บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 716 สร้างความตกตะลึง
บทที่ 716 สร้างความตกตะลึง
บทที่ 716 สร้างความตกตะลึง
ศิษย์พี่เหวินรู้สึกประหลาดใจ นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าไป๋กู้หนานจะแสดงตัวเป็นอริต่อนางอย่างกะทันหัน ทั้งยังก่นด่าสาปแช่งนางอีกด้วย!
หญิงสาวจึงโกรธเสียจนหน้าแดงก่ำ ร่างกายเองก็สั่นเทิ้มตามแรงโทสะ
โอหัง!
คนผู้นี้โอหังเกินไปแล้ว!
นี่เขาไม่รู้จริง ๆ หรือว่านี่ถิ่นใคร ไม่รู้จริง ๆ หรือว่ายอดฝีมืออย่างเยี่ยนสือซานอยู่ฝั่งเดียวกับใคร!
ตอนนี้เองหญิงสาวจึงเข้าใจถ่องแท้ว่า ไป๋กู้หนานเอาแต่ใจเพียงไร การที่เจ้าคนที่สมควรจะถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ คนนี้ยังมีชีวิตรอดจนมาต่อปากต่อคำกับนางได้ …นับเป็นเรื่องอัศจรรย์จริง ๆ!
ไม่ใช่แค่ศิษย์พี่เหวินที่หัวเสีย คิ้วคู่โก่งงามของหญิงสาวคนอื่น ๆ เองก็พลันขมวดแน่นไม่ต่างกัน พวกนางต่างจ้องมองไป๋กู้หนานอย่างกินเลือดกินเนื้อ เผยอาการไม่ลงรอยอย่างชัดเจน
‘หืม?’ ซูชิงเยียนพลันตื่นขึ้นจากห้วงความคิดเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศวุ่นวาย ดวงตาคู่งามของนางกวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนที่ไม่นานคิ้วของหญิงสาวจะผูกเป็นปมเมื่อเห็นบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องกำลังเผชิญหน้ากับไป๋กู้หนาน ทว่าเพียงครู่เดียว หญิงสาวก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเฉินซีอยู่ใกล้ ๆ …นี่เขาก็อยู่ที่นี่เหมือนกันหรือ?
ความลำบากใจซัดกระหน่ำภายในห้วงความคิด หญิงสาวพอจะอนุมานได้ว่าชายหนุ่มคงจะรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้ว
ฝ่ายเฉินซีเองก็เห็นสายตาอึดอัดที่มองมาของซูชิงเยียนเช่นกัน ทว่าเขาก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร เพียงส่งยิ้มให้เท่านั้น ความสนใจทั้งหมดของชายหนุ่มในตอนนี้จดจ่ออยู่ที่ไป๋กู้หนานคนเดียว ซึ่งพูดกันตามตรงแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกชื่นชมสหายคนนี้ไม่น้อย
ระดับความโอหังและเอาแต่ใจของชายผู้นี้เรียกได้ว่าสูงทะลุขีดจำกัด เขาขวัญกล้าขนาดที่ว่าวางตัวเองเป็นศัตรูกับคนของตำหนักสำนึกสวรรค์ภายในพื้นที่ของอีกฝ่าย
“อย่ามัวแต่มอง รีบมาขอโทษพี่ชายข้าเดี๋ยวนี้!” เสียงตำหนิจากปากไป๋กู้หนานดังไปทั่วบริเวณ โดยไม่ได้คิดจะเห็นใจหรือถนอมเกียรติของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ทำเหมือนว่ากำลังสั่งสอนสาวใช้ผู้ดื้อรั้นอยู่ก็ไม่ปาน
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในห้องโถงต่างตกตะลึง เพราะพวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าปีศาจในคราบมนุษย์อย่างไป๋กู้หนานจะกล้าก่อเรื่องโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาเช่นนี้
“นี่เจ้า…เจ้าพูดกับข้าอย่างนั้นหรือ?” ศิษย์พี่เหวินกัดฟันกรอด ดวงตาของนางฉายชัดถึงความโกรธา
“ก็จะใครอีกเล่า! หากไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นผีสางตนไหนอีก?” ไป๋กู้หนานประชดประชัน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ถึงได้พูดเช่นนี้กับข้า?” หญิงสาวหายใจเข้าลึก ๆ พยายามระงับโทสะในใจพร้อมแสดงสีหน้านิ่งเฉยไปด้วย
“ก็แค่ตำหนักสำนึกสวรรค์ไม่ใช่หรือไร?” ไป๋กู้หนานถ่มน้ำลายรดพื้น “แม่นาง จงสำเหนียกตัวเองไว้หน่อยเถอะว่าเจ้าไม่ใช่นิกาย นิกายไม่ใช่เจ้า ดังนั้นใครทำผิดก็ต้องรับผิดกันเอาเอง!”
“ไป๋กู้หนาน มันชักจะเกินไปใหญ่แล้ว!” ในที่สุดเยี่ยนสือซานก็หมดความอดทน จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นอย่างช้า ๆ
เป็นตอนนั้นเองที่เจ้าตัวคล้ายกลายเป็นคนละคน เรือนผมยาวสลวยพลิ้วสะบัด ร่างกายอันผ่าเผยของเขาปกคลุมไปด้วยเจตจำนงที่น่าสะพรึงกลัว ในยามนี้ ชายผู้นี้ได้กลายเป็นดั่งดวงอาทิตย์ที่พร้อมจะแผดเผาทุกสรรพสิ่งให้มอดไหม้ ทั้งทะนงตนและโอหัง ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายแสงซึ่งทับซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่า
บรรยากาศโดยรอบอึมครึมจนชวนอึดอัด หายใจยาก แม้แต่อากาศรอบกายก็ยังเข้มข้นไปด้วยจิตสังหาร
ทันทีที่เยี่ยนสือซานออกหน้า ศิษย์พี่เหวินรวมถึงหญิงสาวคนอื่น ๆ ล้วนมีท่าทีที่ผ่อนคลายลง ใบหน้าของพวกนางเผยความพึงใจออกมา
ความแข็งแกร่งของเยี่ยนสือซานเป็นที่เลื่องลือในหมู่ผู้บ่มเพาะ และยิ่งในแดนภวังค์ทมิฬแห่งนี้ เขาก็แทบจะเป็นผู้ไร้เทียมทาน ไม่เพียงเท่านั้น คนคนนี้ยังมีสมญานามว่าคนคลั่ง ซึ่งมีที่มาจากการที่คนผู้นี้จะไม่เห็นแก่ความเป็นญาติร่วมสายเลือดใด ๆ ทั้งสิ้นเวลาต่อสู้ ฉะนั้นชายเสเพลแห่งตระกูลไป๋ ไป๋กู้หนานก็เป็นเพียงเสือกระดาษในสายตาของเขาเท่านั้น
ดวงตาของไป๋กู้หนานชะงักไปครู่หนึ่งขณะที่เยี่ยนสือซานลุกขึ้นยืน ความหนักใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างชัดเจน ซึ่งนั่นทำให้หญิงสาวจากตำหนักสำนึกสวรรค์ไม่คิดแม้แต่จะอำพรางความรังเกียจเดียดฉันท์ที่มีต่ออีกฝ่ายอีกต่อไป
ในขณะเดียวกัน ภาพที่เห็นก็สร้างความตื่นเต้นให้แก่ผู้คนในโถงไม่น้อย ในที่สุดคนคลั่งเยี่ยนสือซานก็เคลื่อนไหว! …สิ่งนี้ทำให้พวกเขากระหายใคร่รู้เหลือเกินว่า การต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งและคุณชายจอมโอหังจะดุเดือดเพียงใด
ความคาดหวังเหล่านี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าการเดินทางมาโรงเตี๊ยมเซียนระเริงในครั้งนี้… มันช่างคุ้มค่ายิ่งนัก!
“เยี่ยนสือซาน คนอื่นอาจจะหวั่นเกรงต่อเจ้า แต่คุณชายผู้นี้ไม่ใช่ อย่าลืมสิว่าเจ้าเกือบจะตายด้วยน้ำมือของพี่เฉินซีตอนที่อยู่ในอาณาจักรเร้นลับเงาทมิฬมาแล้วครั้งหนึ่ง และหากไม่ใช่เพราะยันต์เซียนจักรวาล เจ้าจะมีชีวิตอยู่ถึงวันนี้ได้เรอะ?”
สีหน้าของไป๋กู้หนานกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็วท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคน ริมฝีปากของเจ้าตัวแสยะยิ้มเหยียดหยามส่งให้อีกฝ่ายยามเผชิญหน้า
ดังคำกล่าวที่ว่าตีคนไม่ตบหน้า*[1] การที่ไป๋กู้หนานยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดต่อหน้าธารกำนัล มันก็ไม่ต่างอะไรกับการสาดเกลือลงบนแผล
แน่นอนว่าทุกคนในห้องโถงเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน อย่างไรก็ตาม ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในเหวเงาทมิฬล้วนแต่น่าทึ่งเกินไปจริง ๆ และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชื่อเสียงของเฉินซีก็แพร่กระจายไปทั่วแดนภวังค์ทมิฬประหนึ่งพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
แม้เวลาจะผ่านไปหลายเดือนแล้ว ทว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเหวเงาทมิฬก็ยังคงเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดในแดนภวังค์ทมิฬ
และหัวข้อที่ทุกคนพูดคุยกันอย่างออกรสคงไม่พ้นการต่อสู้ระหว่างเฉินซีกับเยี่ยนสือซาน …ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะนั่นเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้บ่มเพาะขอบเขตเดียวกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานเยี่ยนสือซานได้เผชิญกับความพ่ายแพ้จนเกือบย่อยยับ สิ่งนี้ทำให้ทั่วทั้งโลกแห่งการบ่มเพาะต้องตกตะลึง ในขณะที่เฉินซีได้กลายเป็นฝ่ายที่ได้รับการยอมรับนับถือจากทุกคน ชื่อเสียงของชายหนุ่มได้กระจายไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อนี้
ด้วยเหตุนี้ การที่ไป๋กู้หนานพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคน จึงนับเป็นการจงใจตบหน้าเยี่ยนสือซานโดยเปิดเผย
ใบหน้าของเยี่ยนสือซานพลันกลายเป็นเขียวคล้ำขณะที่พูดอย่างไม่ยี่หระว่า “แน่นอน เขาเป็นผู้ชนะ แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้ข้าก็ยังมีชีวิตอยู่และสุขสบายดี ส่วนเฉินซี…คงจะไม่ เพราะเท่าที่ข้ารู้มา เขาคงตกตายไปแล้วในเหวเงาทมิฬ และถึงแม้เขาจะยังมีชีวิตอยู่ ก็คงไม่พ้นเป็นเหมือนคนพิการ ไร้ซึ่งพลังบ่มเพาะ ตกต่ำไม่ต่างคนจากธรรมดา!”
สิ้นคำพูดนี้ ภายในห้องโถงพลันเงียบสงัด ด้วยพวกเขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ และได้แต่เผยสีหน้าตะลึงงันพร้อมร่างกายที่แข็งทื่อออกมา
หลังจากเฉินซีเข้าไปในเหวเงาทมิฬ เขาก็ไม่ได้ปรากฏตัวในโลกแห่งการบ่มเพาะมานานแล้ว ทำให้หลาย ๆ คนเริ่มคิดว่าชายหนุ่มคงไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้ออกมาอย่างเต็มปาก
แต่จู่ ๆ เยี่ยนสือซานก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ว่า เฉินซีอาจจะตายหรือไม่ก็กลายเป็นคนพิการไปแล้ว อีกทั้งท่าทีของเขาก็แสนจะจริงจัง ดังนั้นจะไม่ให้ทุกคนตกใจได้อย่างไร?
“เจ้าแน่ใจหรือ?” ท่ามกลางความเงียบงัน เสียงหนึ่งที่ดูเย็นเยือกพลันดังขึ้น
“แน่เสียยิ่งกว่าแน่!” เยี่ยนสือซานตอบโดยไม่ลังเล แน่สิ ข้อมูลที่ได้มาจากใต้เท้าปิงซื่อเทียนจะเป็นเท็จได้อย่างไร?
แต่กระนั้น ช่วงเวลาเพียงครู่ก็ทำให้เขานึกบางอย่างออก เพราะเสียงนั้นฟังดูคุ้นเคยเกินไป …เยี่ยนสือซานพลันหน้าถอดสีทันที เขาหันขวับไปทางต้นเสียง ก่อนจะเห็นร่างหนึ่งที่ควรจะตายไปนานแล้ว…เฉินซี!
ตอนนั้นเอง ม่านตาของเยี่ยนสือซานพลันหดเล็กด้วยความตื่นตระหนก ร่างกายที่สง่าผ่าเผยนิ่งค้าง แม้แต่มุมปากก็กระตุกคว่ำโดยไม่รู้ตัว เขาสูญเสียความสงบภายในใจไปสิ้นเชิง เหลือเพียงความคลางแคลงและความสับสนที่เผยชัดบนใบหน้า
ไม่นาน ใครบางคนเริ่มจับสังเกตท่าทีนั้นได้ และสายตาของพวกเขาก็พากันมาหยุดที่ร่างของเฉินซีโดยพร้อมเพรียงกัน ทว่าพวกเขากลับต้องแสดงท่าทีผิดหวังออกมาแทน เพราะว่าคนผู้นี้คือใครกัน …เหตุใดจึงทำให้เยี่ยนสือซานแสดงท่าทีแบบนั้นออกมา?
ศิษย์พี่เหวินและคนอื่น ๆ เองก็ต่างงุนงงเช่นกัน ชายผู้นี้เป็นเพียงคนที่ร่วมเดินทางมากับกลุ่มคนเถื่อนพวกนั้นไม่ใช่หรือ? เขาไม่มีฐานะ ไร้ชื่อเสียง แล้วเรื่องนี่มันไปเกี่ยวอะไรกับเขาได้?
ตอนนั้นเอง เฉินซีพลันลุกยืนพร้อมเอามือไพล่หลัง สายตาของเขามองไปยังชายเบื้องหน้าอย่างไม่แยแส “ผิดหวังอย่างนั้นหรือ?”
“จะ เจ้า…เจ้ายังไม่ตายหรอกหรือ?!” เยี่ยนสือซานไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง และมีเพียงเขาที่รู้อย่างแน่ชัดว่าใต้เท้าปิงซื่อเทียนได้สังหารเฉินซีเมื่อตอนอยู่ในเหวเงาทมิฬไปแล้ว และนั่นทำให้เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้พบกับอีกฝ่ายในสภาพที่ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเช่นนี้!
ทั้งคำพูดประหลาด ๆ และการแสดงออกราวกับคนเห็นผีของเยี่ยนสือซาน ทำให้ผู้คนในห้องโถงพากันคิดไปไกล …แน่นอนว่าพวกเขาล้วนคิดตรงกัน เฉินซี! คนคนนี้ต้องเป็นเฉินซีอย่างแน่นอน!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น พวกเขาก็เผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว สายตามากมายต่างจับจ้องไปยังเฉินซีตาไม่กะพริบ และยิ่งมองไปเรื่อย ๆ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าชายผู้นี้ช่างคล้ายกับเฉินซีเหลือเกิน เพราะต่อให้พวกเขาจะไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของอีกฝ่ายมาก่อน แต่ก็พอเคยได้ยินเสียงร่ำลือมาบ้างว่าชายที่ชื่อเฉินซีนั้นมีรูปโฉมไม่ธรรมดา!
“หรือว่าพี่เยี่ยนอยากให้ข้าตายกัน?” ชายหนุ่มพูดเสียงเย็นชา “น่าเสียดายที่แม้วันนั้นปิงซื่อเทียนลงมือกับข้า แต่ว่า… สุดท้ายเขาก็ฆ่าข้าไม่ได้อยู่ดี!”
คำพูดนี้เป็นเหมือนกับเสียงอัสนีกัมปนาทจากสรวงสวรรค์ทั้งเก้า มันสั่นสะเทือนโสตประสาทของผู้คนที่อยู่โดยรอบให้สะท้านไหว …จนพวกเขาอดไม่ได้ที่จะเผยความประหลาดใจ และต่อให้พยายามอำพรางสีหน้ามากเพียงใด ก็ไม่มีใครสามารถซุกซ่อนสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจ ณ ขณะนี้ได้
เฉินซี!
ชายคนนี้คือเฉินซีจริง ๆ!
เฉินซีปรากฏตัวแล้ว! และเขายังไม่ตาย!
ความรู้สึกที่ยากจะอธิบายจุกแน่นอยู่ในอก เพราะใครจะไปเชื่อเล่าว่า บัดนี้ยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ซึ่งเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์เจิดจ้ายามเที่ยงวัน …ชายผู้เป็นตำนานที่ชื่อเสียงยังคงถูกเล่าขานไปทั่วจะปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของพวกเขา!
นี่มันน่าตกใจยิ่งกว่าการได้เผชิญหน้ากับเซียนสวรรค์เสียอีก
อย่างไรก็ดี ชื่อเสียงของชายหนุ่มถือเป็นที่โจษจันในโลกแห่งการบ่มเพาะ และไม่ว่าใคร ๆ ก็ต้องเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน!
ในขณะเดียวกัน ศิษย์พี่เหวินและบรรดาหญิงงามเหล่านั้นต่างก็รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางหัว เรือนร่างอ้อนแอ้นของพวกนางค้างอยู่กับที่ ด้วยพวกนางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชายที่รวมกลุ่มอยู่กับพวกคนป่าเถื่อนพวกนั้นจะเป็นเฉินซี ศิษย์ที่เลื่องชื่อและโดดเด่นที่สุดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง!
พอคิดได้เช่นนั้น พวกนางพลันนึกไปถึงตอนที่ตนสรรหาวิธีมาเหยียดหยามถากถางเขาสารพัด และนั่นทำให้พวกนางรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก ราวกับว่าถูกโจมตีด้วยบางสิ่งที่รุนแรงและรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด ชวนให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะแทบจะลมจับ
ในยามนี้ คนที่สงบนิ่งที่สุดคงไม่พ้นเหมิงเหวย โม่ย่า และเด็กคนอื่น ๆ เนื่องจากเฉินซีไม่เคยเล่าเรื่องอดีตของตนให้พวกเขาได้ฟังมาก่อน เป็นเหตุให้พวกเขามิอาจเข้าใจความรู้สึกของฝูงชนโดยรอบ
แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่อาจจับปฏิกิริยาของคนอื่น ๆ ได้ …พวกเขารับรู้ได้ทันทีว่า น้องเฉินหรือท่านลุงเฉินของพวกเขาน่าจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลมาก ๆ ในแดนภวังค์ทมิฬนี้!
ฟิ้ว!
ท่ามกลางบรรยากาศที่ปนเปด้วยอารมณ์หลากหลายและสายตานับหลายคู่ที่จ้องมอง เยี่ยนสือซานตัดสินใจไม่ต่อสู้ เขาเลือกที่จะหลบหนีโดยกระโจนตัวอย่างรวดเร็วประหนึ่งฟ้าแลบออกไปยังด้านนอกของโรงเตี๊ยม การตัดสินใจที่เด็ดขาดกอปรกับทักษะการเคลื่อนไหวที่ว่องไว ทำให้คนส่วนมากไม่ทันได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น!
ทว่าเฉินซีนั้นมีใจจดจ่ออยู่กับเยี่ยนสือซานแต่แรก และเรื่องอะไรเขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปได้? ชายหนุ่มสะบัดมือบนอากาศเพื่อสร้างอักขระยันต์ ก่อนจะออกคำสั่งอย่างรวดเร็วให้พวกมันขยายตัวและล้อมพื้นที่โดยรอบเอาไว้ “คิดว่าคราวนี้ข้าจะปล่อยเจ้าหลุดมือไปหรือ?! มานี่!”
[1] ตีคนไม่ตบหน้า หมายถึง จะทำอะไรต้องไม่เผยจุดอ่อน