชามเก่าคร่ำคร่าใบใหญ่ในมือ
รสชาติของยาขมฝาดไปทั่วลิ้น ชายหนุ่มพยายามดื่มมันอย่างระมัดระวังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสังเกตว่าแทบไม่มีโอสถวิญญาณอยู่ภายในของเหลวนั้น หากดื่มลงไปก็เป็นเพียงการเติมน้ำให้ร่างกายเท่านั้น หาได้มีประโยชน์ใด ๆ อย่างแท้จริงไม่
แต่ถึงอย่างนั้น เด็กหญิงกลับถือชามเก่า ๆ นั้นอย่างระมัดระวังราวกับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า นางค่อย ๆ ประคองยากรอกใส่ปากเขาช้า ๆ คล้ายกลัวว่าจะมีหยดใดหยดหนึ่งขาดหายไป
“ที่นี่คือที่ใด?” น้ำเสียงของเฉินซีแหบพร่า เสมือนว่าลำคอเต็มไปด้วยทรายร่วน แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังนึกแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่าครู่เดียว ชายหนุ่มก็หมดแรงจะใส่ใจมัน
ความเจ็บปวดที่ทรมานดั่งถูกมดทั้งรังกัดกินทั่วร่างกายแผ่ซ่านไปทั่วร่างอีกครั้ง ทำให้คิ้วของชายหนุ่มขมวดเป็นปมด้วยความปวดร้าว ไม่นานนัก… เหงื่อกาฬเย็นเยียบก็ไหลอาบหน้าผาก
ตอนนี้เอง เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าแผลเปิดบนร่างกายได้ถูกพันรัดด้วยผ้าหนังสัตว์อ่อนนุ่ม ส่วนเลือดเนื้อในกายก็แห้งผาก อย่าว่าแต่ปราณจ้าววิญญาณเลย แม้แต่พละกำลังและพลังชีวิตที่มีก็แผ่วบางคล้ายจวนจะสิ้นลง
ไม่เพียงเท่านี้ สถานการณ์ภายในร่างกายของชายหนุ่มยังเรียกได้ว่าอยู่ในภาวะวิกฤต เส้นเลือดของเขาขาดสะบั้นเป็นส่วน ๆ อวัยวะภายในถูกทำลายจนเสียหาย แสงในกายมัวจาง ไม่เปล่งประกายเหมือนก่อน แม้แต่จุดลมปราณทั่วร่างก็ยังเหือดแห้ง ว่างเปล่า ในขณะที่แดนฮุ่นตุ้นแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ ไม่อาจพบร่องรอย
อาจกล่าวได้อีกนัยว่าตอนนี้เขาไม่ต่างจากคนพิการ
“เอ๊ะ! ท่านตื่นแล้ว! ลุงเหมิงเหวย ป้าโม่ย่า พี่ชายผู้นี้ฟื้นแล้ว!” เด็กน้อยในชุดหนังสัตว์ตกตะลึง นางเร่งฝีเท้าออกจากกระโจมพร้อมกับตะโกนด้วยเสียงดังฟังชัด ท่ามกลางท่าทีตระหนกนี้ เด็กหญิงยังคงถือชามใบโตไว้ในมือ ไม่มียากระฉอกออกมาสักหยด ราวกับว่าเป็นสิ่งที่หายากและควรค่าให้หวงแหนยิ่ง
“เหมิงเหวย โม่ย่างั้นหรือ?” เฉินซีขมวดคิ้ว เขาพยายามอดกลั้นต่อความเจ็บปวดที่ลุกลามไปทั่วร่างกายอย่างสุดกำลัง ทั้งยังพยายามจับสัมผัสต่าง ๆ รอบกาย
นี่เป็นกระโจมหนังสัตว์ที่ทำขึ้นอย่างเรียบง่ายไร้ซึ่งความพิถีพิถัน ภายในแทบไม่มีการประดับประดาอะไร มีเพียงเศษซากของท่อนไม้ที่ไหม้ไฟอยู่ตรงกลาง ที่กำลังส่องแสงสีเหลืองนวลริบหรี่ออกมา
สรรพสิ่งภายในนี้ล้วนแต่เก่าคร่ำคร่า โบราณ และอวบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความล้าสมัย
ผ้ากระโจมถูกเลิกขึ้น เผยให้เห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินเข้ามา ฝ่ายชายนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ กำยำ เพียงมองก็รู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่ส่องประกาย กล้ามเนื้อแต่ละมัดของเขาแข็งแกร่งราวปั้นขึ้นจากหินผา ตัวคนมีท่าทีเคร่งครึมคล้ายจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
ที่ข้าง ๆ กันนั้นคือ หญิงสาวรูปร่างสูงใหญ่ที่มีหุ่นสมส่วน หน้าตาของนางงดงามและดูอ่อนโยนไม่น้อย
พวกเขาทั้งคู่สวมชุดหนังสัตว์เช่นเดียวกับเด็กหญิงที่เฉินซีเห็นก่อนหน้านี้ ชายผู้นั้นถือคันธนูสีดำที่ทำมาจากเขาอสูร ขณะที่ข้างเอวของสตรีข้างกายมีแส้ขดที่ทำจากเส้นเอ็นของอสูร
เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความสามารถในการต่อสู้
ทันทีที่ได้เห็นคนทั้งสอง เขาก็รู้ได้ว่าพวกเขาน่าจะเป็นเหมิงเหวยกับโม่ย่าที่เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นพูดถึง
“เจ้าฟื้นเสียที” เหมิงเหวยสาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามาขณะที่มองไปยังเฉินซีที่ลืมตาตื่น ความปีติยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้าแข็งกร้าว
“เฮ้อ! เขาผลาญทั้งอาหารทั้งยาของพวกเราไปมากทีเดียว! ถ้าเขายังไม่ฟื้นอีกละก็ ต่อให้ท่านนักบวชจะตำหนิข้า ข้าก็จะฆ่าเขาทิ้งเสีย!” โม่ย่าพูดเสียงเย็นชา ดวงตาของนางอัดแน่นด้วยความเกลียดชัง ไม่คิดจะปกปิดความไม่พอใจที่มีต่อชายหนุ่มแม้แต่น้อย
เฉินซีที่ได้ยินชะงักไปทันที นี่นางเคียดแค้นถึงขนาดจะฆ่าแกงกันให้ตายเพียงเพราะเรื่องอาหารกับยาอย่างนั้นหรือ?
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะคิดว่าอีกฝ่ายพูดเล่น อย่างไรก็ดี ผู้บ่มเพาะอย่างเขาไม่จำเป็นต้องใช้อาหารเพื่อทำให้ท้องอิ่ม เพียงแค่ดูดซับปราณวิญญาณก็เพียงพอให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกนาน และต่อให้จะบาดเจ็บ ชายหนุ่มก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาหรืออุปกรณ์ในการรักษาใด ๆ
ทว่าเมื่อมองไปยังท่าทีซึ่งเปี่ยมด้วยจิตสังหารของโม่ย่าแล้ว เขาก็พอจะรับรู้ได้ราง ๆ ว่า บางทีที่ตัวเขาอยู่รอดมาจนถึงวันนี้ก็อาจเป็นเพราะอาหารและยาดังกล่าว สิ่งนี้ยิ่งทำให้ชายหนุ่มตระหนักได้ชัดเจนขึ้นว่าสถานที่แห่งนี้ช่างแตกต่างกับสถานที่ที่เขาจากมาโดยสิ้นเชิง
“โม่ย่า พอเถอะน่า!” เหมิงเหวยตำหนิหญิงสาวข้างกายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น
ทว่าโม่ย่าหาได้สนใจกับเสียงเอ็ดนี้ ความไม่เป็นมิตรที่ประดับบนใบหน้ายังคงไร้วี่แววจะคลายลง นางยังคงดึงดันจะรักษาท่าทีเดิมของตนไว้
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินซีได้พบกับเหมิงเหวยและโม่ย่า ช่างเป็นการพบพานที่เต็มไปด้วยความอึดอัด ไร้ซึ่งความน่ายินดี
เวลาผ่านไปอีกเจ็ดวัน
เรี่ยวแรงของเฉินซีเริ่มฟื้นฟู เขาสามารถขยับร่างกายได้บ้างแล้ว แต่ถึงกระนั้นความเจ็บปวดทรมานภายในร่างกายยังคงไม่หายหรือจางไป ในขณะที่ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการบาดเจ็บภายในเองก็ยังไม่มีวี่แววจะดีขึ้นแม้แต่น้อย
ส่วนเหตุผลน่ะหรือ? ก็เพราะชายหนุ่มไม่มีแดนฮุ่นตุ้นอีกต่อไปแล้ว แก่นโลหิตก็เช่นกัน และพลังชีวิตของเขาก็แทบจะเหือดแห้ง ไม่เพียงพอจะดึงมาใช้สำหรับการบ่มเพาะและฟื้นฟูพลัง
โชคดีที่ต้นอ่อนเงาทมิฬยังคงอยู่ภายในจุดลมปราณของเขา มันปลดปล่อยปราณแท้ออกมาซ่อมแซมเส้นเลือด เส้นเอ็น และกระดูกที่หักอย่างช้า ๆ นี่คงเป็นความโชคดีเพียงหนึ่งเดียวที่เขายังเหลืออยู่
ชายหนุ่มเชื่อมั่นว่า อีกไม่นาน เขาก็จะสามารถกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างปกติ ทว่าหากเป็นเรื่องของการฟื้นฟูการบ่มเพาะนั้น มันยังคงห่างไกลและยากเย็นเหลือเกิน
แดนฮุ่นตุ้นถูกทำลายจากการโจมตีของปิงซื่อเทียน มันแตกสลายไม่เหลือแม้เศษเสี้ยว ความเสียหายนี้เทียบเท่าได้กับการที่รากฐานแห่งเต๋าถูกทำลาย ส่งผลให้เขาไม่สามารถฝึกฝนได้อย่างเต็มกำลังในช่วงเวลาสั้น ๆ
เว้นเสียแต่ว่าเขาจะสามารถสร้างรากฐานแห่งเต๋าขึ้นมาใหม่และสกัดแดนฮุ่นตุ้นออกมาอีกครั้ง
ทว่าน่าเสียดาย นับแต่โบราณมา หลังจากผู้บ่มเพาะถูกทำลายรากฐานแห่งเต๋า ก็แทบจะไม่มีผู้บ่มเพาะคนใดที่สามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ เรียกได้ว่าไม่มีแนวทางให้เดินตาม
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะรากฐานแห่งเต๋าเป็นพื้นฐานของผู้บ่มเพาะสำหรับการก่อรูปของตนเองขึ้นในฟ้าดิน มันเป็นรากฐานแรกของเส้นทางการบ่มเพาะ และทันทีที่มันถูกทำลาย การซ่อมแซมจึงเป็นไปได้ยาก!
ปิงซื่อเทียน! เฉินซีกัดฟันอย่างอาฆาต สภาพร่างกายอันน่าอนาถนี้ทั้งหมดก็เพราะปิงซื่อเทียน แน่นอน ในอนาคตเขาจะต้องเอาคืนเป็นร้อยเป็นพันเท่า ตั้งแต่เริ่มเดินบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเกลียดใครสักคนจนอยากฉีกกระชากอีกฝ่ายเป็นชิ้น ๆ หากท้ายที่สุดเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหมอใบจิ๋วในเวลาคับขัน เขาก็คงตายไปแล้ว
‘เจ้าคิดว่าทำลายรากฐานเต๋าของข้าแล้วจะได้ซิ่วอี้คืนไปอย่างนั้นรึ?! ฝันไปเถิด! ตราบใดที่ยังมีชีวิต ข้าเฉินซีจะลุกขึ้นยืนและฟื้นฟูมหาเต๋าได้อีกครั้งอย่างแน่นอน!’
แรงอาฆาตทอประกายในดวงตาของเฉินซี ท่าทางของเขายังคงเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น ไม่มีสิ่งใดจะลดทอนแรงใจและบีบคั้นให้ชายหนุ่มก้มหน้ายอมรับชะตากรรม
เฉินซีสูดหายใจลึก พยายามสงบสติอารมณ์ ไม่นาน เขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากกระโจม
ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ชายหนุ่มได้ทราบข้อมูลจากเหมิงเหวยว่าสถานที่แห่งนี้เรียกว่านรกขุมที่เก้า มันเป็นที่ที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน แม้แต่บันทึกของแดนภวังค์ทมิฬก็ไม่มีคำอธิบายใด ๆ เกี่ยวกับนรกขุมที่เก้านี้
…มันคงจะเป็นสถานที่ซึ่งถูกลืม
นอกจากนั้นแล้ว เหมิงเหวยกับคนอื่น ๆ ล้วนเป็นชนพื้นเมืองของนรกขุมที่เก้า พวกเขาเรียกตัวเองว่าผู้เหลือรอดแห่งนรกขุมที่เก้า ซึ่งเป็นชื่อที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
ส่วนข้อมูลอย่างอื่นนอกจากนี้ เฉินซียังไม่รู้แน่ชัด
ในตอนนี้ เขาสังเกตเห็นเพียงว่าเหมิงเหวยและคนอื่น ๆ มักจะเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน เหมือนว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนสักแห่ง พวกเขาจะเดินทางไปข้างหน้าราว ๆ สี่พันถึงหกพันลี้ต่อวัน และใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วยามเพื่อกินและพักผ่อน
นอกจากนี้ พวกเขายังมีผู้คุ้มกันฝีมือดีเพียงเก้าคนเท่านั้น ขณะที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นเด็ก ท่าทางในแต่ละวันของพวกเขาเต็มไปด้วยความรีบเร่ง ราวกับว่ากำลังหลีกหนีจากมหันตภัย
ในยามนี้ พวกเขาเดินทางมาทั้งวันแล้ว และเลือกตั้งค่ายพักแรมบนพื้นที่รกรากซึ่งปกคลุมไปด้วยกรวดทราย
เมื่อออกมาจากกระโจม เขาพลันเห็นว่าพวกเด็ก ๆ กำลังฝึกฝนอยู่
ส่วนเหมิงเหวยกำลังสอนกระบวนท่าต่าง ๆ ให้แก่บรรดาเจ้าตัวน้อยพวกนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้นำที่มีอิทธิพลอย่างมากของคณะเดินทางกลุ่มนี้ เขาแข็งแกร่ง กล้าหาญ และได้รับความเคารพอย่างสุดซึ้งจากผู้คนรอบตัว
“รักษาระยะก้าวให้ดี ก่อนที่พวกเจ้าทุกคนจะเรียนรู้ว่าการเหาะเหินเป็นเช่นไร สิ่งเดียวที่พวกเจ้าใช้ได้ก็มีเพียงเท้าเท่านั้น!”
“ความแข็งแกร่ง! ข้าพูดไปตั้งกี่หนแล้ว พวกเจ้าจะต้องหลอมรวมความแข็งแกร่งให้เป็นหนึ่งและดึงมันออกมาอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้า ก่อนจะสลัดมันออกไปด้วยท่าทางอย่างเดียวกัน มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้พวกเจ้าสามารถบ่มเพาะขอบเขตต่าง ๆ และควบคุมพลังของตนได้อย่างอิสระ!”
“ขวาอีกหน่อย! พอ! พวกเจ้าจงจำไว้ว่าเป้าหมายของการเคลื่อนไหวนั้นก็เพื่อสังหารศัตรู ต้องรวดเร็ว ไร้ความปราณี หากพวกเจ้ามีใจลังเลแม้เพียงนิด ความตายก็อ้าแขนรอพวกเจ้าแล้ว!”
เฉินซีมองปราดเดียวก็เข้าใจได้ทันทีว่าเหมิงเหวยกำลังสอนพื้นฐานบางอย่าง จริงอยู่ที่เขาสูญเสียการบ่มเพาะไป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าชายหนุ่มจะสูญเสียความสามารถในการแยกแยะอย่างแม่นยำไปด้วย
เหมิงเหวยเป็นคนที่มีประสบการณ์ต่อสู้มากมาย ดังนั้นบทเรียนพื้นฐานที่อีกฝ่ายสอนจึงค่อนข้างถูกต้องและสามารถนำไปใช้ได้จริง แม้แต่ตัวเฉินซีเองก็ยังรู้สึกว่าตนได้ประโยชน์จากการฟังคำสอนของอีกฝ่ายอย่างมาก
…นับตั้งแต่ที่เลือกเดินบนเส้นทางนี้ ชายหนุ่มล้มลุกคลุกคลานมานับครั้งไม่ถ้วน น้อยนักที่เขาจะได้รับการชี้แนะจากใครเป็นการส่วนตัว ยิ่งเป็นในตอนที่เขาสูญเสียพลังไปเช่นนี้ด้วยแล้ว ชายหนุ่มก็เหมือนได้เรียนรู้บางอย่างผ่านการฟังเหมิงเหวยอธิบาย
เขาเริ่มสำรวจตัวเองอีกครั้ง…
ทั้งที่ตัวเฉินซีได้ศึกษาศาสตร์เต๋าที่น่าทึ่ง และได้ถือครองพลังอิทธิฤทธิ์มาตั้งมากมาย แต่ก็ยังไม่มีสิ่งใดที่เรียกได้ว่าเชี่ยวชาญโดยแท้จริงแม้แต่อย่างเดียว นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถดึงพลังเหล่านั้นมาใช้ทดแทนกันได้
‘บางทีข้าอาจจะสามารถจัดการกับศาสตร์เต๋าและพลังอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดได้ก่อนที่มันจะยุ่งเหยิงไปมากกว่านี้ หากข้าหลอมรวมและเชื่อมโยงพวกมันเข้าด้วยกันก่อนจะบ่มเพาะพลังของข้าใหม่อีกครั้ง ถึงตอนนั้น พลังของข้าก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น…’ เฉินซีเป็นบุรุษผู้หลงใหลการบ่มเพาะอย่างยิ่ง ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจ เขาก็จมดิ่งสู่ภวังค์
“พอได้แล้ว! เสี่ยวเฉิน กลับมานี่! ต่อไปเจ้าห้ามส่งข้าวส่งยาไปให้ไอ้ขยะนั่นอีก!” ผ่านไปครู่ใหญ่ ชายหนุ่มก็ถูกปลุกจากห้วงความคิดด้วยเสียงเอ็ด เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็เห็นเสี่ยวเฉินกำลังเดินเข้ามาจากที่ไกลพร้อมกับชามใบใหญ่ในมือ
โชคไม่ดีนัก การเคลื่อนไหวของนางถูกหยุดลงด้วยโม่ย่าผู้มีสีหน้าโกรธเกรี้ยว
“แต่นี่เป็นคำสั่งของท่านปู่นักบวช อีกอย่างพี่ชายคนนั้นเขาน่าสงสารออก” เสี่ยวเฉินก้มมองเท้าของตนเอง เสียงของนางแผ่วเบาคล้ายอ่อนแรง
เพียะ!
โม่ย่ายกมือขึ้นปัดชามในมือเด็กน้อยให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ น้ำเสียงตำหนิของนางเปี่ยมด้วยโทสะ “พอที! เราหมดอาหารหมดยาไปตั้งไม่รู้เท่าไรแล้ว หรือว่าเจ้าอยากจะเห็นเผ่าพันธุ์ของเราต้องเดินทางต่อไปทั้งที่ท้องหิว หรือว่าเจ้าอยากเห็นคนของเราต้องล้มตายไปเพราะไม่มียารักษา?”
เสี่ยวเฉินเม้มริมฝีปากเล็ก ๆ ที่สั่นระริก ดวงตาของนางเอ่อไปด้วยน้ำตาทันทีที่เสียงตวาดหยุดลง ไม่นาน น้ำใส ๆ ก็อาบเปื้อนสองฝั่งแก้ม
“โม่ย่า เจ้าทำบ้าอะไร!” เหมิงเหวยรีบสับเท้าอย่างไวพร้อมคิ้วที่ขมวด เขาพูดกับหญิงสาวด้วยเสียงทุ่มต่ำ “เสี่ยวเฉินยังเด็ก เจ้าไม่ควรเอาความโกรธมาลงที่นาง”
กลุ่มเด็ก ๆ ที่กำลังฝึกฝนต่างพากันเดินมาห้อมล้อมพวกเขาเช่นกัน เด็ก ๆ จับจ้องไปยังท่าทางเกรี้ยวกราดของโม่ย่าและเสี่ยวเฉินที่กำลังร้องไห้โดยไม่ได้พูดสิ่งใด
ทว่าในที่สุดเฉินซีก็ตกเป็นเป้าสายตา เด็กเหล่านั้นมองเขาด้วยความเกลียดชัง พวกเขารู้ดีว่า การปรากฏตัวของคนนอกอย่างเฉินซีสร้างความไม่พอใจให้แก่ป้าโม่ย่าของพวกเขายิ่งนัก
เฉินซีที่เห็นดังนั้นพลันชะงัก เขาเดินเบียดเข้าไปในฝูงชนก่อนจะย่อกายลงเพื่อกอดเสี่ยวเฉิน ลูบแผ่นหลังที่สะอึกสะอื้นของนางเบา ๆ แล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เสี่ยวเฉิน เด็กดี เจ้าอย่าร้องไห้ไปเลย”