บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 695 งานเขียนของเทพอสูร
บทที่ 695 งานเขียนของเทพอสูร
บทที่ 695 งานเขียนของเทพอสูร
กลิ่นหอมหวานตลบอบอวลไปทั่วทั้งค่าย
เนื้อปลาเกล็ดสีดำที่นุ่มละมุนและเรียบเนียน กอปรกับโอสถวิญญาณล้ำค่าหลายชนิด ทำให้มันมีรสชาติที่เลิศรสเป็นอย่างยิ่ง และส่วนผสมนี้ไม่เพียงจะไม่ทำให้เสียรสชาติเท่านั้น ทว่ามันยังทำให้มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และยอดเยี่ยมอีกด้วย
เมื่อมันเข้าปาก เนื้อสีขาวราวกับหิมะก็ดูจะระเบิดเป็นฟอง รสชาติยอดเยี่ยมต่าง ๆ ซึมลึกสู่ต่อมรับรส ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นกระแสความอบอุ่นที่พลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างกาย ทำให้ทุกรูขุมขนบนร่างกายสัมผัสกับความรู้สึกเพลิดเพลินอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ๆ หรือองค์รักษ์ ต่างเริ่มรับประทานอาหารอย่างตั้งใจ พวกเขาดูเหมือนผีหิวโหยที่กลับชาติมาเกิดขณะที่กินอย่างตะกละตะกลาม และใบหน้าของคนทั้งหมดก็เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
“นี่มันอร่อยเกินไปแล้ว!”
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีอาหารเลิศรสเช่นนี้อยู่ในโลก
เนื้อปลาสีขาวหยกที่เลิศรส ซุปเนื้อที่ข้นและกลมกล่อม โอสถวิญญาณสีสดใสล้วนยอดเยี่ยมและอร่อยเหลือเกิน ยิ่งกว่านั้น อาหารเหล่านี้ล้วนแฝงปราณวิญญาณมากมายเอาไว้ และพวกเขาแทบไม่ต้องขัดเกลาปราณวิญญาณเลย เพราะพวกมันได้แปรเปลี่ยนเป็นกระความอบอุ่นที่พลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย และกลายเป็นพลังงานที่บริสุทธิ์ที่สุดของพวกเขาเอง
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาอุทานด้วยความชื่นชมมากยิ่งขึ้น แล้วก็ตระหนักดีว่า การทำอาหารของเฉินซีนั้นพิเศษเพียงใด
ในไม่ช้า เด็ก ๆ ก็ไม่สามารถกินได้อีก ร่างกายของพวกเขาสั่นไหวและท่วมท้นด้วยปราณวิญญาณ ใบหน้ากลายเป็นสีแดงระเรื่อ พวกเขาเริ่มคำรามอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และไม่อาจยับยั้งตัวเอง พากันวิ่งอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายในค่าย
ชายหนุ่มรีบบอกให้พวกเขานั่งขัดสมาธิและบ่มเพาะ เนื่องจากพวกเด็ก ๆ กินมากเกินไป อีกทั้งฤทธิ์ยาในอาหารก็กำลังเดือดพล่านอยู่ภายในร่างกาย ดังนั้นหากพวกเขายังไม่รีบขัดเกลามัน ฤทธิ์ยาก็จะสูญเปล่าทั้งหมด
หลังจากนั้นไม่นาน เหมิงเหวย โม่ย่าและคนอื่น ๆ เองก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป พวกเขานั่งลงขัดสมาธิ ก่อนจะโคจรเคล็ดวิชาบ่มเพาะของพวกเขาด้วยพลังทั้งหมด เพื่อขัดเกลาฤทธิ์ยาอย่างสุดความสามารถ
โอม!
คลื่นความผันผวนอันแปลกประหลาดเกิดขึ้น ในขณะที่ร่างกายของเสี่ยวเฉินสั่นสะท้าน และการขัดเกลากายาที่นางเพิ่งสัมผัสได้ไม่ถึงหนึ่งวันก็เพิ่มพูนขึ้น ราวกับระเบิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนบรรลุขอบเขตก่อกำเนิดในคราวเดียว!
แต่เฉินซีไม่รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะเสี่ยวเฉินมีพรสวรรค์ที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อรวมกับรากฐานที่มั่นคง ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ยังเล็กและอาหารที่เขาปรุง การที่บรรลุความสำเร็จดังกล่าวได้คือ ความสำเร็จที่มาพร้อมกับเงื่อนไขที่เหมาะสม
ไม่นานนัก เด็ก ๆ ทั้งหมดต่างก็ทะลวงผ่านขอบเขต ทันใดนั้น อากาศเหนือพื้นที่ตั้งค่ายก็สั่นสะเทือน ในขณะที่พลังชีวิตพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้มันกลายเป็นฉากที่งดงาม
“ข้าทะลวงได้แล้ว! ข้าพยายามมาเกือบสิบปี และตอนนี้ข้าบรรลุขอบเขตสถิตกายาในคราเดียว! ฮ่า ๆๆ!” ทันใดนั้น เหมิงเหวยก็หัวเราะลั่น และเสียงที่อิ่มอกอิ่มใจของเขาก็เหมือนกับเสียงคำรามของมังกรที่สั่นสะเทือนไปรอบ ๆ
ครืน!
ก่อนที่เสียงดังก้องอยู่ในอากาศของเขาจะจางหายไป อากาศรอบ ๆ ตัวโม่ย่าก็เริ่มสั่นอย่างรุนแรง จากนั้นกระแสลมที่น่าตกใจก็ดังก้องรอบ ๆ ในขณะที่กลิ่นอายของนางก็แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าตัว
“บัดซบ! ข้าช้ากว่าเจ้าหนึ่งก้าวอีกแล้ว!” โม่ย่าลืมตาขึ้นและจ้องเขม็งไปที่อีกคนอย่างโกรธเกรี้ยว ก่อนจะหัวเราะออกมา ใบหน้างามของนางดูราวกับดอกไม้ที่ผลิบานสะพรั่ง เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวรู้สึกประหลาดใจอย่างมากที่นางสามารถบรรลุได้เช่นกัน
ในขณะนี้ เฉินซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไร ฤทธิ์ยาที่อยู่ในซุปเนื้อนั้นมุ่งเน้นไปที่การขัดเกลาร่างกายของพวกเด็ก ๆ และสรรพคุณที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือการเสริมรากฐานของผู้ที่กินมันเข้าไป
แต่โม่ย่ากับเหมิงเหวยกลับใช้สิ่งนี้บรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายาของการขัดเกลากายาได้ในคราวเดียว… แม้แต่ตัวเฉินซีเอง เขาก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไป!
เขารู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่า เพราะปราณวิญญาณในนรกขุมที่เก้าเหือดแห้งไปแล้ว ทำให้เผ่านรกขุมที่เก้าทุกคนล้วนเป็นผู้ขัดเกลากายา พวกเขาจึงย่ำเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการบรรลุหนทางผ่านร่างกาย และทุกคนต่างก็อาศัยการขัดเกลากายาเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่ง
แต่การบ่มเพาะของพวกเขาไม่สูงนัก เหตุผลนั้นก็คือ แม้ว่าพวกเขาจะฝึกฝนทักษะขัดเกลากายาเทพอสูร แต่เมื่อบรรลุถึงระดับหนึ่งในการขัดเกลากายาแล้ว อย่างไรก็ต้องพึ่งพาเต๋ารู้แจ้งเพื่อทะลวงไปสู่ขอบเขตที่สูงกว่า
เขาจำได้ชัดเจนว่า เหมิงเหวยกับโม่ย่ายังไม่เข้าใจเต๋ารู้แจ้งจนถึงตอนนี้ แต่พวกเขากลับสามารถทะลวงไปยังขอบเขตสถิตกายาได้ เช่นนั้นก็มีเหตุผลประการเดียวสำหรับสิ่งนี้ และนั่นก็คือร่างกายของพวกเขาได้รับการขัดเกลาจนถึงระดับท้าทายสวรรค์แล้ว!
ความหมายของการบรรลุผ่านทางร่างกายคือ การไม่พึ่งพาพลังภายนอกใด ๆ ในช่วงยุคบรรพกาล เผ่าเทพอสูรที่แท้จริงนั้นดูถูกการทำความเข้าใจและควบคุมมหาเต๋าอันลึกล้ำ เพราะสิ่งที่พวกเขากำลังทำคือ การท้าทายสวรรค์และทะลวงผ่านพันธนาการของเต๋าแห่งสวรรค์ อีกทั้งยังตั้งใจที่จะเป็นผู้สูงสุดเหนือมหาเต๋า!
นั่นคือเส้นทางการขัดเกลากายาที่เก่าแก่ที่สุด อีกทั้งยังเป็นเส้นทางที่ยากและคลุมเครือที่สุดเช่นเดียวกัน หลังจากผ่านกาลเวลานับไม่ถ้วน เส้นทางแห่งการขัดเกลากายาเช่นนี้ได้ถูกละทิ้งไปนานแล้ว และถูกลบเลือนไปจากประวัติศาสตร์ มันถูกแทนที่ด้วยเคล็ดวิชาขัดเกลากายาที่หลากหลาย แม้ว่าจะเป็นทั้งสามภพในยุคปัจจุบัน ก็ไม่สามารถหาผู้ขัดเกลากายาคนใดที่เดินบนเส้นทางนี้ได้
ตอนนี้ เฉินซีมีความรู้สึกที่รุนแรงว่า เหมิงเหวยกับโม่ย่ากำลังเดินบนเส้นทางแห่งการขัดเกลากายาที่เก่าแก่นี้ ซึ่งมันก็คือทักษะขัดเกลากายาเทพอสูรที่บริสุทธิ์ที่สุด!
ทันใดนั้น แรงกระตุ้นที่แข็งแกร่งก็พุ่งเข้ามาในหัวใจของเขา และชายหนุ่มต้องการที่จะเห็นเคล็ดวิชาการขัดเกลากายาของคนทั้งคู่ เพราะแม้ว่าการขัดเกลากายาของเขาจะฟื้นตัวได้ แต่มันก็จะชะงักอยู่ที่ขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์ และแม้ว่ามันจะอยู่ห่างจากขอบเขตสถิตกายาเพียงก้าวเดียว แต่ก็ห่างไกลเหมือนช่องว่างระหว่างสวรรค์กับมนุษย์!
หากเขาได้รับประสบการณ์บางอย่างจากเหมิงเหวยและคนอื่น ๆ มันจะเป็นประโยชน์ต่อความก้าวหน้าของเขาอย่างมากแน่นอน!
เฉินซีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่อาจยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นของเขาได้ในที่สุด และชายหนุ่มก็รีบบอกเหมิงเหวยถึงความคิดของเขาออกไป
“เจ้าต้องการเรียนรู้เคล็ดวิชาขัดเกลากายาของข้าหรือ!?” เหมิงเหวยตกตะลึง จากนั้นเขาก็หัวเราะอย่างใจกว้าง “ตกลง ข้าเกือบจะคิดว่าเคล็ดวิชาขัดเกลากายาของเผ่านรกขุมที่เก้าของเรานั้นล้าหลังไปแล้ว และมันกลายเป็นของโบราณที่ไม่มีใครสนใจ”
เฉินซีกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เคล็ดวิชาที่ลึกล้ำทั้งหมดล้วนมีแหล่งที่มาในตัวเอง เคล็ดวิชาขัดเกลากายาไม่ได้มาจากเผ่าเทพอสูรในยุคบรรพกาลหรอกหรือ? หากใครสามารถเห็นแก่นแท้ของมันได้ ย่อมถือได้ว่ามีวาสนาอย่างยิ่ง!”
เหมิงเหวยฝืนยิ้มและพยักหน้าอย่างจริงจัง “น้องเฉิน สิ่งที่เจ้ากล่าวนั้นตรงประเด็นยิ่ง แม้ว่าเวลาจะแปรเปลี่ยนไปและทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่หลักการยังคงเหมือนเดิม ของโบราณบางอย่างควรค่าแก่การเรียนรู้และสืบทอด”
ต่อจากนั้น เหมิงเหวยได้มอบหนังสัตว์โบราณให้แก่เฉินซีด้วยสีหน้าที่จริงจัง
ซึ่งสิ่งที่บันทึกอยู่ในม้วนหนังสัตว์นั้น แท้จริงแล้วคือ ‘งานเขียนของเทพอสูร’ ในยุคสมัยบรรพกาล!
ถ้อยคำมากมายนั้นเก่าแก่ คลุมเครือ และลึกลับ พวกมันดูเหมือนไม่ใช่ถ้อยคำ แต่เป็นสัญลักษณ์ที่ประทับด้วยความลึกล้ำของมหาเต๋า อีกทั้งพวกมันยังปลดปล่อยกลิ่นอายที่กว้างใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ใจคนสั่นสะท้านออกมา
เพียงแค่อ่านบรรทัดนี้ของงานเขียนเทพอสูร ก็ทำให้จิตใจของเฉินซีสั่นสะท้าน และเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่บริสุทธิ์ที่สุดของปราณจ้าววิญญาณ ซึ่งทั้งกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตและทรงพลังอย่างไม่มีใครเทียบได้!
ในที่สุดเขาก็กล้ายืนยันแล้วว่า เผ่านรกขุมที่เก้านี้จะต้องเป็นลูกหลานของเทพอสูรในยุคบรรพกาลแน่นอน! และถึงขนาดที่เผ่านรกขุมที่เก้าอาจมาจากเผ่าเทพอสูรซึ่งถูกทำลายล้างไปจากประวัติศาสตร์เมื่อนานมาแล้ว!
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ก็คงจะน่าตกใจเกินไป
ขณะที่เขาอยู่ในด่านแห่งความลึกล้ำ หม้อใบจิ๋วเคยกล่าวไว้ว่า หายนะของเทพอสูรที่ส่งผลกระทบต่อภพทั้งสามได้ปะทุขึ้นในช่วงยุคบรรพกาล หลังจากภัยพิบัติครั้งใหญ่นั้น เผ่าเทพอสูรก็ถูกทำลายล้างอย่างสมบูรณ์ และหลังจากนั้น คนในเผ่าก็ไม่เคยปรากฏตัวในโลกเลยสักคน!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความตกใจ เพราะเขาทราบดีว่า หากข่าวนี้แพร่กระจายไปยังแดนภวังค์ทมิฬแล้วละก็ มันจะทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ที่สั่นสะเทือนทั้งสามภพอย่างแน่นอน!
“ผู้เหลือรอดแห่งนรกขุมที่เก้า? ใครจะจินตนาการได้ว่า ลูกหลานของเผ่าเทพอสูรจะปรากฏตัวในนรกขุมที่เก้าซึ่งถูกมหาเต๋าทอดทิ้ง และถูกลืมเลือนไปจากภพทั้งสาม?”
เฉินซีถอนหายใจ
แต่ในช่วงเวลาต่อมา ความคิดในใจของเขาก็สลายหายไปทันที จากนั้นสายตาของเขาก็เหมือนกับสายฟ้าฟาด ซึ่งกวาดไปทางด้านหน้าของค่ายอย่างเย็นชา ภายใต้การครอบคลุมพื้นที่ของจิตสัมผัสเทพของชายหนุ่ม ได้มีร่างสองร่างพุ่งเข้าหาที่นี่อย่างรวดเร็วจากจุดที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่พันลี้!
ทั้งคู่มีรูปร่างที่เพรียวบางและมีปีกสีขาวราวหิมะอยู่ด้านหลัง แทบไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องคาดเดา เพราะชายหนุ่มทราบดีว่า ร่างทั้งสองย่อมเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพแน่นอน
เพราะเมื่อครั้งที่อยู่ในสมรภูมิบรรพกาล หนึ่งในสี่ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพที่เขาเคยพบเห็นก็มีรูปลักษณ์เช่นนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์คนนั้นมีชื่อว่าลั่วชวน ซึ่งมาจากพิภพปักขี
เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้มาจากพิภพปักขีเช่นกัน!
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ และพลังในร่างกายของเขาก็มีกลิ่นอายจิตสังหารแผ่ออกมา
“น้องเฉิน มีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือ?” เหมิงเหวยสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในกลิ่นอายของเฉินซี และดวงตาของเขาก็หรี่ลง ขณะที่ถามด้วยเสียงต่ำ
“มีศัตรูสองคนกำลังพุ่งมาที่นี่อย่างรวดเร็ว” เฉินซีกล่าวอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของเหมิงเหวยกับโม่ย่าที่อยู่ใกล้เคียงพลันตึงเครียด ดวงตาของพวกเขาเผยให้เห็นความเกลียดชังที่ไม่ปิดบัง ในขณะที่จิตสังหารของพวกเขาก็พวยพุ่งถึงขีดสุด
“ข้าจะไปฆ่าพวกมัน!” เหมิงเหวยกล่าวอย่างเย็นชา ในขณะนี้ เหล่าเด็ก ๆ ในค่ายกำลังบ่มเพาะ และการบ่มเพาะของพวกเขาอยู่ในช่วงที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เขาจึงไม่ต้องการให้ศัตรูโจมตีและรบกวนการบ่มเพาะของเด็ก ๆ
“พี่ใหญ่เหมิง ฆ่าคนหนึ่ง แล้วเอาอีกคนกลับมาแบบเป็น ๆ” เฉินซีกล่าวทันที การปรากฏตัวของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพสองคนนี้แปลกเกินไป และพวกเขาก็มุ่งตรงมาอย่างมีเป้าหมายชัดเจน ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกราง ๆ ว่ามันต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่!
“ตกลง!” ชายวัยกลางคนเข้าใจความคิดของเฉินซีทันทีและพยักหน้า เขาเหยียบพื้นด้วยปลายเท้า จากนั้นทั้งตัวคนก็เหมือนพยัคฆ์ที่ทะยานด้วยจังหวะแปลก ๆ และหายไปจากค่ายพักทันที
“ไม่ต้องกังวล เหมิงเหวยกับข้าได้ฆ่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพมานับไม่ถ้วนระหว่างทาง และเรารู้จุดแข็งของพวกมันเหมือนหลังมือของตนเอง หากเหมิงเหวยลงมือแล้วละก็ ศัตรูจะถูกจับอย่างง่ายดาย” โม่ย่าอดไม่ได้ที่จะปลอบใจ เมื่อเห็นคิ้วของเฉินซีขมวดเข้าหากันแน่น
“ข้าไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้” เฉินซีส่ายศีรษะและกล่าวหลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ข้าแค่เกรงว่า ทิศทางที่เรากำลังมุ่งหน้าไปนั้น น่าจะมีศัตรูจำนวนมากดักซุ่มโจมตีอยู่”
“เจ้าว่าอะไรน่ะ?” ใบหน้างดงามของโม่ย่าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที และนางก็ตระหนักได้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์ เพราะถ้ามันเป็นอย่างที่อีกฝ่ายกล่าวจริง ๆ มันจะเป็นหายนะครั้งใหญ่สำหรับทั้งเผ่าอย่างแน่นอน!
เพราะในเผ่ายังมีเด็กมากมายที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ หากพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพจำนวนมากจริง ๆ ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะดูแลความปลอดภัยของทุกคน โดยอาศัยเพียงความแข็งแกร่งของพวกเขาเท่านั้น
“เอาเป็นว่ารอก่อน แล้วเราจะจัดการหลังจากที่พี่ใหญ่เหมิงกลับมา” ในขณะนี้ เฉินซีกลับสงบนิ่งแทน เพราะรายละเอียดเกี่ยวกับศัตรูยังไม่ทราบดี และนี่ไม่ใช่เวลามาว้าวุ่นใจ
โม่ย่าพยักหน้า และอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นเพื่อพินิจอีกฝ่าย ขณะที่นางกล่าวในใจว่า ‘นึกไม่เลยถึงว่า ชายคนนี้จะสงบนิ่งยิ่งกว่าข้า หรือว่าเขาประสบกับความยากลำบากมากกว่าข้านัก…’
นางทราบดีว่า ท่าทางที่เผชิญกับสถานการณ์ตึงเครียดอย่างสงบเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้ หากไม่เคยเผชิญกับมรสุมครั้งใหญ่มาก่อน
ฟิ้ว!
ในเวลาต่อมา เหมิงเหวยได้กลับมาแล้ว พร้อมกับหิ้วร่างของผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพที่หมดสติอยู่ในมือ นับตั้งแต่จากไปจนกลับมา เวลาผ่านไปเพียงสิบกว่าลมหายใจเท่านั้น และความเร็วของเขาก็น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
ความน่าเกรงขามในความแข็งแกร่งของเหมิงเหวยเห็นได้ชัดจากสิ่งนี้ และแม้แต่เฉินซีก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
“เอาล่ะ ให้ข้าเค้นถามมันเองว่า มันรู้ถึงสถานการณ์มากแค่ไหน!”
ฉึก!
โม่ย่าดึงกริชออกมา แล้วแทงเข้าใส่ต้นขาของชายคนนั้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทำให้โลหิตสีแดงเข้มไหลออกมา