บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 707 จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ชื่อเยี่ยน
บทที่ 707 จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ชื่อเยี่ยน
บทที่ 707 จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ชื่อเยี่ยน
ฝนเลือดหมุนวนลงมา ในขณะที่แขนขาขาดต่างกระเด็นไปทั่วทุกทิศทาง เสียงร้องโหยหวนก็ดังตามขึ้นมา
อากาศเหนือช่องเขาเป็นเหมือนหลุมดำแห่งความตายอันน่ากลัว และงานเลี้ยงแห่งความตายก็ถูกจัดขึ้น ณ ที่แห่งนั้น
แต่เฉินซีกลับคล้ายมีอำนาจเหนือชีวิตและความตายในที่แห่งนี้ เขาเดินผ่านท้องฟ้าราวกับสายฟ้าฟาด ขณะที่เสื้อผ้าพลิ้วตามลม เช่นเดียวกับฝนเลือดโปรยปรายในทุกที่ที่ชายหนุ่มไป
นี่เป็นการสังหารที่เกิดจากช่องว่างในความแข็งแกร่ง และผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพเหล่านี้ก็เหมือนเศษฝุ่นไร้ค่าในสายตาของเฉินซี!
ชายหนุ่มไม่ปรานีแม้แต่น้อย เพราะผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพเหล่านี้ได้ทรมานและสังหารคนของเผ่านรกขุมที่เก้าไปนับล้านคน แล้วคนพวกนั้นเคยสนใจเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ผู้เฒ่าผู้แก่ที่อ่อนแอ และสตรีที่มีจิตใจดีงามในเผ่านรกขุมที่เก้าบ้างหรือไม่?
ดังนั้นแล้วผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพเหล่านี้จึงสมควรตาย!
ดังนั้น ไม่ว่าผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพจะร้องโหยหวนหรือร้องขอความเมตตาอย่างไร ตั้งแต่ต้นจนจบ สีหน้าของชายหนุ่มก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย มันเย็นชา สงบ ไม่แยแส ไร้อารมณ์และเด็ดขาดยิ่ง
สีหน้าของเหมิงเหวย โม่ย่า และเด็ก ๆ ที่อยู่ภายในช่องเขาพลันสงบลง ก่อนที่จะเผยความเศร้าโศกออกมา ราวกับพวกเขาได้เห็นภาพนองเลือดของคนในเผ่านับไม่ถ้วนที่ตายลงต่อหน้าต่อตา และคล้ายกับเสียงร้องอันน่าเวทนาสิ้นหวังของคนในเผ่าเมื่อตอนนั้น …ดังก้องขึ้นอีกครา!
พวกเขาจึงพากันกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่เลือดอันร้อนระอุก็พุ่งเข้าสู่หัวใจของทุกคน ทำให้เกิดความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ยามมองไปยังร่างสูงที่อยู่กลางอากาศ
ตุ้บ!
เหมิงเหวยคุกเข่าลงบนพื้น ใบหน้าของเขาที่ดูเหมือนถูกแกะสลักด้วยใบมีด ถูกปกคลุมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จริงจัง และจริงใจ
ในช่วงเวลาต่อมา โม่ย่าและเด็ก ๆ ก็พากันคุกเข่าลงบนพื้นอย่างพร้อมเพรียง และสีหน้าของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความจริงใจและมั่นคงเหมือนกับเหมิงเหวย
ในระยะไกล การฆ่าฟันและการนองเลือดยังคงดำเนินอยู่ เป็นภาพอันน่าสยดสยอง แต่ทางฝั่งช่องเขานั้นกลับเงียบสนิท และบรรยากาศภายในที่แห่งนี้ก็ให้ความรู้สึกที่เคร่งขรึม คล้ายเวลาที่บรรพบุรุษในสมัยโบราณได้ถวายเครื่องสังเวยแด่ฟ้าดิน และหมอบกราบบูชาเทพเจ้าทั้งหลาย
การคุกเข่ากับพื้นเป็นพิธีเก่าแก่ที่บรรพบุรุษในสมัยโบราณใช้ เมื่อพวกเขาสรรเสริญและขอบคุณ ขณะที่อธิษฐานต่อฟ้าดิน มีเพียงเทพเจ้าและผู้สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ให้กับเผ่าเท่านั้น ที่สามารถเพลิดเพลินกับการปฏิบัติเช่นนี้ได้
แม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ แต่คนของเผ่านรกขุมที่เก้าได้เปลี่ยนความรู้สึกขอบคุณที่มีต่อเฉินซีในใจให้กลายเป็นการบูชาด้วยศรัทธา และสิ่งนี้ก็น่าตกตะลึงยิ่ง!
มีเพียงด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะแสดงความขอบคุณต่ออีกฝ่ายได้
ม่านแห่งการสังหารถูกรูดขึ้นตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ และเมื่อเฉินซีมาถึงช่องเขา พร้อมกับเห็นทุกคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น สีหน้าของเขาค่อย ๆ กลายเป็นจริงจังและเคร่งขรึมขึ้นมา
ก่อนที่ชายหนุ่มจะคุกเข่าลงบนพื้นในทำนองเดียวกัน และกล่าวเบา ๆ ว่า “ชีวิตของข้าได้พวกเจ้าทุกคนช่วยไว้!”
ทันทีที่พูดจบเขาก็มองออกไปไกล ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ แล้วหลุมดำก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ …มันคือที่พำนักที่อยู่ในจี้หยก!
ฟิ้ว!
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ลำแสงที่ไหลล้นราวกับกำลังเคลื่อนย้ายมิติพลันพุ่งไปไกลอย่างสุดลูกหูลูกตา
…
ไม่นานหลังจากที่ชายหนุ่มจากไป ความว่างเปล่าเหนือช่องเขาก็ผันผวนอย่างรุนแรง ก่อนที่ชายหนุ่มรูปงามจะปรากฏตัวที่นั่น เขามีผมยาวสีน้ำเงินเข้มเคลียบ่า มีริมฝีปากบางเหมือนใบมีดและเป็นกระจับแบบสตรี คนผู้นี้ก็คืออวิ๋นซู่
ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ในขณะที่ตัวคนกวาดสายตามองรอยเลือดที่ย้อมก้อนหินด้านนอกช่องเขาให้เป็นสีแดง และซากศพซึ่งนอนเกลื่อนกลาดอยู่ทั่วพื้น สีหน้าของอวิ๋นซู่ยังคงสงบเสงี่ยมและไร้ที่ติ แต่สายตาของเจ้าตัวกลับเย็นยะเยือกยิ่ง
“ไม่นึกเลยว่า ข้าจะมาช้าไป…”
อวิ๋นซู่ถอนสายตาออกอย่างไร้อารมณ์
ตู้ม!
จู่ ๆ คลื่นพลังที่ไร้รูปร่างพลันแผ่ออกมาจากร่างกายของเขา มันได้กระจายออกไปทุกทิศทุกทาง และบดขยี้ช่องเขาจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ จนกระทั่งหายไป
“หืม? ช่างรวดเร็วอะไรขนาดนี้!”
อวิ๋นซู่ดูจะตรวจพบบางอย่างและตะลึงเล็กน้อย จากนั้นใบหน้าของเขาก็กลายเป็นคล้ำเครียด ขณะที่คว้าจับไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้าและฉีกมันออกจากกัน ก่อนที่จะเข้าไปข้างใน และหายไปอย่างรวดเร็ว!
…
ห่างออกไปสองหมื่นสองพันห้าร้อยลี้ ประตูบานหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศเหมือนหลุมดำลึกล้ำ กองกำลังกองแล้วกองเล่าของผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพได้รักษาการณ์อยู่รอบ ๆ ประตูบานนี้ และพวกเขาจะปกป้องมันจนลมหายใจเฮือกสุดท้าย
“อืม มันนานมากแล้ว เยว่ยาและคนอื่น ๆ คงกลับมาแล้วกระมัง?”
“พวกเขาเป็นเศษขยะจริง ๆ กับแค่ผู้รอดชีวิตไม่กี่ร้อยคนจากเผ่านรกขุมที่เก้าไม่ใช่หรือ? หากข้าถูกส่งตัวไปที่นั่น รับรองได้เลยว่าเพียงแค่หนึ่งลมหายใจก็สยบพวกมันทุกคนได้แล้ว!”
“พวกเจ้าคิดว่าอาจมีเหตุร้ายเกิดขึ้นหรือไม่? เพราะเราก็สูญเสียกองกำลังไปถึงหกกองในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ แม้ว่าผู้รอดชีวิตเหล่านี้จะมีไม่กี่คน แต่พลังต่อสู้ของพวกเขาก็ไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้”
“ไร้สาระ! ในครั้งนี้มีกองกำลังที่ปิดล้อมพวกมันถึงห้ากองเชียวนะ!”
เสียงสนทนาดังขึ้นภายในกองทัพจากต่างพิภพ พวกเขาเฝ้าอยู่ที่นี่มาหลายวัน แต่จนถึงตอนนี้ พวกเขากลับไม่เห็นแม้แต่นกผ่านมาสักตัว แล้วจะนับประสาอะไรกับร่องรอยของศัตรู สิ่งนี้ทำให้ผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพทั้งหมดที่เฝ้าสถานที่แห่งนี้หมดความอดทน และรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงนั่งคุยกันเฉย ๆ เพื่อใช้ชีวิตให้หมดไปวัน ๆ
“เอ๊ะ? ดูเหมือนจะมีร่างหนึ่งใกล้เข้ามา หรือตาข้าฝาดไปแล้ว?” จู่ ๆ ใครบางคนก็ร้องออกมาด้วยความงุนงง และก็เบิกตากว้าง
“มนุษย์หรือ?” หัวใจของคนอื่น ๆ เย็นวาบ ขณะที่พวกเขากวาดสายตาไปรอบ ๆ แต่กลับไม่พบร่องรอยของใครเลยหลังจากค้นหาเป็นเวลานาน
“เจ้านี่มันโกหกหน้าด้าน ๆ เสียจริง มันไม่มีแม้แต่ผมสักเส้น แล้วจะนับประสาอะไรกับร่างคน” สิ่งนี้ทำให้ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นพวกเขาก็ก่นด่าสาปแช่งด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง
คนที่พูดก่อนหน้านี้เกาศีรษะ และบ่นพึมพำ “แต่ข้าเห็นร่างนั้นอย่างชัดเจน แล้วจะเข้าใจผิดไปได้อย่างไรกัน…?”
“ที่เจ้าไม่เห็นสิ่งนั้นชัดถนัดตา บางทีคงเพราะศัตรูได้บุกเข้าไปแล้ว…” ในขณะนั้น เสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยพลังก็ดังก้องออกมา
หลังจากนั้น ร่างสูงของอวิ๋นซู่พลันปรากฏตัวขึ้นทันที แต่ในขณะนี้ ใบหน้าของเขากลับเย็นชายิ่ง อีกทั้งยังไม่ได้ปกปิดความโกรธและจิตสังหารแม้แต่น้อย
“ท่านปรมาจารย์อวิ๋นซู่!” ทุกคนตกตะลึง จากนั้นจึงลุกขึ้นทันที พร้อมเผยสีหน้าไม่สบายใจออกมา
“ดูเหมือนวันวานที่น่าเบื่อจะบดบังจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเจ้า แล้วเจ้าจะอยู่ไปเพื่ออะไร?” อวิ๋นซู่มีท่าทางไม่แยแส ในขณะที่เขาพลิกมือ แล้วกระบี่สีทองขนาดใหญ่ที่เป็นเหมือนไม้กระดานพลันปรากฏขึ้นในมือชายหนุ่ม
ตู้ม!
การโจมตีด้วยกระบี่อย่างไม่แยแสของเขา เป็นเหมือนลำแสงสีทองที่สัมผัสท้องฟ้าจนมันแหลกสลาย รวมถึงยังส่งผลให้ผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพทั้งสามร้อยคนที่อยู่ตรงหน้าตกตาย จนแม้แต่เนื้อหรือซากศพของพวกมันก็ไม่มีเหลือ ราวกับตัวคนได้สลายไปจนหมดสิ้น!
หลังหมอกควันจางหาย ภาพเบื้องหน้าพลันปรากฏหุบเขาที่ยาวเพียงสองลี้อยู่บนพื้นดิน ทว่าความลึกของมันกลับยากเกินหยั่งคล้ายดั่งหุบเหวลึกที่ไม่อาจวัดก้น!
“พวกเจ้าไม่มีใครคอยเฝ้าระวังเลยแม้แต่คนเดียว แล้วจะบุกภพทั้งสามได้อย่างไร? พวกเจ้าทั้งหมดจึงสมควรตาย เพื่อไม่ให้พวกเจ้านำพาความอับอายมาสู่พวกเรา” อวิ๋นซู่เก็บกระบี่ของเขาและส่ายศีรษะ
เหตุการณ์นี้ทำให้กองกำลังอื่น ๆ ตกตะลึงในทันที จนถึงกับรู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง ทำให้บรรยากาศเงียบลงทันที เพราะพวกเขาทุกคนสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
สิ่งนี้ทำให้พวกเขากลัว เพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ในทางกลับกัน หัวใจของคนที่พูดก่อนหน้านี้ก็กระตุกวูบ ขณะที่ร่างกายของเจ้าตัวเย็นวาบไปหมด เพราะเขาได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน และรู้สึกหวาดกลัวจนวิญญาณแทบออกจากร่าง
“เจ้าทำได้ดี” อวิ๋นซู่เหลือบมองคนผู้นี้ ในขณะที่กล่าวอย่างเฉยเมย
คนผู้นั้นถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกในทันที และเกิดความรู้สึกโชคดีอย่างยิ่งในหัวใจ
“น่าเสียดายที่เจ้าสังเกตเห็นศัตรูช้าเกินไป และศัตรูก็หนีไปแล้ว ดังนั้นเจ้าจะรับหน้าที่สังเกตไปเพื่ออันใดอีก?” คำพูดที่ตามมาของอวิ๋นซู่ทำให้ร่างกายของคนผู้นั้นกลายเป็นน้ำแข็ง ในขณะที่ความหวาดกลัวพลันแทรกซึมไปทั่วร่างกายของเขา
ทว่าก่อนที่จะทันได้ขัดขืน อวิ๋นซู่ก็ทุบศีรษะของคนคนนั้นจนร่างแยกออกจากกันเสียก่อน!
ฉากนี้ทำให้ผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพในกองกำลังอื่นที่อยู่ใกล้เคียงตกใจจนร่างกายสั่นสะท้าน ราวกับว่าพวกเขาได้ตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง
…หลังจากจัดการเรื่องราวทั้งหมดแล้ว อวิ๋นซู่ก็รู้สึกว่าความโกรธในใจของเขาลดลงไปมาก จากนั้นเจ้าตัวก็ทะยานไปถึงหน้าประตูที่ลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนจะขมวดคิ้วครุ่นคิดบางอย่าง
“สิ่งที่ข้ากังวลมากที่สุด สุดท้ายมันก็ยังคงเกิดขึ้น …ศัตรูหนีไปได้สำเร็จ และอีกไม่นานสิ่งมีชีวิตในสามภพคงได้รับรู้ว่า กองทัพจากต่างพิภพของเราได้ยึดครองนรกขุมที่เก้าแล้วกระมัง?”
“แต่ผู้รอดชีวิตจากเผ่านรกขุมที่เก้าหนีไปได้อย่างไร?”
อวิ๋นซู่ขมวดคิ้ว และไม่ว่าเขาจะเค้นสมองสักเพียงใด ก็ยังไม่เข้าใจเลยว่า ผู้รอดชีวิตเพียงร้อยกว่าคนจะบรรลุเป้าหมายทั้งหมดนี้อย่างง่ายดายได้อย่างไร?
จู่ ๆ เขาก็นึกถึงร่างที่ตนเองตรวจพบก่อนหน้านี้ และเคล็ดวิชาตัวเบาที่รวดเร็วปานการเคลื่อนย้ายมิติของอีกฝ่าย
“คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่?”
“หรือว่าทั้งหมดนี้เกิดจากเขา?”
“พวกมันหนีไปแล้วหรือ?” จู่ ๆ เสียงอันแหบแห้งพลันดังก้องออกมา ในขณะที่อวิ๋นซู่กำลังครุ่นคิด แม้เสียงนี้จะไม่ค่อยดังนักและไร้ความผันผวน แต่กลับมีพลังลึกลับที่ทำให้แม้แต่ฟ้าดินยังสั่นสะเทือน จนสะท้อนก้องเสียงของคนพูด
และทันทีที่คำพูดเหล่านี้กล่าวออกมา ไม่ใช่แค่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นที่หน้าซีด แม้แต่เปลือกตาของอวิ๋นซู่ก็อดไม่ได้ที่จะปรือขึ้น ขณะที่เขาหันกลับมาอย่างรวดเร็ว
ร่างที่ดูเหมือนเสาเพลิงพลันปรากฏขึ้นในท้องฟ้าอันไกลโพ้น เขาเป็นเหมือนเทพเจ้าที่อาบด้วยเปลวเพลิง ทำให้ร่างกายของอีกฝ่ายพร่ามัวไปหมด และมองเห็นได้เฉพาะดวงตาใสกระจ่างเท่านั้น ทว่าพวกมันกลับพร่างพราวยิ่งกว่าเปลวเพลิง อีกทั้งยังดูจะแผดเผาท้องฟ้าและสั่นสะท้านฟ้าดินได้ จนทำให้หัวใจของทุกคนที่อยู่ที่นั่นสั่นไหว
และแม้จะเป็นอวิ๋นซู่ก็อดไม่ได้ที่จะตึงเครียด ในขณะที่ตัวคนรู้สึกหายใจไม่คล่อง
ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!
ในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว ผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพทั้งหมด รวมถึงอวิ๋นซู่ก็คุกเข่าอย่างพร้อมเพรียงกัน และตะโกนเสียงดังออกมาว่า “คารวะ ท่านจักรพรรดิ!”
แท้จริงแล้วคนผู้นี้คือ …จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ของต่างพิภพ!
“นึกไม่ถึงว่า พวกเจ้าทุกคนจะยังจำข้าได้ หลังจากที่ข้าถูกปราบปรามอยู่ในที่แห่งนี้มายาวนาน” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ชายผู้อาบไปด้วยเปลวเพลิงแห่งสวรรค์ก็เริ่มยิ้ม แต่มันเป็นรอยยิ้มที่เย็นชา ไม่แยแสและลึกล้ำ ในขณะที่แสงสีแดงเข้มของเปลวเพลิงในดวงตาของเขาก็สว่างขึ้น และดูราวกับเผาผลาญทุกสิ่งในจักรวาลได้
“จักรพรรดิของข้า เราได้ทำลายกำแพงมิติของนรกขุมที่เก้าในครั้งนี้อย่างแม่นยำ เพื่อต้อนรับการกลับมาของท่าน” อวิ๋นซู่โค้งคำนับ และน้ำเสียงของเขาเผยให้เห็นถึงความเคารพอย่างสุดซึ้ง
อวิ๋นซู่เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับแม่ทัพที่สามารถต่อกรกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีได้ และเขาก็มีพลังที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่เมื่ออยู่ตรงหน้าของร่างที่พร่างพราวอย่างยิ่งนี้ ชายหนุ่มกลับให้ความเคารพและถ่อมตัว แสดงความนับถือต่อชายผู้นี้ อีกทั้งไม่กล้าดูหมิ่นแม้แต่น้อย
“ข้าสัมผัสได้ว่า จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เสวียนเฉินซึ่งถูกต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬสยบไว้ภายในด่านแห่งความลึกล้ำได้หลบหนีไปแล้ว และสหายเก่าคนอื่น ๆ ของข้าก็กำลังจะปรากฏตัวในโลกอีกครั้งเช่นกัน…” ชายผู้อาบไปด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก้าวมาถึงหน้าประตูที่นำไปสู่ภพทั้งสาม จากนั้นจึงถอนหายใจเบา ๆ “ทั้งสามภพกำลังจะตกอยู่ในความโกลาหล นี่เป็นโอกาสของเรา และคราวนี้เราจะล้มเหลวไม่ได้อีกแล้ว…”
“ทว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่จะรุกรานทั้งสามภพ ดังนั้นประตูนี้จึงไม่อนุญาตให้มีอยู่!” ชายคนนั้นเหยียดมือออกไปขณะกล่าว ก่อนที่เปลวเพลิงมหาศาลจะพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา และเข้าปกคลุมประตูตรงหน้า เริ่มเผาไหม้!
ประตูบานนี้ที่ทำให้อวิ๋นซู่ต้องปวดหัววุ่นวาย มาตอนนี้มันกลับแทบจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านในทันทีด้วยเปลวเพลิงนับไม่ถ้วน!
นี่คือพลังของ ‘จักรพรรดิ์ศักดิ์สิทธิ์ชื่อเยี่ยน’ ผู้ยิ่งใหญ่ที่เขย่าโลกทั้งใบ ซึ่งเป็นที่จดจำอย่างฝังใจของทุกคนในพิภพต่าง ๆ ที่อยู่ด้านนอกของภพทั้งสามมาหลายปีจนนับไม่ถ้วน!