บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 697 ทำลายค่าย
บทที่ 697 ทำลายค่าย
บทที่ 697 ทำลายค่าย
นี่คือพื้นที่ราบซึ่งเต็มไปด้วยก้อนกรวดและอยู่ติดกับแม่น้ำนรก ในเวลานี้มันได้มีค่ายตั้งอยู่ เป็นกองกำลังผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพหลายกอง แต่ละคนล้วนมีรูปร่างเพรียวบางและมีปีกสีขาวดุจหิมะอยู่บนหลังกำลังออกลาดตระเวนไปรอบ ๆ
ชั่วขณะนั้น เสียงอึกทึกครึกโครมพลันดังก้องออกมาจากกระโจมที่อยู่ใจกลางค่าย
“บัดซบ! สตรีเหล่านี้ล้วนมีผิวหยาบกร้าน ทำให้ข้าหมดอารมณ์ที่จะระบายออกไปเสียสิ้น”
“ฮ่า ๆ อย่าได้คิดมากเลย ที่แห่งนี้คือนรกขุมที่เก้า และข้าได้ยินมาว่าที่นี่ถูกทั้งสามภพละทิ้งไปนานแสนนาน แล้วสตรีเหล่านี้จะเทียบกับสตรีจากทั้งสามภพได้อย่างไร”
“มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินจากบรรพบุรุษของข้าว่า สตรีของทั้งสามภพนั้นระยิบระยับด้วยแสงแห่งปราณวิญญาณ อีกทั้งยังมีทักษะในการรักษาความงาม ผิวของพวกนางจึงนุ่มละมุนยิ่ง รูปลักษณ์หน้าตาก็มีเสน่ห์อันน่าพิสมัย และเราจะได้ลิ้มลองมันเมื่อกองทัพของเราได้บุกเข้าไปในภพทั้งสามแล้ว!”
“ลิ้มลองหรือ? ฮ่า ๆ! ดูเหมือนว่าเจ้าต้องการกลืนแก่นแท้ของพวกนางเสียมากกว่ากระมัง!?”
“แล้วนักโทษพวกนี้ล่ะ ฆ่าพวกมันเสียดีหรือไม่?”
“ฆ่าพวกมันซะ!”
ทันใดนั้น เสียงร้องโหยหวนที่น่าสังเวชก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังสนั่น เสียงนี้ก้องกังวานไปทั่วทั้งค่าย ทำให้ที่แห่งนี้ดูคล้ายกับเต็มไปด้วยอสูรร้ายและภูตผีปีศาจอันน่าสยดสยองพองขน
เมื่อทหารยามรอบค่ายได้ยินเสียงร้องโหยหวนระลอกนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างหัวเราะลั่น เพราะนี่ไม่ใช่กลุ่มหญิงสาวเผ่านรกขุมที่เก้าชุดแรกที่พวกเขาฆ่า ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มชินกับเหตุการณ์นี้แล้ว
…
“สารเลว! ข้าจะฆ่าสัตว์เดรัจฉานพวกนี้ให้หมด!” ห่างจากจุดตั้งค่ายออกไปไกลมาก ดวงตาของโม่ย่าลุกโชนด้วยโทสะจนแทบจะพ่นไฟออกมา นางกัดฟันแน่นจนเกือบแตก
แม้ว่านางจะไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะประชิด แต่เพียงแค่เสียงก็มากพอแล้วที่จะแน่ใจว่า หญิงสาวบางคนจากเผ่าของนางนั้นกำลังถูกทรมานและถูกฆ่า!
“โม่ย่า! หากเจ้าต้องการทำลายล้างพวกมันโดยไม่ให้เหลือแม้แต่วิญญาณ เจ้าควรสงบอารมณ์ซะ!” เหมิงเหวยเตือนด้วยเสียงทุ้มต่ำ สีหน้าของเขาดูหม่นหมองเช่นกัน
แต่เพราะเหมิงเหวยทราบดีว่านี่คือการลอบโจมตี ดังนั้นเขาจึงพยายามควบคุมไฟโกรธในใจ และเลือกที่จะเฝ้ารออย่างเงียบ ๆ แทน
อันที่จริง เฉินซีก็รู้สึกอึดอัดอย่างมากเช่นกัน จิตสัมผัสเทพของเขาสามารถแผ่ปกคลุมพื้นที่นับหมื่นลี้ และชายหนุ่มก็ได้เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในค่ายอย่างชัดเจน ทั้งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง วิธีการอันโหดเหี้ยม รวมถึงเสียงที่น่าสังเวชและสิ้นหวังของหญิงสาวเหล่านั้น ทั้งหมดนี้ได้ทำให้เปลวไฟแห่งความโกรธในใจของชายหนุ่ม… ลุกโชนจนแทบมอดไหม้!
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่า ไม่ว่าจะเป็นนิกายเซียนหรือนิกายอสูร เมื่อกล่าวถึงคำว่าต่างพิภพ พวกเขาจะแสดงความเกลียดชังที่ฝังลึกออกมา
เหตุการณ์ตรงหน้าเขาคือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด
ความเกลียดชังเช่นนี้เกิดขึ้นระหว่างเผ่าต่างพิภพกับภพทั้งสาม และมันเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน ซึ่งยังคงดำเนินมาตั้งแต่ยุคบรรพกาลจนถึงตอนนี้ และไม่มีวันที่จะประนีประนอมกันได้
มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะกำจัดความเกลียดชังนี้ได้ นั่นคือการทำลายอีกฝ่ายให้หมด!
หลังจากนั้นไม่นาน ภายในค่ายที่ตั้งอยู่ไกลออกไป หน่วยลาดตระเวนก็เริ่มถอนตัวกลับมา พวกมันเริ่มพักและฟื้นฟูพลัง
เนื่องจากปราณวิญญาณในนรกขุมที่เก้ากำลังเหือดแห้งไป จนแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพียังต้องพึ่งพาโอสถวิญญาณเพื่อเติมเต็มพลัง เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพพวกนี้ก็ไม่ต่างกันนัก
“บุกได้!” เสียงทุ้มต่ำและเต็มไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟันเปล่งออกมาจากปากของเฉินซี ในพริบตาต่อมา พวกเขาทั้งสามพลันกลายเป็นเงาพุ่งเข้าหาค่ายอย่างรวดเร็ว!
…
“เป็นสถานที่รกร้างอย่างแท้จริง แม้แต่เราก็ยังต้องบ่มเพาะเพื่อเติมเต็มพลังทุกวัน นี่มันน่ารังเกียจจริง ๆ” ผู้เยี่ยมยุทธ์จากพิภพปักขีที่นั่งอยู่ในค่ายบ่นพึมพำและรู้สึกเบื่อหน่าย
นรกขุมที่เก้านั้นรกร้างเกินไปและไม่มีที่ให้พวกเขาเล่นสนุก ไม่ว่าจะเป็นหญิงงามหรือแม้แต่สุราเลิศรส ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น! สิ่งนี้ทำให้ผู้พูดเบื่อหน่ายและไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการออกจากสถานที่ที่น่าเบื่อนี้โดยเร็วที่สุด
“เฮ้อ ข้าล่ะสงสัยว่า เราจะเข้าไปยังภพทั้งสามและเล่นสนุกกับผู้หญิงของที่นั่นได้เมื่อไรกัน…” เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและเผลอเลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้นพลันมีมือยื่นออกมาจากทางข้างหลังโดยไร้สุ้มเสียง และปิดปากของเขาไว้ ซึ่งก่อนที่เจ้าตัวจะทันได้ตอบสนอง จิตใจของผู้บ่มเพาะต่างพิภพคนนี้ก็ล่องลอยราวกับถูกค้อนศึกฟาด และวิญญาณของเขาก็แตกสลายในทันที
คนที่สิบหก…
ร่างสูงเดินออกมาจากเงามืดและพุ่งทะยานไปไกล ก่อนจะหายวับไป
พรวด!
อีกด้านหนึ่ง มือที่หนาเหมือนใบพัดของเหมิงเหวยพลันบิดอย่างรุนแรงพร้อมศีรษะของศัตรูในมือ ทำให้เกิดเสียงกระดูกแตกเป็นเสี่ยง ๆ ดังก้องออกมาจากลำคอของศัตรู
เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการที่ตรงไปตรงมาและเด็ดขาดของเหมิงเหวยแล้ว โม่ย่ากลับโหดเหี้ยมกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด นางทำลายดวงวิญญาณของศัตรูด้วยปราณจ้าววิญญาณ ก่อนจะฟันซ้ำด้วยกริช และถึงกับหั่นศพของศัตรูเป็นชิ้น ๆ ก่อนรวบรวมเศษเนื้อทั้งหมดมาด้วยความตั้งใจที่จะใช้มันเป็นอาหารของเหยี่ยวกระดูกหลังจากกลับค่าย
แม้จะใช้วิธีในการเข่นฆ่าต่างกัน แต่การลงมือของทั้งคู่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ไม่มีประกายแสงระยิบระยับ ไม่มีเสียงสะท้านฟ้าสะเทือนดิน หรือเคล็ดวิชาลึกลับซับซ้อนใด ๆ การลงมือของพวกเขานั้นเรียบง่ายเสมอ อีกทั้งยังน่าขนลุก!
แม้แต่เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความประหลาดใจ เพราะชายหนุ่มไม่เคยคิดมาก่อนว่า เคล็ดวิชาสังหารของสองคนนี้จะบรรลุถึงขอบเขตดังกล่าวแล้ว!
การเฝ้าดูพวกเขาสังหารไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่ามันงดงามจนแทบลืมหายใจแต่อย่างใด ทว่ากลับทำให้จิตใจจมดิ่งลงและรู้สึกสิ้นหวังแทน
ทว่าเฉินซีได้ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน จึงมีบ้างที่เขาจะใช้วิธีน่ารังเกียจและน่าสยดสยอง บ้างก็เป็นกลยุทธ์แพรวพราวและงดงาม หรือมีบ้างที่จะลงมืออย่างบ้าคลั่งและกระหายเลือด แต่เขาไม่เคยเห็นการฆ่าฟันที่เรียบง่ายและน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้อย่างที่เห็นจากเหมิงเหวยกับโม่ย่ามาก่อน!
ตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งคู่ไม่แสดงสีหน้าแม้แต่น้อย และดูเหมือนหุ่นเชิดไร้อารมณ์ที่คอยปลิดชีวิตของศัตรูอย่างเงียบ ๆ!
ไม่มีใครในค่ายสังเกตเห็นว่า คนของพวกเขากำลังตายอย่างต่อเนื่อง และการสังหารทั้งหมดก็ดำเนินไปอย่างเงียบงัน
มีคนมากกว่าสามร้อยคนในค่ายนี้ และมีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผลึกม่วงในหมู่พวกเขาเท่านั้นที่ควรค่าแก่การได้รับความสนใจ ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับทอง ระดับเงิน และระดับทองสัมฤทธิ์คนอื่น ๆ ไม่มีค่าอะไรที่จะกล่าวถึง
ถ้าไม่ใช่เพื่อทำลายพวกมันทั้งหมดอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ปล่อยให้รอดแม้แต่คนเดียว เหมิงเหวยคนเดียวก็เพียงพอที่จะกวาดล้างผู้เยี่ยมยุทธ์ส่วนใหญ่ที่นี่แล้ว!
แม้ว่าเฉินซีจะสูญเสียการบ่มเพาะปราณแท้ของเขาไปโดยสิ้นเชิง ในขณะที่การขัดเกลากายาของชายหนุ่มเพิ่งจะฟื้นตัวได้ประมาณขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเท่านั้น แต่จิตสัมผัสเทพของเขาก็ทรงอานุภาพและเทียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี ดังนั้นตราบใดที่ชายหนุ่มไม่ได้ต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับทองและระดับผลึกม่วง การฆ่าคนก็ง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ!
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเป็นเหมือนผีร้ายสามตนจากนรกที่คอยเก็บเกี่ยวชีวิตของทุกคนอย่างเงียบ ๆ และได้พรากชีวิตของศัตรูไปโดยที่พวกมันไม่แม้แต่จะทันรู้ตัว!
การเข่นฆ่าเริ่มเข้าประชิดสู่ใจกลางค่ายทีละน้อย
ในที่สุด กลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อสหายของพวกเขาที่อยู่รอบ ๆ หายไปกว่าครึ่ง
“ระวัง! มีการลอบโจมตี!”
เสียงของผู้เยี่ยมยุทธ์พิภพปักขียังมิทันจางหายไป มันก็หยุดชะงักกะทันหัน
เสียงอึกทึกครึกโครมในค่ายหายไปทันที และกลายเป็นความเงียบสงัด แม้แต่อากาศก็ดูจะกลายเป็นน้ำแข็ง มันไม่มีเสียงลมแม้แต่น้อย มีเพียงกลิ่นเลือดโชยเข้าจมูกเท่านั้น!
ฟึ่บ!
ทันใดนั้น กระโจมที่อยู่ตรงกลางของค่ายก็ถูกเลิกขึ้น ก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงในชุดคลุมสีเงินจะเดินออกมาจากภายใน ดวงตาของเขาดุจสายฟ้าแลบ และกลิ่นอายอันโอ่อ่าอย่างไม่อาจเทียบของเจ้าตัวก็ดุร้ายราวกับมังกร
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นหัวหน้ากลุ่มนี้ ซึ่งเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผลึกม่วงจากพิภพปักขี
ข้างหลังคนผู้นี้มีผู้เยี่ยมยุทธ์พิภพปักขีอีกสิบคน พวกมันทั้งหมดมีกลิ่นอายที่ลึกล้ำ ดวงตาอาบด้วยแสงเจิดจ้า และพวกมันทั้งหมดก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติเลย!
“พวกมันตายหมดแล้ว” ชายหนุ่มร่างสูงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แม้สีหน้าของเขาจะยังคงสงบนิ่ง แต่อุณหภูมิในดวงตาของเขากลับเย็นยะเยือกในทันที กระทั่งปลดปล่อยจิตสังหารที่เข้มข้นออกมา
“สารเลวตัวใดกัน?! ไสหัวออกมาซะ!” ชายร่างสูงผู้นั้นฟาดฝ่ามือออกไป ส่งแสงสีเงินออกมาราวกับทางช้างเผือกอุบัติลงมาจากสวรรค์ทั้งเก้า และที่ตั้งค่ายทั้งหมดก็พังทลายสิ้น ทำให้ฝุ่นผงฟุ้งกระจายไปในอากาศ
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ท่ามกลางฝุ่นหมอกควัน เสียงเสียดแหลมและรวดเร็วจำนวนมากได้ทะลุผ่านท้องฟ้าและก้องกังวานออกมาในทันที ทำให้วิญญาณสั่นสะท้านและเลือดก็สูบฉีดอย่างตื่นตัว
พวกมันคือลูกธนูแสงเย็นยะเยือกจำนวนมาก ที่ขดเป็นวงด้วยปราณจ้าววิญญาณอันพร่างพราย และพวกมันก็เหมือนกับฝนอุกกาบาตที่พุ่งลงมาจากนอกโลก ฉีกผ่านความว่างเปล่าออกจากกันด้วยความเร็วที่ทำให้ผู้คนรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง!
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เสียงระเบิดดังขึ้นเป็นชุด ๆ และโดยที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับทองหกคนไม่ทันตั้งตัว พวกเขาก็ถูกลูกธนูแสงอันน่าสะพรึงยิงเข้าใส่ ทำให้เลือดและเนื้อสาดกระเซ็นไปทั่วท้องฟ้า
ส่วนผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับทองที่เหลืออีกสี่คนต่างหลบไปด้านข้าง แต่ก่อนจะทันได้โต้ตอบ พวกเขาพลันรู้สึกถึงเสียงหึ่ง ๆ ในวิญญาณ ก่อนจะรู้สึกคล้ายถูกฟ้าผ่า ทำให้การมองเห็นของพวกเขาดำมืด และการเคลื่อนไหวก็เชื่องช้าลงเล็กน้อย
เป็นความเชื่องช้าเล็กน้อยนี้เองที่คร่าชีวิตของพวกเขาไป ทำให้คนทั้งสี่แตกกระจายเป็นเมฆฝนโลหิต เนื้อหนังมังสาสาดกระจาย
“รนหาที่ตาย!” ชายหนุ่มร่างสูงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวด้วยสีหน้าฉุนเฉียว ในตอนนี้ เขาได้เห็นรูปลักษณ์ของศัตรูที่บุกเข้ามาในค่ายอย่างชัดเจนแล้ว และศัตรูก็มีเพียงสามคนเท่านั้น!
ตัวเขาจดจำชายหญิงในหมู่พวกมันได้ เพราะชายหญิงสองคนนี้เป็นเป้าหมายสำคัญที่ต้องสังหารให้ได้! ซึ่งคนทั้งสองก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากหัวหน้าเผ่าเหมิงเหวยกับโม่ย่าแห่งเผ่านรกขุมที่เก้านั่นเอง!
ส่วนชายหนุ่มอีกคนนั้นมีรูปลักษณ์ไม่คุ้นตาอย่างยิ่ง ทว่าร่างสูงก็ค่อนข้างแน่ใจว่า ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนในเผ่านรกขุมที่เก้าอย่างแน่นอน!
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ เขาไม่อาจคิดถึงเรื่องทั้งหมดนี้ได้ ด้วยคนในเผ่าของชายหนุ่มร่างสูงถูกกวาดล้างจนหมดแล้ว และมีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่!!
…ตามข้อมูลที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ ทั้งเหมิงเหวยและโม่ย่าอยู่ในขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์เท่านั้น จึงไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา แม้แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาระดับทองสิบคน ก็เพียงพอที่จะบดขยี้เหมิงเหวยกับโม่ย่าแล้ว!
แต่ตอนนี้ พวกมันกลับฆ่าผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสิบคนของเขาอย่างง่ายดาย ดังนั้นชายหนุ่มจะไม่แปลกใจได้อย่างไร?
“บัดซบ!”
“หน่วยข่าวกรองไม่ได้บอกไว้หรือว่า มันทั้งสองจะไม่สามารถบรรลุขอบเขตจุติได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง …เหตุใดพวกมันจึงได้เข่นฆ่าตลอดทางจนมาอยู่ตรงหน้าของข้าแล้วได้กันเล่า?”
“หรือว่าเป็นเพราะชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้น?”
ดวงตาของชายหนุ่มร่างสูงหรี่ลงเล็กน้อย เขาทั้งประหลาดใจและสับสนงุนงง
ฟึ่บ!
ในเวลาต่อมา ปีกที่ด้านหลังของชายหนุ่มร่างสูงก็กางออก ก่อนที่ทั้งตัวคนจะแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสีเงินที่ถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
เพราะชายหนุ่มตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า เขาไม่มีทางพลิกสถานการณ์ในวันนี้ได้ และตัวเขาต้องการกำลังเสริม!
ผึง!
รอยยิ้มเย็นชาผุดขึ้นที่มุมปากของเหมิงเหวย จากนั้นเขาก็ชักคันธนูออกมา ก่อนจะยิงศรออกไป!
พรึ่บ!
ลูกศรแสงยาวราวสิบสามจั้งที่ดูราวกับลำแสงพุ่งทะยานผ่านท้องฟ้า
ชายหนุ่มร่างสูงซึ่งอยู่ห่างออกไปนับพันลี้แทบไม่มีโอกาสที่จะหลบเลย ก่อนที่ร่างของเขาจะธนูดอกนี้ระเบิดจนเป็นชิ้น ๆ และกลายเป็นสายฝนแห่งแสง สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย!