บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 723 หญิงสาวผู้ร่วงหล่นจากฟากฟ้า
บทที่ 723 หญิงสาวผู้ร่วงหล่นจากฟากฟ้า
บทที่ 723 หญิงสาวผู้ร่วงหล่นจากฟากฟ้า
ตามตำนานเล่าขานกันว่า ครั้งหนึ่งเคยมีดวงดาวขนาดมหึมาตกลงมาที่นี่ในยุคบรรพกาล ก่อนที่มันจะก่อตัวเป็นเทือกเขาสูงตระหง่านที่เรียกว่าเทือกเขาหยาดดารา
เทือกเขานี้ทอดตัวยาวไปไกลหลายแสนลี้ เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนใหญ่น้อยมายมาย ภายในนั้นเต็มไปด้วยเส้นชีพจรวิญญาณจำนวนมาก นอกจากนั้นเทือกเขาแห่งนี้ยังเป็นแหล่งต้นน้ำให้กับแม่น้ำลำธารนับร้อยนับพันสาย อีกทั้งยังสมบูรณ์ด้วยสมุนไพรวิญญาณ วัตถุวิญญาณ และแร่ธาตุหายากหลากชนิด
มีเสียงเล่าลือกันมาไม่น้อยว่า การบ่มเพาะบนเทือกเขาหยาดดาราจะทำให้สามารถหยั่งรู้ถึงเต๋ารู้แจ้งแห่งดวงดาวและสื่อสารกับคลื่นพลังดวงดาวบนท้องฟ้าได้ง่ายยิ่งขึ้น
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ภายในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้กลับกำลังสิ้นความสงบจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ เกิดเสียงอึกทึกกัมปนาทประหนึ่งการปะทะกันของเซียนสวรรค์ จนสั่นสะเทือนทั่วทั้งฟ้าดิน
เฉินซีจึงสั่งให้ทั้งกลุ่มหยุดการเคลื่อนไหว และเพิ่มความระมัดระวังทันทีที่ภาพความรุนแรงปรากฏขึ้นตรงหน้า ก่อนที่ร่างสูงของเขาจะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับดวงตาที่สามจะเบิกออกและเพ่งมองไปยังที่ห่างไกล
ทันทีดวงตาแนวตั้งนี้ลืมออกกว้าง ทุกสรรพสิ่งที่ทอดไกลจรดหมื่นลี้ ไม่ว่าจะใบหญ้า ต้นไม้ หรือสรรพสัตว์อสูรอย่างเสือ เสือดาว หมาป่า งู นกอินทรี หรือแม้แต่เสือดำก็ปรากฏขึ้นในการรับรู้อย่างชัดเจน
นี่คือพลังอิทธิฤทธิ์เนตรเทวะแห่งความจริง ความสามารถในการมองเห็น รวมถึงรับรู้ของมันทรงพลังยิ่งกว่าจิตสัมผัสเทพ อีกทั้งยังสามารถเปิดเผยความจริงแท้ มองออกว่าสิ่งใดจริงสิ่งใดปลอม แม้แต่มดตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างออกไปหมื่นลี้ ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตา และด้วยพลังอิทธิฤทธิ์นี้ ชายหนุ่มจึงสามารถจำแนกลายของใบไม้แต่ละใบได้อย่างง่ายดาย
ผ่านไปครู่หนึ่ง สายตาของเฉินซีก็หยุดลงที่ภาพการต่อสู้ภายในเทือกเขาหยาดดารา …มันเป็นการประมือระหว่างสัตว์อสูรที่มีปีกกับหญิงสาวนางหนึ่ง
คุนเผิงทองคำ!? แค่มองเพียงแวบเดียว ชายหนุ่มก็รับรู้ได้ทันทีว่าสัตว์อสูรที่ทรงพลังตนนี้คือคุนเผิงทองคำ มันเป็นสัตว์ที่มีพละกำลังมหาศาล ปีกกว้างใหญ่วาววับคล้ายจะถักทอขึ้นจากเส้นไหมทองคำบริสุทธิ์ที่ส่องแสงล้อไปกับดวงอาทิตย์
เพียงมันตวัดกรงเล็บแหลมคมเบา ๆ ภูเขาน้อยใหญ่ที่อยู่โดยรอบก็พังครืน แตกสลายเป็นก้อนหินขนาดย่อมนับไม่ถ้วน
มันเป็นคุนเผิงทองคำสายเลือดบริสุทธิ์ไม่ผิดแน่! และด้วยพลังอิทธิฤทธิ์ต้นกำเนิด ยามที่ปีกของมันกระพือพัด กรงเล็บคมกริบจึงเป็นเสมือนกระบี่ที่สามารถฉีกกระชากแผ่นฟ้าออกเป็นชิ้น ๆ ได้!
ในขณะที่หญิงสาวซึ่งกำลังต่อสู้กับมันสวมใส่เพียงชุดเรียบง่าย ทว่าตัวคนกลับส่องประกายคล้ายถูกห้อมล้อมด้วยแสงของดวงดาว รูปร่างของนางสง่างาม …ทว่าแม้แต่เนตรเทวะแห่งความจริงก็ไม่อาจตรวจสอบรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนางได้!
ตั้งแต่ที่ได้รับพลังอิทธิฤทธิ์นี้มา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มประหลาดใจเล็กน้อย และรับรู้ในได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
รูปร่างของนางดูบอบบางและอ่อนโยน ผิดกับการเคลื่อนไหวที่ใช้ศาสตร์เต๋าออกมาในทุกขณะ และท่ามกลางการต่อสู้ที่ดุเดือด คุนเผิงทองคำก็ไม่อาจพันธนาการนางไว้ในกำมือได้ หญิงสาวยังคงวาดกระบวนท่าอย่างอิสระและผ่อนคลาย นางไม่เพียงจะไม่ตกเป็นรองเท่านั้น แต่คล้ายกับว่าหญิงสาวเหนือกว่าศัตรูเบื้องหน้าอีกด้วย!
“เจ้าเพื่อนยาก เป็นอสูรพาหนะของข้ามันไม่ดีตรงไหนกัน? เจ้าจะได้โอบดวงจันทรา พิชิตมหาสมุทร เพลิดเพลินกับการปรนนิบัติดูแลที่สุดแสนจะสบาย และหากเจ้ายังดื้อดึงก็อย่าหาว่าข้าโหดร้ายเล่า” น้ำเสียงรื่นหูเปล่งออกมาจากริมฝีปากที่คลี่ยิ้ม เส้นผมของนางพลิ้วไหวไปมา เสื้อผ้าอันเรียบง่ายพัดขยับตามกระแสลมแรง ร่างกายซึ่งปกคลุมด้วยแสงดารานี้ ทำให้หญิงสาวดูเหมือนหมู่ดาวที่เคลื่อนคล้อยอยู่บนอากาศ ในทุกการเคลื่อนไหว ปราณที่ยิ่งใหญ่เกินพรรณนาได้พัดพรายไปทั่วบริเวณ
สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือคำพูดของนาง นี่นางตั้งใจจะจับคุนเผิงทองคำตัวนี้ไปเป็นสัตว์พาหนะจริง ๆ!
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ทุกคนที่ได้ฟังจะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน คุนเผิงทองคำนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถือเกิดขึ้นในยุคบรรพกาล สายเลือดของพวกมันเก่าแก่อย่างยิ่ง โดยสามารถสืบย้อนไปได้จนถึงยามที่โลกเพิ่งถือกำเนิดขึ้นไม่นาน เห็นได้ชัดว่ามันอยู่มานานกว่ามนุษย์หลายปีมากนัก
สำหรับแดนภวังค์ทมิฬ คุนเผิงทองคำเป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้รับการเคารพนับถือยิ่งกว่ามนุษย์เสียอีก จึงเป็นเรื่องที่ผิดปกติหากมีใครกล้าเข้าไปคุกคามมัน
ทว่าจะดีหรือร้ายอย่างไร หญิงสาวผู้นี้ก็ได้ลงมือไปแล้ว และไม่ว่าจะน้ำเสียงหรือสีหน้าของนางก็ปราศจากความวิตก คล้ายกับว่านางหาได้กำลังจับสุดยอดสัตว์อสูรที่ทรงพลัง แต่กำลังจับสัตว์บริวารตัวน้อย ๆ อยู่…
“ขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์ ใครใช้ให้เจ้ามีใจคิดร้าย หมายปองของของข้า …และสำหรับโทษทัณฑ์ในครั้งนี้ การที่ข้าไม่ฆ่าเจ้าก็นับว่าเมตตามากแล้ว แต่หากเจ้ายังไม่เลิกดึงดัน ข้าก็จะฆ่าเจ้าเสียเดี๋ยวนี้ล่ะ!” หญิงสาวฉีกยิ้มกว้าง ทุกย่างก้าวของนางคล้ายตัดผ่านทะลุห้วงมิติว่างเปล่า และไม่ว่าคุนเผิงทองคำจะปลดปล่อยการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวออกมามากเพียงใด ก็ไม่อาจสร้างอันตรายต่อหญิงสาวได้เลย
วิหคยักษ์คุนเผิงทองคำที่เห็นแบบนั้นพลันคำรามอย่างมีโทสะ มันสยายปีกสีทองที่สามารถตัดผ่าท้องฟ้าออกเป็นส่วน ๆ เพียงการกระพือปีกหนึ่งครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนให้ทิวทัศน์โดยรอบปกคลุมไปด้วยความพินาศ
แม่น้ำสายใหญ่ต่าง ๆ พากันแตกสายเป็นลำคลองเล็กจ้อย ขุนเขาโดยรอบถล่มทลายแยกเป็นสองส่วน… ทว่าหญิงสาวผู้นั้นกลับยังคงยืนอยู่อย่างสง่างาม ไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใด!
ท่ามกลางการปะทะที่แสนดุเดือด จู่ ๆ มันก็หุบปีกลงและทะยานแหวกอากาศเหมือนคันศรสีทองที่ยาวกว่าหกลี้ แสดงท่าทีชัดเจนว่าต้องการหลบหนี
“โธ่เอ๊ย! คงมีแต่ต้องกำจัดเจ้าสินะ!” เสียงอันเย็นชาของหญิงสาวลอดผ่านไรฟัน ขณะนางสะบัดฝ่ามือเบา ๆ ใช้นิ้วที่เรียวขาวผ่องกรีดออกไป และส่งแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสายตัดทะลวงอากาศ ทำให้เกิดเสียงกรีดร้องโหยหวยดังขึ้นจากความว่างเปล่าที่ห่างออกไปหกลี้!
หวือออ!
โลหิตสีทองสาดกระเซ็นเหมือนสายฝนโปรยปราย พร้อมกันนั้น ซากร่างของคุนเผิงทองคำก็ร่วงหลงจากอากาศและตกลงสู่พื้น
…หญิงสาวผู้นั้นปลิดชีวิตมันลงอย่างง่ายดาย!
เฉินซีที่เห็นแบบนั้นก็พลันเกิดความตระหนกขึ้นมา เพราะถ้าเขาจำไม่ผิด ความแข็งแกร่งของคุนเผิงทองคำน่าจะบรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพี และเพราะสายเลือดอันเก่าแก่ของมัน เจ้าคุนเผิงจึงควรจะแข็งแกร่งกว่าผู้บ่มเพาะมนุษย์ในขอบเขตเดียวกัน …ทว่าตอนนี้มันกลับถูกสังหารโดยหญิงสาวเพียงคนเดียวอย่างง่ายดาย ราวกับว่ามันไม่สามารถต้านทานพลังของนางได้เลย แม้จะเป็นแค่การโจมตีครั้งเดียวก็ตาม!
‘การบ่มเพาะประเภทใดกันที่ให้ผลลัพธ์รุนแรงถึงเพียงนี้?’ เฉินซีรู้สึกบีบรัดในอกจนหายใจไม่ออก เขาแน่ใจอย่างมากว่าหญิงสาวคนนี้น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง และถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาตนเอง เขาก็คงไม่มีทางเชื่อแน่ ๆ ว่า หญิงสาวที่ดูบอบบางอ้อนแอ้นนี้จะสามารถสังหารคุนเผิงทองคำขอบเขตเซียนปฐพีได้ราวกับพลิกฝ่ามือ!
ทันใดนั้น เฉินซีก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นหญิงสาวนางนั้นกำลังหันมองกลับมาที่ตัวเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้หัวใจของชายหนุ่มแทบตกไปถึงตาตุ่ม มันสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุมเมื่อสองสายตาประสานตรงกัน!
ส่วนที่ว่ามันเป็นแววตาแบบไหนน่ะหรือ?
ชายหนุ่มคงบอกได้เพียงว่า มันเป็นแววตาที่ดูราวกับหลุมลึกในหุบเหวอนธการ ดำขลับดั่งเม็ดนิลบริสุทธิ์ สงบนิ่งเหมือนผืนน้ำกว้างใหญ่ และทันทีที่สองสายตาสบประสานกัน วิญญาณของเฉินซีพลันเหมือนถูกฉุดกระชาก จิตใจดำดิ่งลงสู่ดินแดนอันสยดสยองและเย็นเยือกในทันที!
“เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน” เฉินซีพลันเบนสายตาหนีการจับจ้อง เขาหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติ ก่อนที่ไม่นานลมหายใจเหล่านั้นจะถูกปล่อยออกมาอย่างช้า ๆ
“นั่นเจ้ากำลังพูดถึงข้าอยู่หรือ?” ทันใดนั้น เสียงกังวานไพเราะก็ดังขึ้นข้างหูเขาอย่างชัดเจน
สิ่งนี้ทำให้ร่างกายของเขาแข็งทื่อ เขารู้สึกได้แรงตึงเขม็งทั่วทั้งผิวหนัง เขาขืนตัวหันไปตามต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเห็นว่าหญิงสาวคนดังกล่าวได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าแทบจะในทันที!
“เจ้า…” หลังอาการตกใจทุเลาลง เฉินซีก็กลับมาสงบสติอารมณ์ได้อีกครั้ง ในตอนนี้เอง เขาสังเกตเห็นว่าแสงดาวรอบ ๆ กายหญิงสาวบัดนี้ได้หายไปแล้ว จึงเผยให้เห็นใบหน้าอันงดงามเป็นอย่างมากที่ซ่อนอยู่
“เจ้าอะไรกัน เรียกข้าว่าอาซิ่วเถอะน่า” หญิงสาวยิ้ม เผยฟันสีขาวสะอาดที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม ขณะที่คิ้วโก่งงอนก็สอดรับกับใบหน้างามงดอันเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา
นางถือเป็นหญิงสาวที่งดงามผู้หนึ่ง จนชุดเรียบ ๆ สีเขียวที่สวมใส่อยู่ไม่อาจบดบังเรือนร่างอันสง่างามไว้ได้ มันกลับยิ่งขับเน้นให้ผิวที่ขาวและอ่อนนุ่มดั่งหยกเนื้องามของนางเปล่งประกาย และแม้ว่าหญิงสาวจะไม่ได้โฉมงามชนิดที่ว่าชวนล่มเมือง แต่ก็นับได้ว่ามีรูปลักษณ์ที่มองเท่าไรก็ไม่รู้สึกเบื่อ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่างดงาม เป็นเสน่ห์ที่ยากจะหาใครเหมือน
ทันทีที่พูดจบ หญิงสาวพลันมองลงไปด้านล่างก่อนจะพึมพำด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เฮ้ คนพวกนี้เป็นผู้ติดตามของเจ้าหมดเลยหรือ? เยอะขนาดนี้เชียว เยี่ยมเลย! มีคนขนาดนี้ข้าก็ไม่ต้องเหงาแล้วสิ เช่นนี้ ข้าจะได้มีเพื่อนเล่นด้วย”
นางพูดพลางมองลงไปพลาง สุดท้ายนางก็เดินลงไปด้านล่างและโบกมือน้อย ๆ “นี่! นี่! สวัสดีพวกเจ้าทุกคน! ข้าชื่ออาซิ่ว ต่อจากนี้ไปเราคือสหายกันนะ…”
เหมิงเหวยและคนอื่น ๆ ต่างแปลกใจระคนตกตะลึง เหตุใดอยู่ ๆ ก็มีหญิงสาวหน้าตางดงามปรากฏตัวขึ้น และขอเป็นเพื่อนกับพวกเขาอย่างไม่คิดอ้อมค้อมเช่นนี้หนอ?
ทว่าในสถานการณ์ที่กะทันหันและอีหลักอีเหลื่อเช่นนี้ ท่าทางของอาซิ่วกลับดูสดใสเป็นธรรมชาติเหลือเกิน นางไม่มีร่องรอยเก้อเขินแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าภาพตรงหน้าเป็นความจริง
เฉินซีเองก็ประหลาดใจไม่ต่างกัน ความคิดแปลก ๆ ไร้แก่นสารสายหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวเมื่อมองไปยังหญิงสาว ท่าทางที่เป็นมิตรจนมากเกินไปเช่นนี้ ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่านางใช่สตรีคนเดียวกันกับที่เพิ่งสังหารคุนเผิงทองคำขอบเขตเซียนปฐพีไปเมื่อครู่หรือไม่?
“นี่! นี่! ทำหน้าแบบนี้หมายความว่าอย่างไรกัน นี่พวกเราเป็นเพื่อนกันได้ใช่หรือไม่?” อาซิ่วเท้าเอวขณะที่กวาดตามองทุกคน ไม่นาน นางก็เม้มริมฝีปากบางและร้องออกมาด้วยความแง่งอน
“พี่สาว ข้าชื่อเสี่ยวเฉิน” เสี่ยวเฉินพลันก้าวออกไปก่อนใครพลางพูดขึ้นอย่างเป็นมิตร
“เสี่ยวเฉินหรือ ชื่อเพราะมากเลย!” รอยยิ้มของอาซิ่วเปล่งประกาย ในขณะที่ดวงตาก็หยีลงอย่างยินดี นางรีบสาวเท้าไปเบื้องหน้า ก่อนจะวางมือบนไหล่เล็ก ๆ ของอีกฝ่าย “ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าคือน้องสาวของข้า และพี่หญิงคนนี้ก็รู้สึกเอ็นดูเจ้าเหลือเกิน” นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ฝ่ามือเรียวบางยื่นออกไปบนอากาศ ไม่นาน ผลไม้วิญญาณพลันปรากฏขึ้น มันมีผลสีขาวราวผลึกหิมะ ตัดกับสีเขียวขจีที่ชุ่มชื้นของใบ ดูเหมือนว่ามันเพิ่งจะถูกเด็ดลงมาจากกิ่งก้านไม่นานนี้ แต่ไม่เพียงเท่านั้น ผลของมันยังแผ่กระจายกลิ่นหอมเย็นสดชื่นราวกับไอหมอกบริสุทธิ์ออกมาอีกด้วย!
“อะ ข้าให้เจ้า มันทั้งหวานและอร่อยนัก รีบชิมเร็วเข้า” อาซิ่วยื่นผลไม้วิญญาณยัดใส่เข้าไปในปากของเสี่ยวเฉินโดยไม่ให้ทันตั้งตัว สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เหมิงเหวยขมวดคิ้ว เขาตั้งใจจะหยุดมืออีกฝ่าย ทว่าเฉินซีกลับส่ายหน้าเป็นการปรามไม่ให้เขาเคลื่อนไหว ในความคิดของชายหนุ่ม หากอีกฝ่ายคิดจะทำร้ายพวกเขาจริง ๆ นางก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เล่ห์กลอันใด
อีกอย่าง ชายหนุ่มก็มองออกว่าผลไม้วิญญาณสีขาวที่อาซิ่วหยิบยื่นให้นั้นคือ ‘ผลโสมเยือกแข็ง’! ผลไม้วิญญาณที่ล้ำค่าและหายากยิ่ง ชนิดที่ว่าต่อให้พลิกแผ่นดินสักหลายร้อยตลบก็ไม่แน่ว่าจะได้พบ
มันเป็นผลไม้วิญญาณที่หายากเสียจนไม่อาจประเมินค่าได้ ในหมู่นิกายทั้งหลาย มันมีกลิ่นอายของมหาเต๋าแห่งวารีสถิตอยู่ ซึ่งมีประโยชน์ต่อผู้บ่มเพาะมหาเต๋าแห่งวารีอย่างมาก!
สถานการณ์ในขณะนี้ทำให้เฉินซียิ่งรู้สึกว่า เบื้องลึกเบื้องหลังของหญิงสาวที่ชื่ออาซิ่วนั้นไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง บางทีนางอาจจะเป็นบุตรีคนโปรด หรือไม่ก็ศิษย์ชั้นยอดของตัวตนที่ยิ่งใหญ่เหนือฟ้าดินก็เป็นได้
“อื้ม มันอร่อยจริง ๆ พี่สาวไม่ได้หลอกข้า” เสี่ยวเฉินกัดผลโสมเยือกแข็งเบา ๆ เนื้อของมันเนียนละเอียด น้ำที่แทรกอยู่ภายในเนื้อก็มีรสหวานสดชื่น ทำให้เด็กน้อยรู้สึกเหมือนร่างกายถูกเติมเต็มให้มีชีวิตชีวา เป็นรสชาติที่ล้ำลึกอย่างเหลือเชื่อ
ดวงตากลมโตของอาซิ่วหยีเป็นรูปจันทร์เสี้ยว จากนั้นนางก็ลูบหัวเสี่ยวเฉินเบา ๆ “คนอย่างข้าไม่หลอกลวงใคร นี่ข้ายังมีของอร่อยอีกหลายอย่างเลยนะ หากเจ้าชอบ ข้าจะขนมาให้เจ้ากินจนหมดเลย”
เสี่ยวเฉินพยักหน้ารับพลางกล่าวว่า “พี่สาว ท่านเป็นคนดีจริง ๆ เจ้าค่ะ”
หญิงสาวส่งผลไม้วิญญาณที่เหลือในมือให้เสี่ยวเฉิน “จริงสิ เพื่อให้ทุกคนได้เล่นด้วยกันอย่างสนุกสนานในอนาคต ฝากเจ้าแจกจ่ายสิ่งนี้ให้กับเจ้าตัวเล็กพวกนั้นได้ลิ้มลองรสชาติด้วยนะ”
“เจ้าค่ะ” เด็กหญิงรับผลไม้วิญญาณไปแจกจ่ายตามเสียงไหว้วาน
“เจ้า… ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้?” เฉินซีระงับความเคลือบแคลงที่มีในใจไม่อยู่อีกต่อไป เขาจึงถามออกไปตรง ๆ
“มีของดีก็ควรแบ่งปันสิ จริงหรือไม่?” ดวงตาดำขลับคู่นั้นกะพริบน้อย ๆ ขณะกล่าว
“แล้วเจ้าคิดจะไปจากที่นี่เมื่อไร?” เฉินซีถามต่อ
“ไป? ข้าบอกตอนไหนกันว่าจะไป?” หญิงสาวย่นจมูกและส่ายหน้าไปมา “คำถามนี้เจ้าเก็บไว้ถามตัวเองเถอะ บางที ข้าอาจจะไปเองในตอนที่ข้าหมดสนุก…”
คำตอบที่ตรงไปตรงมานี้ทำเอาเฉินซีพูดไม่ออก