บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 706 การบ่มเพาะถึงขอบเขตขีดสุด
บทที่ 706 การบ่มเพาะถึงขอบเขตขีดสุด
บทที่ 706 การบ่มเพาะถึงขอบเขตขีดสุด
ในใจของโม่ย่าและเหมิงเหวยเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เส้นขนของพวกเขาลุกชันอย่างไม่อาจควบคุม และยามที่เห็นเฉินซีกวัดแกว่งกระบี่ คนทั้งสองก็ถึงกับลืมหายใจ
ปากของพวกเด็ก ๆ อ้ากว้าง สายตาเผยความตกตะลึงขณะมองร่างสูงที่อยู่เบื้องหน้า
อันที่จริงพวกเด็ก ๆ ทราบอยู่ก่อนแล้วว่าลุงเฉินซีนั้นยอดเยี่ยม แต่พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่า ชายหนุ่มจะไร้เทียมทานได้ขนาดนั้น! กระบี่ที่กวัดแกว่งจากมือของเขา …ทำให้ศีรษะของผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผลึกม่วงตกลงสู่พื้น!
ท่านลุงเฉิน…ช่างร้ายกาจยิ่งนัก!
ภายในใจของพวกเด็ก ๆ ต่างรู้สึกทึ่ง สายตาหลายคู่ล้วนฉายแววร้อนแรง ความเคารพนับถือต่ออีกฝ่ายผุดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ
หากการสะบัดแขนเสื้อที่พรากชีวิตของผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพทั้งสิบสามตนของเฉินซีว่าน่าประหลาดใจแล้ว เช่นนั้นกระบี่สุดหยั่งที่กวัดแกว่งออกมานี้ก็ระเบิดเปลวเพลิงแห่งความหวังในใจของทุกคนได้แล้ว!
บรรดาผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพเริ่มเคลื่อนไหวอย่างกระสับกระส่าย พวกเขาหลายคนเกิดความต้องการที่จะล่าถอยขึ้นในใจ
แม้แต่ชวีถ่าและหัวหน้ากลุ่มคนอื่น ๆ ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น นั่นเพราะชายหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้าผู้นี้น่าหวาดกลัวเกินไป ทำให้พวกเขาหวาดหวั่นและตื่นตระหนก
ในตอนนี้เอง ถ้อยคำอันเย็นเยือกได้เปล่งออกมาจากปากของเฉินซีช้า ๆ ว่า “ในเมื่อพวกเจ้าทั้งหมดมากันแล้ว เช่นนั้นก็เท่ากับตัดสินใจทิ้งชีวิตไว้ ภพทั้งสามได้กลายเป็นสถานที่ที่พวกเจ้านึกจะไปมาตามใจชอบตั้งแต่เมื่อไรกัน?” ทันทีที่กล่าวจบ เฉินซีพลันสาวเท้ามาข้างหน้าขณะที่สายตาคมกริบราวใบมีดกวาดผ่านทุกคนที่อยู่ที่นี่ พร้อมกับเผยกลิ่นอายอันดูหมิ่นภายใต้ความสงบและความเฉยเมยของเขา
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกพูดออกมา บรรยากาศโดยรอบพลันตกอยู่ในความเงียบสงัด ในขณะที่หัวใจของทุกคนเริ่มเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับคิดในใจว่าสหายผู้นี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว!
“ฮ่า ๆ เจ้าคิดว่าตนเองจะรับมือพวกข้าทุกคนที่นี่เพียงลำพังได้อย่างนั้นหรือ?” ชวีถ่าเริ่มหัวเราะจากไกล ๆ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา
“สหายตัวน้อย เจ้าหยิ่งทะนงเกินไปแล้ว พวกข้าอีกมากได้ตั้งค่ายอยู่ห่างออกไปเก้าหมื่นลี้ และด้วยพละกำลังของเจ้าเพียงลำพัง เจ้าจะสามารถรั้งตัวพวกข้าได้สักกี่คนกันเชียว?” ใครบางคนลอบเย้ยหยัน
“ใช่แล้ว ปรมาจารย์อวิ๋นซู่อยู่ห่างออกไปเพียงเก้าหมื่นลี้ เท่านั้น ขอเพียงมีเสียงดังผิดปกติแม้เล็กน้อย ท่านก็จะมาที่นี่ทันที เจ้าคิดว่ายังจะมีโอกาสอีกหรือ?” คนที่พูดคือชายร่างเตี้ย
เมื่อเอ่ยคำว่า ‘ปรมาจารย์อวิ๋นซู่’ ชายร่างเตี้ยคล้ายกับกินโอสถกระตุ้นหัวใจเข้าไป ทำให้ความหวาดกลัวในใจถูกชะล้างจนสิ้น หลังจากนั้น สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือสายตาซึ่งเต็มไปด้วยความเหยียดหยันกำลังจ้องมองไปยังเฉินซี
ทว่าไม่ใช่แค่ชายร่างเตี้ยเท่านั้น แม้กระทั่งสีหน้าของผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพคนอื่นก็ผ่อนคลายทันที ตอนนี้ ค่ายของพวกเขาอยู่ห่างออกไปเพียงเก้าหมื่นลี้เท่านั้น อีกทั้งยังมีตัวตนที่แข็งแกร่งอย่างปรมาจารย์อวิ๋นซู่อยู่เบื้องหลังอีกด้วย!
หากเป็นผู้บ่มเพาะธรรมดาทั่วไป อาจต้องใช้เวลาราวครึ่งชั่วยามหรือมากกว่าสำหรับระยะทางเช่นนี้ หากแต่สำหรับปรมาจารย์อวิ๋นซู่แล้ว อีกฝ่ายย่อมใช้เวลาเพียงอึดใจเดียวเท่านั้น!
ท่าทางของชายหนุ่มนั้นนิ่งเฉย เย็นชา และสงบ ทำตัวคล้ายกับจ้าวดินแดนของที่แห่งนี้ และกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า “ข้าพูดคำไหนคำนั้น!”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป สีหน้าของผู้คนจำนวนมากก็ได้เปลี่ยนไป บางคนถึงขั้นแสดงสีหน้าไม่มั่นใจออกมา และถึงแม้น้ำเสียงของเฉินซีจะปกติธรรมดา หากแต่ความหมายในคำพูดเหล่านี้มันช่างหนักแน่นยิ่งนัก!
อันที่จริง ผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพเหล่านี้ดูแคลนชาวพื้นเมืองของทั้งสามภพมาโดยตลอด และไม่เคยมีชาวพื้นเมืองคนใด …กล้าพูดถึงพวกเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพร้อมกับยื่นคำขาดเช่นนี้เลยสักคน!
“ขอดูหน่อยเถิดว่าเจ้ากล้าโจมตีหรือไม่!” ผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ตั้งแต่เมื่อใดที่ชาวพื้นเมืองของภพทั้งสามถึงกล้าไม่ให้ความเคารพกับพวกข้า?”
สายตาของเฉินซีชำเลืองมองราวกับสายฟ้าฟาด ก่อนจะปลดปล่อยแสงสว่างสีทองสองสายออกไป และเผยประกายกระบี่อันแหลมคมออกมา!
พรวด!
ร่างของคนที่พูดเมื่อครู่ถูกฟันขาดครึ่ง ทำให้โลหิตและชิ้นส่วนร่างกายจำนวนมากตกลงมาจากท้องนภา
ผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพเหล่านี้ล้วนไม่คาดคิดว่าเฉินซีจะถึงกับกล้าลงมือ ดังนั้นพวกเขาจึงแตกตื่นในทันที
บ้างโห่ร้องหมายจะดึงความสนใจของค่ายที่ประจำการอยู่ไกลออกไปเพื่อขอการสนับสนุน
บ้างคิดเคลือหลบหนีในทันที
บ้างเผยสีหน้าเดือดดาล วิตกกังวล และสงสัยออกมา
ความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพเหล่านี้สามารถตัดสินได้จากการตอบสนองในขณะนี้ และก็คงพูดได้เพียงว่าคนพวกนี้ ทั้งอ่อนแอ ไร้ฝีมือ และถนัดแต่รังแกผู้อ่อนแอกว่าเท่านั้น!
แน่นอนว่ามีบางคนที่ตระหนักทราบถึงปัญหา และพยายามเปลี่ยนสถาการณ์ในปัจจุบัน แต่พวกเขาไม่มีเวลาเตือนทุกคน เพราะการต่อสู้มันได้ปะทุขึ้นแล้ว…!
ฟิ้ว!
ลวดลายอักขระยันต์นับไม่ถ้วนพลันถักทอคลุมพื้นที่กว้างใหญ่จนกลายเป็นกรงขัง มันเคลื่อนลงมาปกคลุมรอบทิศ และผนึกเส้นทางการหลบหนีทั้งหมดทันที!
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้สีหน้าของผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพเหล่านั้นหน้าซีดเผือด พวกเขาคำรามอย่างเกรี้ยวกราดขณะพยายามพุ่งผ่านพื้นที่กักกันนี้อย่างสุดกำลัง!
พวกเขาทั้งหมดเข้าใจดีว่า พวกตนต้องใช้พละกำลังทั้งหมดในตอนนี้เพื่อฝ่าหนีออกไป …หาไม่แล้ว พวกเขาอาจจะต้องสิ้นลมหายใจก่อนที่ปรมาจารย์อวิ๋นซู่จะมาให้การสนับสนุนได้!!
“ทะลวง!”
“ปรมาจารย์อวิ๋นซู่ ช่วยพวกข้าด้วย!”
“ฆ่า! ทุกคน จงร่วมแรงกันโจมตีเพื่อฆ่าชาวพื้นเมืองผู้นี้ก่อน!”
ทุกสิ่งในบริเวณนี้คล้ายกับตกอยู่ในความโกลาหล บ้างโห่ร้องเพื่อรวบรวมพลังหมายจัดการกับเฉินซี บ้างเป็นห่วงแต่เรื่องหลบหนี บ้างฝากความหวังไว้กับปรมาจารย์อวิ๋นซู่ ทำให้เหตุการณ์ดังกล่าวตกอยู่ในความวุ่นวายโดยสิ้นเชิง
“ไม่จำเป็นต้องตะโกนไป เพราะเสียงของพวกเจ้าทุกคนไม่อาจเล็ดลอดออกไปได้ ด้วยที่แห่งนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของข้าแล้ว!” ท่ามกลางความโกลาหลนี้ น้ำเสียงเย็นยะเยือกและสงบของเฉินซีดังขึ้นในหูของพวกเขา ราวกับน้ำเย็นที่ราดเข้ากลางใจของทุกคน
เฉินซีก้าวอยู่บนมหาเต๋าที่เขาครอบครอง และทุกย่างก้าวที่เคลื่อนลงมา มันก็ได้ทิ้งดอกบัวที่เกิดจากลวดลายอักขระยันต์ลึกล้ำนับไม่ถ้วน ทำให้เขากลายเป็นศูนย์รวมของมหาเต๋า ราวกับปรมาจารย์แห่งเต๋าอักขระยันต์!
เคร้ง!
การฆ่าฟันได้เริ่มขึ้นแล้ว
การฟื้นฟูแดนฮุ่นตุ้นมาพร้อมกับเส้นลมปราณทั่วทั้งร่างที่ถูกสลักด้วยลวดลายอักขระยันต์จำนวนมาก และพวกมันได้สร้างการไหลเวียนที่สอดคล้องกับสวรรค์และโลก สิ่งนี้ไม่เพียงแค่ทำให้การบ่มเพาะของเขาฟื้นฟูเท่านั้น แต่ยังทำให้การบ่มเพาะไปถึง ‘ขอบเขตขีดสุด’ ถึงขนาดที่ชายหนุ่มในขณะนี้สามารถบดขยี้เยี่ยนสือซานด้วยพลังที่มีอย่างง่ายดายหากได้เผชิญหน้ากันอีกหน!
สิ่งที่เรียกว่า ‘ขอบเขตขีดสุด’ คือสภาวะที่เกี่ยวกับการบ่มเพาะ และปรากฏขึ้นน้อยครั้ง นับตั้งแต่บรรพกาลจนถึงตอนนี้ มีเพียงสัตว์ประหลาดไร้เทียมทานที่ครอบครองศักยภาพในการกลายเป็นตัวตนยิ่งใหญ่เท่านั้นที่มีความเป็นไปได้จะบรรลุถึงสภาวะนี้!
แน่นอนว่าแค่มีความเป็นไปได้!
ถ้าไม่ใช่เพราะแดนฮุ่นตุ้นของเฉินซีถูกทำลายก่อนจะฟื้นคืนโดยใช้ยันต์เทวะทั้งห้าเป็นรากฐานในการสร้างขึ้นใหม่ ย่อมเป็นการยากยิ่งที่เขาจะบรรลุสภาวะนี้ได้
ดังคำกล่าวที่ว่าการสรรค์สร้างก่อเกิดจากการทำลายล้าง
หลังจากประสบกับการทำลายล้างอย่างหนัก มันจึงทำให้เฉินซีได้รับ ‘ขอบเขตขีดสุด’ จากการบ่มเพาะอย่างไม่คาดคิด!
ในตอนนี้ การบ่มเพาะปราณแท้ของชายหนุ่มได้บรรลุสู่จุดสูงสุด และเขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามในการบ่มเพาะอีก ทั้งหมดที่ต้องทำคือการทำความเข้าใจมหาเต๋าทั้งหลายที่เขาครอบครองอยู่จนถึงขั้นสมบูรณ์ เพียงเท่านี้เขาก็จะระเบิดพลังได้เป็นเท่าทวีคูณแล้ว!
และหากพยายามอีกเพียงน้อยนิด บางทีเขาอาจได้แตะเข้าสู่ขอบเขตเซียนปฐพีก็เป็นได้!
ในตอนนี้ ฝนโลหิตกำลังตกลงมาภายในสมรภูมิ ขณะที่เสียงกรีดร้องดังก้อง
เฉินซีผู้เปิดฉากเชือดเฉือนได้ขยับเคลื่อนกายไปมา เผยพลังอันไร้เทียมทาน จากนั้นตัวคนก็พุ่งออกไปราวกับคมเคียวรูปทรงมนุษย์ที่สามารถเก็บเกี่ยววิญญาณทุกหนแห่งที่ผ่านไป!
ผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพเหล่านี้มาด้วยความตั้งใจที่จะสังหาร ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่คิดยั้งมือแม้แต่น้อยเมื่อลงมือในครั้งนี้!
ลวดลายอักขระยันต์ทะยานออกไป ขณะที่ศาสตร์เต๋าขั้นสูงจำนวนมากเคลื่อนลงมาราวกับพายุฝน และระเบิดออกเป็นระลอกคลื่น!
เฉินซีผู้ฟาดฟันมาจนถึงตรงนี้ ภายในใจของเขาได้เกิดความรู้สึกยินดีอย่างยากอธิบาย การเคลื่อนไหวของเขาก็ยิ่งหมดจด มันทั้งแม่นยำและตรงไปมาตรง ทำให้การโจมตีธรรมดานี้เปี่ยมด้วยพลังสูงสุด
ภายในช่องเขา โม่ย่า เหมิงเหวย และเด็ก ๆ ต่างจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้างขณะที่ร่างของชายหนุ่มวูบไหวไปมาราวกับสายฟ้าอันคมปลาบ …พวกเขาตกตะลึงจนพูดไม่ออกและถึงขนาดลืมหายใจ!
เพียงแค่เคลื่อนกายผ่านก็มีผู้คนล้มตาย? ท่วงท่าอันสง่างามเช่นนี้ …นี่เขาใช่ท่านลุงเฉินซีขี้โรคคนนั้นแน่หรือ?