บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 717 สังหารเยี่ยนสือซาน!
บทที่ 717 สังหารเยี่ยนสือซาน!
บทที่ 717 สังหารเยี่ยนสือซาน!
เสียงของเฉินซีดุจเสียงฟ้าร้องที่สั่นสะเทือนทั่วทั้งโรงเตี๊ยม ทุกคำพูดเหมือนเสียงแห่งเต๋า ซึ่งดังก้องไปทุกทิศทุกทาง
แม้จะเป็นเพียงประโยคสั้น ๆ แต่ก็รุนแรงราวกับค้อนมหึมาของเทพเจ้าสายฟ้าทุบลงมาที่หัวใจของทุกคน ทำให้ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้าน จนทำให้ผู้บ่มเพาะที่อ่อนแอบางคนแทบจะหมดสติไป
เฉินซีในยามนี้เป็นดั่งจักรพรรดิสวรรค์ที่ลงมายังโลก ทั่วทั้งร่างของเขาเปล่งแสงเรืองรองไปด้วยอักขระยันต์และกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ที่ลุกโชน เพียงแค่ชายหนุ่มเอื้อมมือออกมาคว้าจับ ก็ทำให้อักขระลึกลับซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ปรากฏขึ้น
ขวับ!
อักขระยันต์เหล่านั้นสอดประสานกันราวกับกรงจากฟากฟ้า และปิดทางหนีของเยี่ยนสือซานโดยตรง ทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ขณะที่ตัวคนรวบแขนเข้าหากัน ราวกับว่ากำลังโอบกอดหยินและหยาง ก่อนจะเหวี่ยงแขนทุบลงไปอย่างรุนแรงบนอักขระยันต์
ทว่าการแสดงออกของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาเพียงยกมือข้างหนึ่งขึ้นและผลักมันไปข้างหน้าอย่างรุนแรง ส่งอักขระยันต์ขนาดใหญ่ที่ดูราวกับแม่น้ำแห่งดวงดาวให้ปะทุขึ้น พร้อมกับแสงเจิดจ้า จนพวกมันดูราวกับกลุ่มเมฆโรยตัวลงมาจากสวรรค์และกดทับเยี่ยนสือซาน
กร๊อบ!
เยี่ยนสือซานพยายามที่จะต่อต้านมันอย่างเต็มที่ ทว่าเขากลับประเมินความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเฉินซีต่ำเกินไป เสียงแตกดังก้องออกมาในขณะที่กระดูกแขนของเจ้าตัวแหลกเป็นเสี่ยง ๆ เลือดพุ่งกระฉูดออกจากท่อนแขนที่บิดเป็นเกลียวของเยี่ยนสือซาน
และก่อนจะทันได้หลบเลี่ยง ร่างกายของเยี่ยนสือซานก็คล้ายถูกกดทับด้วยภูเขามหึมานับแสนลูก จนเจ้าตัวถึงกับคุกเข่าลงบนพื้น พร้อมกับกระอักเลือดออกมาไม่หยุด และไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร เขาก็ไม่สามารถต้านทานได้เลย
เป็นไปได้อย่างไรกัน!?
แดนฮุ่นตุ้นของชายผู้นี้พังทลายไปแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดเขาถึงไม่สูญเสียฐานการบ่มเพาะไป ทั้งยังน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก?
ร่างกายของเยี่ยนสือซานกระตุกด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่ใบหน้าของเขาซีดจนเกือบจะโปร่งแสง ราวกับว่ากำลังจะจมน้ำตาย ร่างกายถูกกดทับจนต้องลงไปกองขดตัวอยู่กับพื้น เขาชักกระตุกไม่หยุด
แต่เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดเหล่านี้แล้ว หัวใจของเขากลับถูกกลืนกินด้วยความรู้สึกหวาดกลัว และความรู้สึกหมดหนทางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รวมกับเฉินซีที่ตอนนี้ทรงพลังจนน่ากลัวยิ่ง มันยิ่งทำให้เยี่ยนสือซานรู้สึกสิ้นหวัง …สิ้นหวังเสียจนมองไม่เห็นหนทางรอดอีกต่อไป!
“เฉินซี หากฆ่าข้า เจ้าจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของนิกายวิถีกระแสสวรรค์! และเจ้าจะไม่อาจยืนหยัดในโลกแห่งการบ่มเพาะได้อีกต่อไป!” เยี่ยนสือซานคำรามเสียงดังด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว
แม้เขาจะถูกเรียกว่าคนคลั่งผู้กระหายการต่อสู้ จนแยกแยะญาติมิตรของตัวเองในสนามรบไม่ได้ แต่เมื่อต้องเผชิญกับความตาย เจ้าตัวก็ยังรู้สึกหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณอยู่ดี
เขาไม่เต็มใจที่จะตายลงแบบนี้ ไม่เต็มใจอย่างยิ่ง!
“แม้กระทั่งปิงซื่อเทียนข้ายังไม่สนใจ แล้วนับประสาอะไรกับเจ้า?” การแสดงออกของเฉินซีไม่แยแส ดวงตาของชายหนุ่มทั้งลึกล้ำและกว้างใหญ่ หลังของเขาเหยียดตรง ให้ความรู้สึกราวกับผู้สูงส่งที่กำลังเฝ้ามองลงมาจากเบื้องบน
“เจ้า…เจ้า…” เยี่ยนสือซานตัวสั่นอย่างรุนแรง สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแต่ก็เต็มไปด้วยความกลัวตาย จนกล่าวได้ว่าชายหนุ่มตกอยู่ในความสิ้นหวังอย่างสมบูรณ์แล้ว!
ตู้ม!
เฉินซีไม่เสียเวลาพูดเรื่องไร้สาระอีก และปลิดชีวิตของเยี่ยนสือซานทิ้งด้วยฝ่ามือเดียว
หลังจากนั้น เขาก็สะบัดแขนเสื้อ ทำให้ศพของอีกฝ่ายกับคราบเลือดบนพื้นถูกลบออกจนหมดและทำให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิม จนแม้แต่โรงเตี๊ยมที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง
ในช่วงต้น ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น ชายหนุ่มได้ใช้ศาสตร์เต๋ามหาพันธนาการผนึกพื้นที่โดยรอบเอาไว้ มิฉะนั้น การเผชิญหน้ากันในช่วงสั้น ๆ ระหว่างเขากับเยี่ยนสือซาน คงเพียงพอที่จะทำลายโรงเตี๊ยมนี้ทิ้งทั้งหลังแล้ว
และหากเป็นเช่นนั้น มันย่อมส่งผลกระทบต่อเหมิงเหวยกับคนอื่น ๆ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
…
เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงนี้เกิดขึ้นเร็วมาก การต่อสู้เพิ่งเริ่มไปเพียงพริบตากลับจบลงในทันที ทำให้ทุกคนในห้องโถงไม่มีเวลาได้ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย
“เยี่ยนสือซานตายแล้ว!”
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงอุทานด้วยความตกใจก็ดังก้องขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ฟังแล้วรู้สึกบาดหูเป็นอย่างมาก
ลมหายใจของพวกเขาแทบหยุดชะงัก ม่านตาเบิกขยาย พวกเขาทั้งตกใจและไม่อยากจะเชื่อ ทำให้สีหน้าของทุกคนกลายเป็นความว่างเปล่า
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ คนคลั่งผู้เป็นที่รู้จักกันทั่วแดนภวังค์ทมิฬ …ได้ถูกกำจัดทิ้งด้วยการโจมตีเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น!
ใครจะคาดคิดกันว่าเยี่ยนสือซานจะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วและราบคาบ ถึงขนาดจบชีวิตลงในการต่อสู้นี้กัน?
ใบหน้าของศิษย์พี่เหวินและหญิงสาวคนอื่น ๆ ซีดเผือด ร่างกายของพวกนางเย็นเฉียบราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง ความหวาดกลัวที่ควบคุมไม่ได้ผุดขึ้นในหัวใจของทุกคน ก่อนหน้านี้ ถ้าเฉินซีลงมือโจมตีขณะที่พวกนางกำลังเยาะเย้ยเขา พวกนางก็คง…
ร่างกายของหญิงสาวทุกนางสั่นสะท้าน ด้วยผลที่ตามมาอาจร้ายแรงจนพวกนางไม่กล้าคิดถึงมันอีกต่อไป!
แม้แต่ไป๋กู้หนานที่เตรียมใจมาตั้งแต่ต้น ก็ยังตกใจจนผงะและเกือบจะวิ่งหนีไปแล้ว …นี่มันโหดร้ายเกินไป เฉินซีผู้นี้ดุร้ายเกินไปแล้ว! แม้แต่ผู้ชายที่โหดเหี้ยมอย่างเยี่ยนสือซานยังอ่อนแอราวกับไก่สุนัขข้างทาง ไม่อาจต้านทานการโจมตีของชายหนุ่มได้สักครั้ง!
“อาหารมาหรือยัง?” ในตอนนี้ เฉินซีได้กลับมานั่งที่เดิมด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ราวกับว่าสิ่งที่เขาเพิ่งทำก่อนหน้านี้เป็นเรื่องธรรมดาและเล็กน้อยมาก ถึงขนาดหันไปถามผู้ดูแลอย่างไม่ใส่ใจ
“ได้…ได้ขอรับ โปรดรอ…รอสักครู่” ผู้ดูแลคนนั้นพูดตะกุกตะกักราวกับว่าเพิ่งตื่นจากความฝัน จากนั้นรีบเดินกะเผลกจากไปด้วยท่าทีโซเซจนเกือบจะล้มลงกับพื้น
เมื่อเห็นภาพที่น่าขบขันนี้ ในที่สุดทุกคนในโถงก็รู้สึกตัว แต่พวกเขาไม่กล้าพูดคุยกันเสียงดังอีกต่อไป ต่างคนต่างเหลือบมองไปยังร่างสูงของเฉินซีอย่างระมัดระวังด้วยสายตาเคารพนบนอบ
การที่เขาสามารถสังหารเยี่ยนสือซานได้อย่างง่ายดาย ทำให้ทุกคนในที่แห่งนี้มั่นใจมากขึ้นว่า ชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคือเฉินซี เพราะมีเพียงอัจฉริยะบุคคลเช่นเฉินซีเท่านั้นที่สามารถทำเรื่องเกินคาดทั้งหมดนี้ได้!
“มีปัญหาอะไรหรือไม่?” เหมิงเหวยถาม
“ไม่” เฉินซีส่ายหัวและยิ้ม
ตั้งแต่อึดใจที่เขาตัดสินใจเปิดเผยตัวตน ชายหนุ่มก็รู้ดีแล้วว่าตัวเขาจำเป็นต้องฆ่าเยี่ยนสือซานโดยไม่มีทางเลือกอื่นอีก และมันก็ไม่มีที่ว่างให้ผ่อนปรนแต่อย่างใด
เพราะหากจะกล่าวอย่างจริงจัง ความสัมพันธ์ของเขากับนิกายวิถีกระแสสวรรค์ก็ไม่อาจเข้ากันได้ตั้งแต่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขา ชิงซิ่วอี้ และปิงซื่อเทียนเป็นปัญหาแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ความเป็นศัตรูนี้จะลดน้อยลง แม้ว่าเฉินซีจะไม่ได้ฆ่าเยี่ยนสือซานก็ตาม
“คือ… ข้าต้องขอโทษด้วยจริง ๆ เมื่อครู่พวกข้าเป็นฝ่ายผิดเอง สหายเต๋าโปรดยกโทษให้พวกเราด้วย” ขณะเดียวกัน ศิษย์พี่เหวินและคนอื่น ๆ ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างนอบน้อมทีละคน ก่อนจะเดินเข้ามาหาเฉินซีและก้มหัวลงขอโทษ
“แล้วเหตุใดจึงไม่ทำเช่นนี้แต่แรกกัน?”
ไป๋กู้หนานส่ายหัวอยู่อีกด้านหนึ่ง น้ำเสียงของเขาทั้งเหน็บแนมและเยาะเย้ยอย่างชัดเจน “พวกเจ้าทุกคนล้วนงดงามราวกับดอกไม้ ทว่ากลับลงไปเกลือกกลั่วกับขยะอย่างเยี่ยนสือซาน ช่างไร้สมองกันจริง ๆ!”
ศิษย์พี่เหวินคนอื่น ๆ ต่างขมวดคิ้วแน่น แต่สุดท้ายพวกนางก็ฝืนกลืนความโกรธนี้กลับลงไป ตอนนี้พวกนางหวังเพียงจะได้รับการให้อภัยจากเฉินซี มิฉะนั้น พวกนางคงจะไม่มีทางรู้สึกสบายใจ และต้องจมอยู่ในความหวาดกลัวเป็นแน่!
เฉินซีไม่แม้จะมองพวกนาง เขาเพียงหันไปมองเสี่ยวเฉินและถามนางว่า “สาวน้อย เจ้าอยากยกโทษให้พวกเขาหรือไม่?”
เสี่ยวเฉินส่ายหัวของนางและพูดอย่างเฉียบขาด “พวกเขาไม่ได้ขอโทษข้า ลุงเหมิงเหวย ป้าโม่ย่า เจ้าดำกับคนอื่น ๆ ดังนั้นข้าจะไม่ยกโทษให้พวกเขา”
เมื่อนางพูดเช่นนี้ หากศิษย์พี่เหวินคนอื่น ๆ ไม่สามารถแยกแยะความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำกล่าวของเด็กหญิงได้ พวกนางก็คงจะไร้สมองอย่างที่ไป๋กู้หนานพูดจริง ๆ
“สหายเต๋า ครั้งนี้เป็นความผิดของเราเอง พวกเราต้องขออภัยทุกท่านจริง ๆ ได้โปรดยกโทษให้เราด้วย” ศิษย์พี่เหวินกับคนอื่น ๆ หายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวอย่างแผ่วเบา
“เอาล่ะ พวกเจ้าไปได้แล้ว” เฉินซีโบกมือและไล่ให้หญิงสาวพวกนั้นจากไป
อย่างไรก็ดี ที่นี่ก็เป็นพื้นที่ของตำหนักสำนึกสวรรค์ แม้ว่าทัศนคติของหญิงสาวเหล่านี้จะน่ารังเกียจ แต่ก็ไม่ร้ายแรงถึงขั้นต้องชดใช้ด้วยชีวิต ดังนั้นการสามารถบังคับให้พวกนางต้องทำเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว อีกอย่างซูชิงเยียนก็ยังคงอยู่ด้านข้าง และหญิงสาวเหล่านี้คือศิษย์พี่ศิษย์น้องของนาง ดังนั้นหากทำเกินไปมันอาจทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจเอาได้
ศิษย์พี่เหวินกับคนอื่น ๆ พากันจากไปทันที ราวกับผู้ได้รับการปลดเปลื้องจากภาระอันหนักอึ้ง
…ในขณะนี้ พวกนางไม่เต็มใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปแม้แต่ครู่เดียว ถึงการเสียหน้าในครั้งนี้จะไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ประเด็นหลักคือการตายของเยี่ยนสือซานที่พวกนางไม่อาจหลบหนีจากการเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้เลย ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำในช่วงเวลาเร่งด่วนเช่นนี้ ย่อมต้องเป็นการรีบออกจากสถานที่แห่งนี้ และกลับไปซ่อนตัวอยู่ในนิกาย!
“ขอบคุณ” ซูชิงเยียนเดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ แล้วกล่าวเสียงแผ่วเบา
“ข้าก็แค่ให้ยืมมือ ไม่ว่าอย่างไร เยี่ยนสือซานก็เป็นศัตรูของข้า และเมื่อตัวเจ้าก็ไม่ได้ชอบหน้าเขา ดังนั้นอาจจะกล่าวว่ามันคือการฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียวก็ไม่ผิดนัก” เฉินซียืนขึ้นและยิ้มให้
“ข้าไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้” ซูชิงเยียนส่ายหัว ดวงตาที่ทอประกายของนางมองตรงไปยังเฉินซี ขณะที่พูดอย่างจริงจัง “สิ่งที่ข้ารู้สึกขอบคุณมากที่สุดคือ การที่เจ้าปล่อยศิษย์พี่ศิษย์น้องของข้าเหล่านั้นไปเพื่อประโยชน์ของข้า”
“ระหว่างเจ้ากับข้าจำเป็นต้องสุภาพด้วยหรือ?” เฉินซีตกตะลึง เพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าซูชิงเยียนจะจริงจังกับเรื่องนี้ “อย่ามัวแต่ยืนเฉย ๆ เลย เหตุใดเจ้าไม่นั่งลงและดื่มกินกับเราเล่า?”
“ไม่ล่ะ ข้าคงต้องรีบกลับก่อน เพราะเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องของข้า…” ซูชิงเยียนส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น
“โอ้? ได้เลย เช่นนั้นก็ดูแลตัวเองด้วย” เฉินซีขมวดคิ้วและรู้สึกโล่งใจในทันที การตายของเยี่ยนสือซานอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา แต่มันเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับศิษย์ของตำหนักสำนึกสวรรค์อย่างยิ่ง หากซูชิงเยียนนั่งลงพูดคุยกับเขาต่อไป คนอื่นอาจจะเข้าใจผิดและนำปัญหามาสู่พวกนางได้
“เจ้าก็เช่นกัน” ซูชิงเยียนพยักหน้า ก่อนจะก้มลงเพื่อดึงเชือกสีแดงที่ข้อเท้าของนางออก และพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่า “นี่คือสิ่งที่แม่ของข้าผูกไว้เมื่อตอนที่ข้าเกิด ในบ้านเกิดของข้า มันหมายถึงพรและความสงบสุข ข้าหวังว่าเจ้าจะเก็บมันไว้ …รับมันแทนคำขอบคุณจากข้า”
เมื่อพูดเช่นนั้นจบ นางก็วางเชือกสีแดงลงบนโต๊ะ ก่อนจะหมุนตัวและจากไปอย่างกระอักกระอ่วน โดยไม่เปิดโอกาสให้เฉินซีปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ชายหนุ่มตกตะลึง เขามองดูแผ่นหลังของหญิงสาวหายไป ก่อนที่จะหยิบเชือกสีแดงบนโต๊ะขึ้นมา เชือกสีแดงนั้นเรียวยาวและมีสีแดงสว่างดั่งเปลวไฟ พร้อมกับร่องรอยความอบอุ่นจากตัวหญิงสาวที่ทิ้งสัมผัสลงบนปลายนิ้วของเขาอย่างบางเบา
“โอ้ นี่คงไม่ใช่เครื่องรางแห่งความรักหรอกใช่หรือไม่?” ไป๋กู้หนานที่นั่งอยู่ด้านข้างพูดพร้อมด้วยรอยยิ้ม
เฉินซีวางเชือกสีแดงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเหลือบมองไป๋กู้หนาน “ถ้าเจ้ายังพูดมากอยู่อีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะไล่เจ้าออกไปซะ”
ไป๋กู้หนานรีบปิดปากเงียบอย่างเชื่อฟัง เพราะเขารู้ดีว่าเฉินซีเป็นคนประเภทที่จะทำในสิ่งที่พูดอย่างแน่นอน
ฉากนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ แม้แต่นายน้อยผู้เย่อหยิ่งและเอาแต่ใจของตระกูลไป๋ยังถูกเฉินซีปราบปรามจนสิ้น แล้วยังจะมีอะไรในโลกนี้อีกที่เขาทำไม่ได้บ้าง?
ตึง! ตึง! ตึง!
ทันใดนั้นเอง ผู้จัดการของโรงเตี๊ยมเซียนระเริงที่มีรูปร่างอ้วนท้วมมั่งคั่งก็วิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาในห้องโถงจนกระทั่งมาถึงข้างตัวไป๋กู้หนาน จากนั้นเจ้าตัวก็พูดขึ้นทั้งที่เหงื่อยังแตกพลั่ก ๆ ว่า “นายน้อยไป๋ ข้าต้องขออภัยจริง ๆ ชายชราที่ดื้อรั้นนั่นจู่ ๆ ก็หยุดงานประท้วงขึ้นมา และกล่าวว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เขาจะไม่ยอมทำ ‘ปาฏิหาริย์เฉิดฉาย’ เด็ดขาด จนแม้แต่ข้าน้อยก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจเขาได้ ท่านพอจะเปลี่ยนเป็นจานอื่นแทนได้หรือไม่ขอรับ?”
ไป๋กู้หนานขมวดคิ้วและพูดด้วยความไม่พอใจ “เจ้าเป็นเจ้าของร้านได้อย่างไรกัน? แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ยังจัดการไม่ได้อีก?”
ชายชราที่ดื้อรั้น?
เฉินซีพลันนึกถึงผู้เฒ่าหม่าจากร้านอาหารนทีกระจ่างขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาจึงลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ไปดูห้องครัวกันเถอะ”
ไป๋กู้หนานที่ได้ยินรู้สึกตื่นเต้นจนถูฝ่ามือเข้าด้วยกัน “พี่เฉิน ท่านตั้งใจจะจัดการกับพ่อครัวคนนั้นด้วยตัวเองหรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินซีพลันกลอกตาใส่อีกฝ่าย แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “ข้าแค่จะไปดู แล้วก็… ทำอะไรบางอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ เองก็เท่านั้น”
ไป๋กู้หนานตกตะลึงและอุทานอย่างเกินจริง “ท่านจะไปเป็นพ่อครัวแทนหรือ? นี่มันไม่น่าอายเกินไปหน่อยหรือ?”
“เจ้าจะพูดให้มันดี ๆ หน่อยได้หรือไม่?” ในที่สุดเฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะเตะสหายผู้นี้ ทำให้ไป๋กู้หนานต้องหน้าบูดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด และลงไปนอนกอดขาของเขาด้วยความเจ็บปวด