บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 742 ยอมรับความพ่ายแพ้หรือตาย
บทที่ 742 ยอมรับความพ่ายแพ้หรือตาย
บทที่ 742 ยอมรับความพ่ายแพ้หรือตาย
เสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพชดังก้องอยู่ในอากาศ จนทำให้สีหน้าของทุกคนจากเขาวิญญาณนิรันดร์กลายเป็นเคร่งขรึม
“ช่างรวดเร็วยิ่งนัก!”
เวลาผ่านไปเพียงอึดใจตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ แต่มือขวาของฟางจิ้งเลวี่ยกลับหักและนิ้วของเขาก็แหลก โดยที่พวกเขาไม่อาจตอบสนองต่อเหตุการณ์ดังกล่าวได้ทัน!
“รนหาที่ตาย!” ใบหน้าขอฟางจิ้งเลวี่ยบิดเบี้ยวขณะที่คำรามลั่น และปราณแท้ในร่างกายของเขาก็สั่นสะเทือนราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก มันปะทุแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีออกมา ตัวคนยกมือซ้ายขึ้นเหมือนขวานใหญ่ของเทพเจ้า และฟาดลงไปที่หัวของเฉินซี!
เขาไม่สนใจความจริงที่ว่ามือขวาของตนเองพิการ และตั้งใจจะต่อสู้กับอีกฝ่ายในระยะประชิด …ดังนั้นฟางจิ้งเลวี่ยจึงลงมืออย่างเด็ดขาด ไร้ความปรานี และไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการที่เขาบ่มเพาะมาจนถึงระดับนี้ไม่ใช่เพราะโชคช่วยอย่างเดียว
ปัง!
เฉินซีฟาดด้วยหลังมือ ส่งอักขระยันต์เข้าต้าน ซึ่งไม่เพียงจะลบล้างการโจมตีนี้เท่านั้น แต่ยังตบหน้าฟางจิ้งเลวี่ยอย่างต่อเนื่อง สร้างแรงระเบิดจนผลักตัวคนกระเด็นออกไป เลือดไหลรินออกจากจมูกและปากของเขา ในขณะที่แก้มของเจ้าตัวก็ปูดบวม แม้แต่ฟันบางซี่ก็หลุดออกมา
เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ตกตะลึง เพราะการเคลื่อนไหวของเฉินซีนั้นผ่อนคลายและเรียบง่ายยิ่ง แต่มันกลับแฝงความแข็งแกร่งที่ไม่มีใครเทียบได้ ทั้งทรงพลังและทำให้คู่ต่อสู้แทบไม่มีโอกาสได้ต่อต้านแม้แต่น้อย!
“ต้องบ่มเพาะสิ่งใด จึงจะบรรลุผลลัพธ์ที่น่ากลัวเช่นนี้ได้?”
ใบหน้าของผู้บ่มเพาะจากเขาวิญญาณนิรันดร์เปลี่ยนไป พวกเขาทั้งหมดต่างไม่กล้าเชื่อในสายตาของตนเอง ความแข็งแกร่งของฟางจิ้งเลวี่ยถือเป็นหนึ่งในอันดับต้น ๆ แต่ตอนนี้เขากลับไม่มีโอกาสที่จะต่อต้าน แล้วพวกเขาจะยอมรับสิ่งนี้ได้อย่างไร?
พวกเขาเป็นใคร?
พวกเขาเป็นศิษย์จากเขาวิญญาณนิรันดร์แห่งสรวงสวรรค์สงบเงียบ!
ไม่ว่าจะเป็นมรดกของนิกายหรือภูมิหลังของพวกเขา ล้วนแต่ไม่ธรรมดา อีกทั้งยังมีทรัพยากรและมีกองกำลังที่น่าหวาดหวั่นอยู่เบื้องหลัง
ในฐานะศิษย์กลุ่มแรกที่ปรากฏขึ้นในโลก พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นอัจฉริยะของนิกายที่มีการบ่มเพาะไม่ธรรมดาและครอบครองความแข็งแกร่งที่น่าตกตะลึง กระทั่งผู้อาวุโสของนิกายก็ได้คาดหวังกับศิษย์กลุ่มนี้ไว้อย่างมาก
ส่วนสิ่งที่พวกเขากังวลคือ สิบนิกายเซียนกับหกนิกายอสูรนั้นด้อยกว่าพวกเขามาก ดังนั้นความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งหมดย่อมเพียงพอที่จะกวาดล้างผู้บ่มเพาะรุ่นเดียวกันทั้งหมดในแดนภวังค์ทมิฬ และครองอำนาจสูงสุดเหนือผู้ใด!
ซึ่งความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง พวกเขาก็มีความสุขต่อการได้รับการปฏิบัติที่ให้เกียรตินี้เป็นที่สุด และฟางจิ้งเลวี่ยได้สอนบทเรียนอย่างดุเดือดให้แก่หนึ่งในศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองที่พูดจาเย่อหยิ่ง …ทั้งหมดนี้ทำให้ความมั่นใจของพวกเขาพลุ่งพล่านยิ่งกว่าเดิม
ทว่าพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าฟางจิ้งเลวี่ยจะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญหน้ากับเฉินซี!
มีเพียงใบหน้าขององค์หญิงไป๋หลี่ และผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ จากเขาวิญญาณนิรันดร์เท่านั้นที่สำรวมมั่นคง หากแต่ภายในแววตาที่เคร่งขรึมของพวกเขาซึ่งมองไปยังสังเวียนพินิจกระบี่ กลับไม่ได้สงบอย่างที่เห็นภายนอก!
…
พรวด!
บนสังเวียนพินิจกระบี่ ฟางจิ้งเลวี่ยกระอักเลือดออกมาคำโต ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง ในขณะที่มือขวาถูกบิดงอ และเสื้อผ้าของเจ้าตัวก็ถูกย้อมด้วยโลหิต จึงทำให้ตัวคนดูเหมือนเป็นคนละคนเมื่อเทียบกับความยโสที่เคยเป็นมาก่อนหน้า
การที่มือขวาของเขาถูกบดขยี้และตบหน้าฉาด ทำให้ศักดิ์ศรีของฟางจิ้งเลวี่ยเสียหาย และกระทั่งรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก
เขาโกรธแค้นจนแทบเป็นบ้า ทั้งที่ครอบครองกายาเบญจธาตุ มีศักยภาพที่จะกลายเป็นราชันผู้ไร้ใครเทียบได้ และพรสวรรค์ที่มีก็ไม่ธรรมดา เส้นทางการบ่มเพาะของเขาจนถึงตอนนี้ก็ราบรื่นราวกับสายลม แล้วเมื่อใดกันที่ชายหนุ่มจะเคยต้องมาทนทรมานกับความอัปยศอดสูเช่นนี้?
“บัดซบ! เจ้าสมควรตาย!!” ฟางจิ้งเลวี่ยคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว และลุกขึ้นยืนด้วยสภาพที่สะบักสะบอม จากนั้นเจ้าตัวก็คว้าจับอากาศตรงหน้า ทำให้เกิดเสียงหึ่ง ๆ ดังก้องออกมา ก่อนจะตามด้วยรอยแยกในอากาศ …ที่มีกระบี่โบราณอันเรียบง่ายปรากฏขึ้นจากภายใน
กระบี่เล่มนี้มีลักษณะตรงเหมือนไม้บรรทัด เรียบง่าย โบราณ และมีลวดลายต่าง ๆ มากมาย เช่น ลวดลายภูเขา แม่น้ำ พืช ดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ การศึกษา การทำไร่ และการตกปลา!
ทันทีที่จับกระบี่เล่มนี้ ท่าทางของฟางจิ้งเลวี่ยพลันเปลี่ยนไป เขากลายเป็นผู้สง่างามเหมือนดั่งจักรพรรดิโบราณที่จุติลงมายังโลก!
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือ มือขวาที่พิการของชายหนุ่มกลับหายเป็นปกติในพริบตา! ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายของเขายังแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิมถึงสองเท่า
“กระบี่เต๋าจักรพรรดินภา!”
“ศิษย์พี่ฟางเสียสติไปแล้ว! นั่นเป็นสมบัติอมตะที่แท้จริง กระบี่เต๋าที่ปราชญ์ในยุคบรรพกาล จักรพรรดินภาเหลือทิ้งไว้ มันแฝงมหาเต๋าแห่งปราชญ์ และปราณของจักรพรรดิเมื่อใช้มัน …การต่อสู้ในครั้งนี้คงจะไม่จบลงแน่ หากไม่มีใครสักคนเสียชีวิต!”
“ไม่จำเป็นต้องกังวล มีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีมากมายอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่มีอันตรายใด ๆ ต่อชีวิตของใคร อย่างมากที่สุด เฉินซีจะยอมรับความพ่ายแพ้และออกจากโถงพินิจกระบี่อย่างเชื่อฟัง”
ศิษย์ของเขาวิญญาณนิรันดร์พูดด้วยความตกใจเมื่อเห็นฟางจิ้งเลวี่ยชักกระบี่นี้ออกมา
กระบี่เต๋าจักรพรรดินภาเป็นสมบัติอมตะที่ถูกทิ้งไว้ตั้งแต่ยุคบรรพกาล ตามตำนานเล่าว่า มันคือกระบี่ของปราชญ์ในยุคบรรพกาลที่มีสมญานามว่า ‘จักรพรรดินภา’ และแม้ว่าวิญญาณศัสตราจะถูกทำลายไปแล้ว แต่อานุภาพของมันก็ยังทรงพลังเป็นพิเศษ และไม่ได้ด้อยกว่าสมบัติอมตะ
หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่า วิญญาณศัสตราของกระบี่เล่มนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดใหม่ ก็คงไม่มีทางที่กระบี่เล่มนี้จะตกไปอยู่ในมือของฟางจิ้งเลวี่ย ถึงอย่างไร พลังของสมบัติล้ำค่าดังกล่าว ก็สามารถดึงออกมาได้อย่างสมบูรณ์โดยผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้น
ในขณะที่บรรดาศิษย์ของเขาวิญญาณนิรันดร์ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก ศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองต่างเริ่มกังวล เพราะถึงอย่างไร พลังของกระบี่ในมือฟางจิ้งเลวี่ยนั้นยิ่งใหญ่และไม่ธรรมดา จนแม้แต่ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงยังตกใจ แล้วจะนับประสาอะไรกับฉางเล่อ หลงเจิ้นเป่ยและศิษย์คนอื่น ๆ
“ในจักรวาลอันงดงาม เมื่อปลายกระบี่ของข้ามาถึง แผ่นดินจะแยกออกจากกัน!” บนสังเวียนพินิจกระบี่ ฟางจิ้งเลวี่ยถือกระบี่เต๋าจักรพรรดินภาไว้ในมือ ในขณะที่บทสวดอันยิ่งใหญ่มากมายเปล่งออกมาจากลำคอ และมันก็น่าสะพรึงกลัว เมื่อพุ่งออกมาราวกับเสียงก้องกังวานของปราชญ์ที่กำลังให้การสั่งสอน ดั่งจักรพรรดิออกราชโองการบงการฟ้า!
การจ้องมองของฟางจิ้งเลวี่ยเหมือนสายฟ้าฟาด ท่าทางของเขาดูดุดันและสูงส่ง ขณะที่ฟันกระบี่ลงมา
ครืน!
แสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องลงมาราวกับห่าฝน ในขณะที่กระบี่แผ่ซ่านกลิ่นอายออกมามากมาย ทันใดนั้น เฉินซีพลันรู้สึกถึงพลังที่ปกคลุมฟ้าดินบนร่างกายของเขา ทว่าพลังนี้ไม่มีจิตสังหาร มันเพียงประกอบด้วยความกล้าหาญ ความเมตตา สติปัญญา และกลิ่นอายอื่น ๆ ของปราชญ์ ทำให้มันกว้างใหญ่และชอบธรรม
เฉินซีในขณะนี้รู้สึกราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับปราชญ์อย่างไรอย่างนั้น เพราะการโจมตีครั้งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายและเจตจำนงของปราชญ์!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันคือเต๋าแห่งปราชญ์ประเภทหนึ่ง! มันเป็นความลึกล้ำของมหาเต๋าที่มีแต่ปราชญ์เท่านั้นที่จะเชี่ยวชาญได้!
แต่ในขณะนี้ เขาไม่สามารถใส่ใจครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ เพราะความโกรธแค้นและจิตสังหารที่กักเก็บอยู่ในใจของชายหนุ่ม ทำให้ตัวเขาเริ่มกระสับกระส่ายมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นเขาจะมีเวลาไปสนใจเรื่องอื่นได้อย่างไร?
ชายหนุ่มพลันยื่นมือออกไปคว้าจับโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทำให้กระบี่สีแดงเลือดปรากฏขึ้นในมือของเฉินซี และทันทีคมกระบี่หมุนวน มันก็กวนทั้งหยินและหยางราวกับถูกพัดออกไปเหมือนกระแสน้ำวนที่เต็มไปด้วยดวงดาว!
ตู้ม!
ทันทีที่การโจมตีนี้พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า แม้แต่ฟ้าดินก็พลันหม่นหมอง ในขณะที่แสงสีเลือดพุ่งผ่านอากาศ และจิตสังหารที่หนาแน่นราวกับเลือดสาดกระเซ็นออกมา ก็ได้ก่อกำเนิดคลื่นแห่งความเศร้าโศกที่ดังกึกก้องจนสั่นสะเทือนโดยรอบ!
“เอ๊ะ! นั่นมัน…” องค์หญิงไป๋หลี่ดูจะเข้าใจอะไรบางอย่าง และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ามาในโถงพินิจกระบี่ที่สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย …ใบหน้าของนางในขณะนี้ได้เผยความประหลาดใจและงุนงงออกมาอย่างชัดเจน!
‘ดูเหมือนจะเป็น… น้ำตาของปราชญ์?’ ดวงตาของเลี่ยเผิงพลันส่องประกายเจิดจ้าดุจสายฟ้าฟาด ขณะที่จ้องไปยังกระบี่สีแดงเลือดในมือของเฉินซี โดยที่ใบหน้าของชายชราเองก็เผยความประหลาดใจและงุงงงออกมาเช่นเดียวกัน
ไม่ใช่แค่พวกเขา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างรู้สึกถึงความเศร้าโศกและความน่าสะพรึงกลัวจากกระบี่เล่มนี้ ด้วยมันแฝงไปด้วยเจตนาอันน่าเกรงขามที่จะพร้อมจะสังหารปราชญ์ทุกคนเพื่อยุติบาปทั้งมวล!
ตู้ม!
แสงเทวะอันสูงส่งและกลิ่นอายสีเลือดพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ในขณะที่ทั้งคู่ปะทะกัน และพวกมันก็ระเบิดแสงที่ไร้ขอบเขตออกมา!
โถงพินิจกระบี่ในเวลานี้พลันสั่นสะท้าน ในขณะที่เจตจำนงกระบี่ที่ไม่มีใครเทียบได้ปะทะกัน มันเหมือนกับปราชญ์กำลังเดือดดาล ซึ่งได้แผ่แรงกระตุ้นที่น่าตกใจอย่างมากออกมา และทำให้ทุกคนที่มาร่วมงานต้องเบิกตากว้าง เพราะพวกเขากลัวว่าจะพลาดรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
กระบี่เต๋าจักรพรรดินภากับกระบี่สีแดงเลือดปะทะกัน และพวกมันถูกใช้จนถึงขีดสุดโดยฟางจิ้งเลวี่ยและเฉินซี ความลึกล้ำของมหาเต๋าต่าง ๆ พุ่งทะยานไปมา ทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยง ๆ และโลกก็ตกอยู่ในความโกลาหล
หากไม่ใช่เพราะสังเวียนพินิจกระบี่สร้างจากผลึกมารดาทมิฬ รวมถึงค่ายกลภายในโถงแห่งนี้ …ป่านนี้ทั้งห้องโถงอาจถูกทำลายไปแล้วก็เป็นได้!
อานุภาพของมันน่ากลัวยิ่ง!
คนหนึ่งเป็นเหมือนการเกิดขึ้นของปราชญ์ การสืบเชื้อสายของกษัตริย์ ทุกหนทุกแห่งที่เจตจำนงกระบี่ผ่านไปต่างเต็มไปด้วยสติปัญญา ความเมตตา ความกล้าหาญ หรือปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่และยอดเยี่ยมอื่น ๆ อีกมากมาย ในขณะที่อีกคนกลับลุกโชนด้วยแสงสีเลือด ซึ่งมีจิตสังหารอันน่าเกรงขามและหนาแน่น ราวกับหมายจะเข่นฆ่าเทพเจ้าและสังหารปราชญ์ …ต้องการที่จะทำลายล้างปราชญ์ทั้งหมดในโลก!
ไม่ต้องพูดถึงการปะทะกันด้วยการบ่มเพาะของพวกเขา เพียงแค่การปะทะกันของกระบี่ทั้งสองเล่มนี้ มันก็ทำให้หัวใจของทุกคนในห้องโถงสั่นสะท้าน และคลื่นพายุที่ไม่อาจสงบได้ก็เกิดขึ้นในใจของพวกเขา
“ปราชญ์—สังหาร—ต้องห้าม—กระบี่!” แววตาขององค์หญิงไป๋หลี่เปลี่ยนไปมา และในที่สุด ริมฝีปากที่อวบอิ่มและอ่อนนุ่มของนางก็พ่นคำสองสามคำออกมาด้วยความยากลำบาก
ในเวลาเดียวกัน ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงก็จดจำกระบี่สีแดงเลือดในมือของเฉินซีได้เช่นกัน และร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ ขณะที่ชายชราพึมพำ “กระบี่เล่มนี้ไม่ใช่ว่าหายไปในอาณาจักรเร้นลับเงาทมิฬ พร้อมกับผู้อาวุโสจากเผ่าหยาจื้อเมื่อหมื่นปีก่อนหรือ?”
“กระบี่ต้องห้ามสังหารปราชญ์!”
ตามตำนานว่ากันว่า กระบี่นี้เคยสังหารนักปราชญ์นับไม่ถ้วนในยุคบรรพกาล ทำให้เลือดไหลนองพื้นและย้อมท้องฟ้าครามจนเป็นสีแดง ในเวลานั้น ฝนเลือดของเหล่าปราชญ์ได้ตกลงมาเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน ในขณะที่สิ่งมีชีวิตจำนวนมหาศาลสามารถได้ยินเสียงคลื่นเสียงโหยหวนอันน่าเศร้าของบรรดานักปราชญ์ ซึ่งได้สั่นสะเทือนยุคบรรพกาลของทั้งสามภพ!
ต่อมา กระบี่เล่มนี้ได้ถูกผนึกโดยตัวตนทรงพลังอันสูงส่งและไม่ปรากฏในโลกเป็นเวลานาน ในขณะที่การสังหารที่เกิดจากกระบี่นี้และพลังอันน่าสะพรึงกลัวของมันได้กลายเป็นข้อห้ามที่ทำให้ทุกคนหน้าซีดยามกล่าวถึงมัน
หลังจากนั้นไม่นาน กระบี่นี้ก็ได้ถูกพบโดยผู้อาวุโสของเผ่าหยาจื้อเมื่อหมื่นปีก่อน และมันได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลก เพราะมันกลายเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าหยาจื้อ แต่น่าเสียดายที่กระบี่เล่มนี้และผู้อาวุโสของเผ่าหยาจื้อได้หายไปในอาณาจักรเร้นลับเงาทมิฬพร้อม ๆ กัน ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนในโลก ต่างต้องถอนหายใจด้วยความเสียดายอย่างยิ่ง
ถึงกระนั้น กระบี่ต้องห้ามเล่มนี้ซึ่งถูกกล่าวถึงในตำนาน กลับปรากฏอยู่ในมือของเฉินซี ดังนั้นผู้อาวุโสเลี่ยเผิงจะไม่แปลกใจได้อย่างไร?
โครม!
ฟางจิ้งเลวี่ยซึ่งอยู่บนสังเวียนพินิจกระบี่ในเวลานี้ ดูราวกับถูกฟ้าผ่า ตัวคนถูกระเบิดจนปลิวกระเด็น กระบี่เต๋าจักรพรรดินภาที่อยู่ในมือของเขาส่งเสียงคร่ำครวญ ก่อนที่จะเจาะเข้าไปในมิติและหายไป
“เจ้า…เจ้า… กระบี่อันใดกันที่อยู่ในมือเจ้า!?” ฟางจิ้งเลวี่ยกระอักเลือดออกมา ใบหน้าซีดเซียว และร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวอย่างรุนแรง เนื่องจากไม่เคยนึกเลยว่า ตัวเขาจะไม่สามารถทำอะไรกับอีกฝ่ายได้ ทั้งที่ใช้กระบี่เต๋าจักรพรรดินภา!
ทว่าเฉินซีกลับไม่ตอบ ใบหน้าของชายหนุ่มเย็นชาและไม่แยแส เขาถือกระบี่สีแดงเลือดดั่งกษัตริย์ที่เดินผ่านกองเลือดและความมืด จากนั้นดวงตาของชายหนุ่มก็เปล่งประกายด้วยแสงสว่างจ้า ซึ่งเผยให้เห็นอักขระยันต์ที่อยู่ภายใน
ฟึ่บ!
ฟางจิ้งเลวี่ยรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ดวงตาของเขา ราวกับกระบี่ที่แหลมคมได้ทำลายพวกมันอย่างหนักหน่วง ทำให้ดวงตาไม่สามารถมองเห็นได้อีกต่อไป จนอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาอย่างน่าสมเพช “เจ้ากล้าทำลายดวงตาของข้าจริง ๆ ข้าจะฆ่าเจ้า! ข้าจะฆ่าเจ้า!” ฟางจิ้งเลวี่ยตกใจเป็นอย่างมาก เขาร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพช และเอามือปิดตาขณะที่ร้องโหยหวน
ทว่าเฉินซีกลับไม่แยแส ชายหนุ่มกล่าวเพียงไม่กี่คำ “ยอมรับความพ่ายแพ้… หรือตาย!”
คำพูดนี้มันช่างเยือกเย็นและอำมหิตยิ่งนัก!