บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 72 ค่ายกลพันพญาเหยี่ยว
บทที่ 72 ค่ายกลพันพญาเหยี่ยว
บทที่ 72 ค่ายกลพันพญาเหยี่ยว
‘หรือนี่อาจจะเป็น…’
สีหน้าของเซวี่ยอวี้เคร่งขรึม เดิมทีเขาตั้งใจจะยื่นมือเข้าไปช่วย แต่ทักษะกระบี่ของเฉินซีนั้นว่องไวเหลือเกิน ความคิดที่จะเข้าช่วยเหลือราชาวานรทมิฬเพิ่งแวบเข้ามาในใจ ฉับพลันศีรษะของหยวนถงก็ถูกปลายกระบี่ของเฉินซีเสียบทะลุเสียแล้ว
‘เต๋าแห่งสายลม!’
‘คนผู้นี้ไม่เพียงสำเร็จทักษะกระบี่ขั้นเต๋ารู้แจ้งเท่านั้น เขายังได้ผสานเต๋าแห่งสายลมเข้ากับทักษะกระบี่ของตนด้วย เหตุนี้จึงทำให้สามารถสังหารหยวนถงได้อย่างรวดเร็วชนิดที่ไม่มีใครทัดเทียม!’
หัวใจของเซวี่ยอวี้เต้นเร็วขึ้น มันยากมากที่จะจินตนาการได้ว่าคนหนุ่มวัยนี้จะสามารถพัฒนาการฝึกบ่มเพาะพลังเต๋าแห่งการต่อสู้ไปสู่ขั้นเต๋าแห่งการรู้แจ้งได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร อีกฝ่ายเพิ่งจะบรรลุสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเมื่อไม่นานเท่านั้น สุดท้ายแล้วส่วนใหญ่ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลจะบรรลุเต๋าแห่งการต่อสู้ขั้นเอกภาพเท่านั้น
‘ตัวประหลาด!’
‘เด็กหนุ่มผู้นี้อาจเป็นตัวประหลาดที่มีความร้ายกาจยิ่งกว่าเหล่าอสูรอย่างเราเป็นแน่!’
ถึงตอนนี้เซวี่ยอวี้ไม่กล้าดูถูกเฉินซีอีกแล้ว
…
‘ราชาวานรทมิฬสิ้นชื่อไปแล้ว’
‘แต่นั่นมันหนึ่งในเจ็ดราชาอสูรผู้ยิ่งใหญ่เชียวนะ!’
ยามนี้สภาวะจิตของมู่ขุยไหวหวั่นไม่มั่นคงดุจกระแสน้ำที่มีขึ้นและลง ตั้งแต่ตอนที่เห็นเฉินซีสังหารราชาวานรทมิฬ เขาตื่นเต้นจนต้องกำหมัดแน่นพร้อมกับส่งเสียงตะโกนดังก้อง ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกว่าไม่อาจหาคำพูดใดมาทดแทนความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นในหัวใจของเขาได้
เสียงลมภูเขาดังหวีดหวิว ขณะที่กลุ่มก้อนปราณอสูรดำทะมึนยังคงเคลื่อนไหวเป็นระลอก แต่การตายของราชาวานรทมิฬหยวนถง ทำให้อสูรสัตว์อสูรทั้งหลายตกตะลึงสุดขีด
พวกมันจ้องมองศีรษะของราชาวานรทมิฬในมือของชายหนุ่มเป็นจุดเดียว เหล่าอสูรต่างน้อมรับกฎที่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดและยกย่องความแข็งแกร่งด้วยความหวาดกลัว ดังนั้นมันจึงมองว่าเฉินซีน่าเกรงขามและฉายแววความนับถือในแววตา
“มันสมควรตายแล้วเพราะเคยทรมานภูตผีดวงวิญญาณอสูรมามากมายนัก!” เสียงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจไยดีลอยมาในอากาศ เฉินซีเหลือบตามองศีรษะของราชาวานรทมิฬที่เขาขยุ้มไว้ในมือ ขณะพิจารณาดูสีหน้าประหลาดใจระคนไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น ซึ่งปรากฏในดวงตาแดงก่ำปานโลหิตของหยวนถงก่อนที่มันจะตาย ชายหนุ่มส่ายหน้าและบดขยี้ศีรษะของหยวนถงจนเกิดเสียง ‘กร๊อบ’
สยงผีเคยถูกหยวนถงบดขยี้ศีรษะจนแหลกเละมาแล้ว ดังนั้นเฉินซีจึงตั้งใจที่จะบดขยี้ศีรษะของมันให้แหลกเละไปกับมือของตนเอง การที่ทำเช่นนี้ก็ทำให้ความรู้สึกผิดในใจของเฉินซีลดลงบ้างแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งที่พอจะทำได้คือเก็บเครื่องเตือนความจำของสยงผีที่ตายไปเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว
“มู่ขุย เจ้าช่วยรวบรวมสมบัติล้ำค่าของราชาวานรทมิฬด้วย” เฉินซีกวาดสายตามองรอบบริเวณ ก่อนจะหันไปสั่งการเสียงราบเรียบ จากนั้นเขาจึงมองไปที่ราชาเหยี่ยวสายฟ้าซึ่งยืนดูอยู่ห่างไกลออกไป
“บอกตามตรง พลังของเจ้าเหนือกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มาก” เซวี่ยอวี้ราชาเหยี่ยวสายฟ้ากล่าวเปรยพลางยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “อย่างไรก็ตาม เสียใจด้วยที่ข้าต้องบอกว่า เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอยู่ดี”
เฉินซีไม่ตอบโต้ ชายหนุ่มได้แต่จ้องไปที่ราชาเหยี่ยวสายฟ้าด้วยสายตาแน่วนิ่งและรับรู้ถึงกระแสกดดันหนักหน่วงที่แผ่ออกมาจากอสูรตรงหน้า พลังกดดันครั้งนี้แตกต่างไปจากพลังกดดันที่เขารับรู้ได้ตอนเผชิญหน้ากับราชาวานรทมิฬอย่างสิ้นเชิง
‘ดูเหมือนว่าราชาอสูรตนนี้จะฝึกบ่มเพาะพลังถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลชั้นหกดาราแล้วสินะ’
เฉินซีจำได้ว่ามู่ขุยเคยเอ่ยถึงชื่อนี้มาก่อน ในบรรดาราชาอสูรยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดตนนั้น ราชาเหยี่ยวสายฟ้าเซวี่ยอวี้แข็งแกร่งกว่า น่ากลัวกว่าราชาวานรทมิฬกับราชาอสรพิษอินทนิลแห่งป่าตะวันลับ เนื่องจากเซวี่ยอวี้ซึ่งเคยเป็นเหยี่ยวเหล็กทองคำมีความว่องไวมากเป็นพิเศษ อีกทั้งยังสามารถสะสมพลังอัสนีไว้ในร่างกายได้ด้วย จึงยิ่งเพิ่มความน่าเกรงขามให้แก่ราชาอสูรผู้นี้อย่างมหาศาล
ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้เฉินซีรู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด ทั้งต้องการจะลองดูด้วยซ้ำว่าที่สุดแล้วพลังความว่องไวของราชาเหยี่ยวสายฟ้าหรือเคล็ดวาตะเหินทะยานของเขา ใครจะเหนือกว่ากัน
“ก่อนหน้าถ้าข้าร่วมมือกับวานรเฒ่าเจ้าก็คงไม่รอดมาถึงป่านนี้ ดังนั้นจงจำไว้ว่าการที่เจ้ายังคงมีชีวิตอยู่มันก็ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่าเป็นเพราะข้าต้องการให้เจ้าส่งกระบี่ไผ่ทองคำนิลมาให้ข้าอย่างไรล่ะ” เซวี่ยอวี้ไม่ได้สนใจจิตสังหารที่สะท้อนในดวงตาของเฉินซี ทั้งยังพูดออกมาอีกว่า “ข้าไม่อยากให้เจ้าตายตอนนี้ แต่ถ้ายังขืนดื้อรั้น เห็นทีข้าคงต้อง…”
“หนวกหู!” เฉินซีตวาดกลับด้วยเสียงอันดังขัดจังหวะคำพูดของราชาเหยี่ยวสายฟ้าทั้งที่ฝ่ายนั้นยังพูดไม่จบ ร่างของชายหนุ่มไหววูบขณะที่กระบี่ไผ่ทองคำนิลตวัดตัดร่างราชาเหยี่ยวสายฟ้าเซวี่ยอวี้ทันที
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
บังเกิดเสียงกระแสลมตีเข้าหากัน จากนั้นกลุ่มก้อนลำแสงกระบี่ก็ทะลวงขึ้นสู่ท้องฟ้า และถักทอเป็นตาข่ายขนาดมหึมาแผ่กระจายออกไปด้วยปราณกระบี่มากมายนับไม่ถ้วน
กระบวนท่าที่สองของเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่อง ‘สายฝนโปรยปราย’!
กระบวนท่านี้กว้างขวางดุจฝนโปรยปรายและซ่อนความอำมหิตไว้ภายใน จึงเหมาะที่จะนำมาใช้จัดการราชาเหยี่ยวสายฟ้าผู้เชี่ยวชาญด้านความรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้ราชาเหยี่ยวสายฟ้าจะดูเหมือนไม่ได้ระวังตัว ทว่าอันที่จริงเขาเฝ้าระวังอยู่โดยตลอด ทันทีที่เห็นเฉินซีออกเคลื่อนไหว ราชาเหยี่ยวสายฟ้าพลันกลายร่างเป็นสายฟ้าแลบทะยานไปในระยะไกลพร้อมเสียงดัง ‘ขวับ’ พริบตาเดียวเขาก็ได้ปรากฏตัวห่างออกไปไกลกว่าร้อยจั้ง
“เฉินซี เก่งจริงเจ้าก็ไล่ตามข้าให้ทัน!” เซวี่ยอวี้ราชาเหยี่ยวสายฟ้าคำรามพลางหัวเราะเย้ยหยันจากที่ไกลออกไปร้อยจั้ง “ข้าจะบอกความจริงให้ก็ได้ ไม่กี่วันก่อนพวกเราจับตัวผู้บ่มเพาะมนุษย์แปดคนมาในนั้นมีคนที่ชื่อตู้ชิงซีกับมู่หลงเว่ย ทั้งสองเป็นสหายของเจ้ามิใช่หรือ ถ้าอยากจะช่วยพวกเขาก็จงยอมแพ้เสียหรือไม่ก็ส่งกระบี่ไผ่ทองคำนิลมาให้ข้าแต่โดยดี!”
‘ผู้บ่มเพาะพลังทั้งแปด… ตู้ชิงซี…’
เฉินซีชะงักไปด้วยความตกตะลึง ขณะเดียวกันในห้วงคำนึงปรากฏภาพในดินแดนรกร้างใต้พิภพ ตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อและซ่งหลิน ทุกคนเป็นสหายของเขา แม้จะเกิดความเข้าใจผิดในหมู่พวกเขาบ้าง หากเมื่อได้ยินว่าคนเหล่านั้นกำลังตกที่นั่งลำบาก เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายใจ
‘ไม่เป็นไร เรื่องในห้องโถงตำราภายในที่พำนักเซียนกระบี่ ข้ายังเป็นหนี้พวกเขาอยู่ ข้าเป็นสาเหตุทำให้พวกเขาต้องต่อสู้อย่างชุลมุนจากการขาดความยับยั้งชั่งใจของข้า เวลานี้พวกเขากำลังตกอยู่ในอันตราย ข้าจะต้องเข้าไปช่วยพวกเขาอีกครั้งเพื่อเป็นการไถ่โทษ ความผิดที่ข้าเคยก่อไว้ ต่อไปภายหน้า…พวกเราจะได้แยกย้ายทางใครทางมัน!’
ครู่หนึ่งที่ความคิดนี้แวบเข้ามาในใจ เฉินซีก็ทะยานออกไปทันที ที่ด้านหลังปรากฏปีกคู่หนึ่งงอกออกมาขณะที่เขาไล่ตามราชาเหยี่ยวสายฟ้าที่นำหน้าไปไกล
“เจ้ามันรนหาที่ตายแท้ ๆ! เชื้อสายเหยี่ยวของข้าเป็นราชาแห่งอากาศ!” เซวี่ยอวี้ ราชาเหยี่ยวสายฟ้าบิดยกมุมปากเย้ยหยัน แววตาแฝงความอำมหิตเลือดเย็น
ฟิ้ววว! ฟิ้ววว!
ฝ่ายหนึ่งไล่ฝ่ายหนึ่งหนี การไล่ล่าติดพันของเฉินซีและเซวี่ยอวี้ดูเหมือนสายฟ้าสองสาย ก่อนที่ทั้งสองจะหายลับไปที่เส้นขอบฟ้าเพียงชั่วพริบตา
…
‘ผู้อาวุโสเฉินซีจะต้องปลอดภัยแน่!’
มู่ขุยชะเง้อมองตามร่างสูงผอมที่หายลับไปบนเส้นขอบฟ้าโดยปราศจากความกังวลใจใด ๆ ขณะเดียวกันเขาก็เชื่ออย่างที่สุดว่าเฉินซีไม่มีทางพ่ายแพ้ มันเป็นความเชื่อที่ไร้เหตุผลอย่างแท้จริง
เวลานี้เขาเดินอาด ๆ ไปหยุดอยู่เบื้องหน้าฝูงอสูรกลุ่มใหญ่ จากนั้นจึงก้มลงเก็บรวบรวมบรรดาสมบัติล้ำค่าจากร่างไร้วิญญาณของราชาวานรทมิฬตามคำสั่งของเฉินซีทันที
“โอ้ มีวารีวิญญาณสามพันชั่ง เหล็กกล้าเพลิงโลกันตร์หนึ่งชิ้น ผลจิตวิญญาณพันปีพวงหนึ่ง…” ในตอนนี้มู่ขุยชักได้ใจจึงล้วงมือคลำหาของล้ำค่าจากร่างราชาวานรทมิฬโดยไม่สนใจสายตาชิงชังแทบจะกินเลือดกินเนื้อรอบข้างที่พุ่งเป้ามายังตนเอง
อสูรกว่าพันตนที่เคยติดตามราชาวานรทมิฬมาช้านาน เกิดความหวาดกลัวต่อความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามของเฉินซีเป็นอันมาก บัดนี้ราชาวานรทมิฬผู้เป็นนายของพวกมันถูกสังหารเสียแล้ว เหมือนกับฝูงลิงทั้งหลายเมื่อไม้ใหญ่ล้ม พวกที่เหลือต้องก็แตกกระเจิง พวกมันไม่โง่ถึงขนาดไปทำให้มู่ขุยขุ่นเคืองแน่
‘แต่ไอ้เจ้าหมาป่านี่มันโอหังเกินไป!’
‘หากจะปล้นชิงของล้ำค่าที่ริบได้จากการต่อสู้แล้วก็ปล้นไป ไยต้องทำท่าดีอกดีใจจนต้องพูดออกมาดัง ๆ เช่นนั้นด้วยเล่า!’
ขณะที่อสูรตนอื่นได้ฟังชื่อของล้ำค่าน่าดึงดูดใจว่ามีสิ่งใดบ้างแล้วนั้น พวกมันก็พากันลอบชำเลืองมองสีหน้าแสดงความโลภโมโทสันอย่างน่ารังเกียจของมู่ขุย พลันอสูรทั้งหลายก็ทำหน้าตาบูดเบี้ยวน่าชังอย่างยิ่ง
เวลาล่วงเลยไปอีกนาน เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสมบัติใด ๆ หลงเหลืออยู่ในร่างไร้วิญญาณของหยวนถงอีกแล้ว มู่ขุยเม้มปากเล็กน้อยพลางขยับลุกขึ้น จากนั้นจึงค่อยกลับไปยังเทือกเขาวงจันทราอย่างสบายอารมณ์ด้วยท่าทางไม่เร่งรีบ
“สหายนักพรตเต๋ามู่ขุยกลับมาแล้วหรือ”
“อ้าว ไม่ได้เจอกันเสียนาน สหายนักพรตเต๋ามู่ขุยดูท่าทางก้าวหน้าไปมาก ยินดีด้วยนะ!”
“โธ่ สหายนักพรตเต๋ามู่ขุย ข้าจะมาขอโทษเจ้าสักหน่อย พอดีเมื่อช่วงสองสามวันที่ผ่านมาข้ามัวยุ่งอยู่กับการฝึกฝน จนลืมแวะไปเยี่ยมเยียนเจ้า ข้ารู้สึกผิดต่อเจ้าจริง ๆ”
ตอนที่มู่ขุยกลับมาถึงที่พำนักบนเทือกเขาวงจันทราก็พบว่ามีกลุ่มสัตว์อสูรมารอเขาอยู่แล้ว สัตว์อสูรพวกนี้ล้วนเป็นอสูรที่บ่มเพาะพลังอยู่ใกล้ ๆ เทือกเขาวงจันทรานี้เอง ส่วนใหญ่พวกนี้เคยมาร่วมแสดงความยินดีกับเฉินซีตอนที่ชายหนุ่มสามารถบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว เมื่อเห็นมู่ขุยกลับมาถึง พวกที่รวมกลุ่มอยู่เป็นจำนวนมากต่างพากันยกยอปอปั้นอย่างไม่มีเขินอาย อีกทั้งเข้ามารุมซักถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยและกระตือรือร้นเต็มที่
“พวกเจ้าไสหัวไปให้หมด ข้าจะอยู่ดูแลที่พักของผู้อาวุโสเฉินซี” มู่ขุยสีหน้าเรียบนิ่งขณะพูด เขากวาดตามองอสูรอื่นพลางนึกดูแคลนพวกมันอยู่ในใจ
‘ในตอนนั้นพอพวกมันเห็นว่าผู้อาวุโสเฉินซีสร้างความขุ่นเคืองให้แก่ราชาวานรทมิฬ พวกมันทั้งหมดต่างวิ่งหนีหางจุกตูด แต่ตอนนี้เมื่อผู้อาวุโสเฉินซีสังหารราชาวานรทมิฬได้ ไอ้พวกสารเลวเหล่านี้กลับรีบเสนอหน้าอยากให้เป็นที่โปรดปรานของผู้อาวุโสเฉินซีสินะ ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกโว้ย!’
…
ขุนเขาน้อยใหญ่มีทั้งขึ้นสูงและลงต่ำ เมฆหมอกคล้อยเคลื่อนดั่งระลอกคลื่น
ใต้ท้องฟ้าสีครามไกลออกไป เส้นแสงสองสายเคลื่อนที่ด้วยความเร็วอย่างมากจนตัดก้อนเมฆและสายหมอกที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าจนแตกตัวก่อนจะม้วนพันกันเป็นเกลียวคลื่นน่าสะพรึงกลัวทิ้งไว้ทางเบื้องหลัง
หนึ่งร้อยลี้
ห้าร้อยลี้
หนึ่งพันลี้
…
‘เจ้าเด็กนั่นมันรวดเร็วจริง! ขนาดข้าเร่งความเร็วเต็มที่แล้วดูเหมือนจะยังช้ากว่ามันอยู่เล็กน้อย ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเกรงว่าอีกไม่นานมันต้องตามทันข้าแน่นอน!’
เซวี่ยอวี้ซึ่งบัดนี้คืนร่างเป็นอสูรเหยี่ยวเหล็กทองคำเต็มรูปแบบแล้ว มันกระพือปีกอย่างแรงด้วยความตระหนก แม้ไม่ต้องหันกลับไปมอง มันก็รู้ได้จากเสียงกรีดผ่านอากาศว่าเฉินซีที่ตามมาข้างหลังเข้ามาใกล้แล้ว
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ฉับพลันที่ราชาเหยี่ยวสายฟ้ากำลังงงงัน ทันใดนั้นปรากฏเสียงหวีดแหลมของอากาศดังมาจากด้านหลัง จากนั้นปราณกระบี่มหาศาลอันประจุด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งกระบี่ที่ไร้ผู้ใดเทียบเทียมพลันแหวกอวกาศพุ่งมาทางมันทันที
ราชาเหยี่ยวสายฟ้ารีบเปลี่ยนทิศทางเพื่อหลบปราณกระบี่เหล่านี้ที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก และเขาก็ไม่กล้าปล่อยให้ความคิดของตัวเองฟุ้งซ่านอีกต่อไปขณะที่เขารวบรวมกำลังกายเพื่อโบยบินไปข้างหน้า
‘เพียงแค่เจ้ารอ! อีกสักครู่ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสพลังของข้า!’
ฟิ้วว!
ราชาเหยี่ยวสายฟ้าขยับปีกกระพืออย่างแรงเพื่อเพิ่มความเร็วขึ้นไปอีก ทำให้ยืดระยะห่างระหว่างตนกับเฉินซีได้ทันที แต่การจะสลัดเฉินซีทิ้งโดยสิ้นเชิงนั้นคงไม่อาจเป็นไปได้
‘ไอ้ราชาอสูรตนนี้จะพาข้าไปที่ใดกันแน่?’
เมื่อทะยานไล่ตามมาถึงจุดหนึ่งเฉินซีก็เริ่มเดาไม่ออก แต่ดูเหมือนว่าราชาเหยี่ยวสายฟ้าจะต้องการหลอกล่อเขาไปที่ใดที่หนึ่งมากกว่าตั้งใจจะต่อสู้ตัดสินเป็นตายตรง ๆ
‘อาจเป็นได้ว่ามันกำลังมองหาราชาอสูรตัวอื่นที่จะเข้ามาช่วยหรือบางทีมันตั้งใจจะลวงให้ข้าเข้าไปในรังของมันจากนั้นก็จะใช้วิธีอื่นต่อสู้’
เฉินซีครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด แต่ความรวดเร็วของชายหนุ่มไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย ด้วยเขาใช้เคล็ดวาตะเหินทะยานที่สำเร็จถึงขั้นเต๋ารู้แจ้งจนถึงขีดสุด บัดนี้ตัวเขาจึงเปรียบเสมือนเส้นสายที่กระแสลมพัดพาอย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอยราวกับสายฟ้าแลบ
ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป
ราชาเหยี่ยวสายฟ้าพลันหยุดนิ่งกะทันหัน จากนั้นก็สยายปีกกางออกก่อนจะโฉบลงที่ด้านล่างทันที
“นี่คือที่ไหน?” เฉินซีหยุดติดตามแล้วกวาดสายตามองลงไปยังข้างล่าง จึงเห็นเทือกเขาตั้งตระหง่านซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มควันสีม่วงเข้มที่ลอยปกคลุม มีสันเขาคมกริบเหมือนกระบี่ทั้งสูงและชัน ด้านหนึ่งบนหน้าผาสูงชันนั้นเองปรากฏพระราชวังหลังใหญ่โตขนาดมหึมาที่ไปตั้งอยู่บนนั้นได้อย่างน่าแปลกใจ!
พระราชวังหลังนี้เป็นโลหะสีม่วงคล้ำ ทั้งประณีตและสวยงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ ภายในสามารถมองเห็นศาลา ภูเขาประดิษฐ์และสายน้ำไหลรินทั่วไป ขอบสุดเป็นทะเลสาบที่มีระลอกคลื่นสีฟ้าใส
‘โอฬารตระการตาอะไรเช่นนี้!’
‘ที่นี่คือรังซ่อนตัวของราชาเหยี่ยวสายฟ้าอย่างนั้นหรือ’
“เฮ้ย! เด็ก ๆ รีบตั้งค่ายกลพันพญาเหยี่ยวเร็วเข้า! เดี๋ยวบรรพบุรุษของพวกเจ้าจะสังหารมนุษย์น้อยให้ชมเป็นขวัญตา!” เสียงของเซวี่ยอวี้ราชาเหยี่ยวสายฟ้าดังขึ้น ขณะเกาะอยู่เหนือหลังคา