บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 744 เจ้ามันไม่จำเป็น!
บทที่ 744 เจ้ามันไม่จำเป็น!
บทที่ 744 เจ้ามันไม่จำเป็น!
ณ โถงพินิจกระบี่
ทันทีที่ความลึกล้ำจากมหาเต๋านิรันดร์ของลู่ผิงปรากฏขึ้น มันก็ทำให้ทุกคนตกตะลึงในทันที
แม้แต่ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลแทนเฉินซีเล็กน้อย เพราะเขาสามารถบอกได้เลยว่าลู่ผิงผู้นี้ต้องเป็นตัวตนสำคัญในหมู่ศิษย์ของเขาวิญญาณนิรันดร์ และอีกฝ่ายอาจจะแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้อยู่ภายใต้คำสั่งขององค์หญิงไป๋หลี่!
คนประเภทนี้น่ากลัวและน่าเกรงขามกว่าฟางจิ้งเลวี่ยที่ครอบครองกายาเบญจธาตุเสียอีก!!
และพร้อมกับการลงมือของลู่ผิงบนสังเวียนพินิจกระบี่ ศิษย์ของเขาวิญญาณนิรันดร์ก็ราวกับได้กินยากระตุ้นเข้าไป ความมั่นใจเผยชัดบนใบหน้า ท่วงท่าดูผ่อนคลาย และถึงขั้นยืนกอดอกเย้ยหยันอย่างสบายอารมณ์!
ในเขาวิญญาณนิรันดร์ ลู่ผิงถือเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เข้าใจในความลึกล้ำของความเป็นนิรันดร์ และเขายังเป็นผู้ติดตามอันดับหนึ่งขององค์หญิงไป๋หลี่ที่ถูกพามายังโลกภายนอกอีกด้วย
ตามที่ผู้อาวุโสของเขาวิญญาณนิรันดร์กล่าวไว้ พรสวรรค์ของลู่ผิงนั้นนับว่าโดดเด่นที่สุดในบรรดาศิษย์จากสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่และหกนิกายอสูร นอกจากนั้นเขายังเป็นรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุด และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งพอจะกวาดล้างอัจฉริยะรุ่นเยาว์เกือบทั้งหมดในแดนภวังค์ทมิฬได้!
ไม่ว่าเฉินซีคนนี้จะน่าทึ่งมากแค่ไหน แต่เขาจะมาเทียบชั้นศิษย์พี่ลู่ผิงได้อย่างไร?
ดังนั้นสีหน้าของศิษย์จากเขาวิญญาณนิรันดร์จึงเต็มไปด้วยความมั่นใจและความคาดหวังต่อลู่ผิง
“มาเริ่มกันเถอะ” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดอย่างไม่ใส่ใจ
เวลาผ่านไปค่อนข้างนานแล้วตั้งแต่เขาเข้ามาในโถงพินิจกระบี่ และแม้ว่าจะไม่ได้กังวลเกี่ยวกับคนอื่น ๆ แต่ชายหนุ่มก็ยังคงกังวลว่าหลังจากได้ยินข่าวการกลับมาของเขา เยว่ฉือจะลงมือเคลื่อนไหว
ดังนั้นชายหนุ่มจึงตั้งใจจะยุติการต่อสู้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่จะออกจากโถงพินิจกระบี่ และพุ่งตรงกลับไปยังยอดเขาสัประยุทธ์!
ทว่าทันใดนั้นก็เกิดเสียงพึมพำดังก้องขึ้น พร้อมกับแสงสีทองนับไม่ถ้วนปรากฏออกมาจากนอกโถงพินิจกระบี่ จากนั้นเงาร่างเลือนรางพลันก้าวออกมาจากภายในรัศมีสีทองนั้น
“ความลึกล้ำของความเป็นนิรันดร์? ดีมาก! มีเพียงคู่ต่อสู้เช่นนี้เท่านั้นที่คู่ควรกับข้า เสิ่นหลางหยาผู้นี้” สิ้นเสียงกล่าว เงาร่างเลือนรางที่ว่าก็หายไป ก่อนจะขึ้นไปอยู่บนสังเวียนพินิจกระบี่
นี่คือชายหนุ่มที่หล่อเหลาอย่างยิ่ง เขามีผิวขาวผ่อง ตัดกับเสื้อคลุมนักพรตสีม่วงเข้ม ขณะที่บริเวณเอวคาดเข็มขัดชั้นดีซึ่งทำจากโลหะอ่อนที่ฝังด้วยไข่มุก ท่วงท่าที่สง่างาม ดวงตาที่กระจ่างใสราวกับรวบรวมรัศมีทั้งหมดของโลกเอาไว้ในตัวเองของคนผู้นี้ ทำให้กลิ่นอายของเขาประหนึ่งม่านหมอกไร้ตัวตนจนยากจะหยั่งรู้ได้!
“เสิ่นหลางหยา!”
“เป็นศิษย์พี่เสิ่นหลางหยาจริง ๆ!”
“เขาไม่ได้อยู่ระหว่างการปิดประตูบ่มเพาะหรือไร? เหตุใดเขาถึงมาปรากฏตัวเอาตอนนี้? เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาได้ยินข่าวเกี่ยวกับโถงพินิจกระบี่ จึงกระตุ้นความสนใจของเจ้าตัวให้มายังที่นี่?”
สายตาของฉางเล่อ หลงเจิ้นเป่ย ลั่วเชี่ยนหรงและคนอื่น ๆ ภายในห้องโถงต่างสว่างวาบ พวกเขาทั้งหมดจ้องมองไปยังร่างที่สูงส่งราวกับเซียนด้วยความชื่นชม
แม้แต่ผู้อาวุโสเลี่ยเผิง และผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเองก็ยังตกตะลึง เมื่อเห็นชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้ปรากฏตัวขึ้น จากนั้นพวกเขาก็พากันแสดงความประหลาดใจที่ดูยินดีออกมา
แท้จริงแล้ว คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเสิ่นหลางหยา ผู้เป็นที่รู้จักในฐานะศิษย์อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ ผู้มีโชคลาภอันยิ่งใหญ่และความตั้งใจอันแกร่งกล้าที่มักจะครองตำแหน่งอันดับหนึ่งในบรรดาศิษย์ชั้นยอดของยอดเขาจรัสเทวะ!
เขามาจากตระกูลเสิ่นอันเก่าแก่และยิ่งใหญ่
…และตลอดสามสิบปีที่ผ่านมาตั้งแต่เป็นศิษย์ชั้นยอดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ก็ไม่มีใครในเหล่าศิษย์ชั้นยอดที่สามารถสั่นคลอนตำแหน่งของคนผู้นี้ได้เลย ต่อหน้าเขา ศิษย์คนอื่น ๆ ล้วนถูกทิ้งให้อยู่ในเงา
เขาเป็นอัจฉริยะที่ไม่เหมือนใครเพียงผู้เดียวที่คู่ควรกับยอดเขาจรัสเทวะอย่างแท้จริง!
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มคนดังกล่าวปรากฏตัวในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้อย่างกะทันหัน ทุกคนจากเขาวิญญาณนิรันดร์ล้วนตกตะลึงและไม่พอใจเล็กน้อย แต่เมื่อพวกเขามองดูเสิ่นหลางหยาอย่างระมัดระวัง ความไม่พอใจบนใบหน้าของทุกคนก็ค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยความจริงจังแทน
แข็งแกร่งมาก!
นี่คือมุมมองทั่วไปของศิษย์จากเขาวิญญาณนิรันดร์
ดวงตากระจ่างชัดขององค์หญิงไป๋หลี่ที่จดจ่ออยู่ฉายแววประหลาดใจ ราวกับว่านางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นตัวตนเช่นนี้ในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง
ขณะที่ทางฝั่งเฉินซีขมวดคิ้ว แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรและเพียงเฝ้าดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ
“ข้ามาสาย เพราะข้าอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการปิดประตูบ่มเพาะ และในที่สุดข้าก็ฝ่าฟันจนได้ความแข็งแกร่งในการทวีพลังถึงเก้าเท่ามาแล้ว!” เสิ่นหลางหยาประสานมือคำนับกล่าวกับผู้อาวุโสเลี่ยเผิงและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ที่อยู่ห่างออกไป
น้ำเสียงที่ทุ้มและชัดเจน ทั้งยังมีเสน่ห์และความมั่นใจที่ไม่เหมือนใครของเขา ทำให้ผู้คนรู้สึกเชื่อถืออย่างไร้สาเหตุ
พลังการต่อสู้เก้าเท่า!
ฉางเล่อ หลงเจิ้นเป่ย ลั่วเชี่ยนหรงและคนอื่น ๆ ตกใจเป็นอย่างมาก เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ศิษย์พี่เสิ่นหลางหยาก็ทะลวงผ่านได้อีกครั้งแล้วอย่างนั้นหรือ?
แม้แต่สีหน้าขององค์หญิงไป๋หลี่กับคนอื่น ๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ถึงเก้าเท่า ด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ เขาอยู่ห่างจากการเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาระดับสูงอีกแค่ก้าวเดียว!
ระดับสูงที่หมายความว่าไม่มีใครเทียบได้ในหมู่ผู้บ่มเพาะระดับเดียวกัน!
แม้แต่ในเขาวิญญาณนิรันดร์ คนที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่สูงที่สุดแล้ว…
“ดี ดี ดี! เสิ่นหลางหยา ในที่สุดเจ้าก็ทะลวงผ่าน! ยินดีด้วย! ข้าจะแจ้งให้ประมุขนิกายทราบทันที เมื่อเราเสร็จเรื่องนี้แล้ว เราจะมอบรางวัลมากมายให้แก่เจ้าแน่นอน!” ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงลูบเคราในขณะที่เขายิ้มด้วยความยินดี
ขณะที่เสิ่นหลางหยายิ้มเบา ๆ ด้วยสีหน้าไร้กังวล และในอึดใจต่อมา สายตาของเจ้าตัวพลันมองข้ามหัวเฉินซี ตรงไปยังลู่ผิงที่ยืนอยู่อีกฝั่ง “ข้าจะเป็นคู่มือในรอบนี้ให้เอง!”
ทว่าท่าทางของเฉินซีกลับยังคงสงบนิ่งไร้การเปลี่ยนแปลง…
สิ่งนี้ทำให้เสิ่นหลางหยาตะลึงไปเล็กน้อย ร่องรอยความไม่พอใจฉายอยู่ในแววตา เขาส่ายหัวก่อนจะจับจ้องไปที่ชายหนุ่มชัด ๆ และพูดอย่างเฉยเมย “ศิษย์น้องเฉินซี เจ้าถอยกลับไปเสีย ปล่อยให้ข้าจัดการต่อเอง”
แม้ว่าน้ำเสียงจะสงบ แต่ก็เผยความรู้สึกที่ไม่ยินยอมให้ขัดขืน ราวกับเป็นการออกคำสั่งที่ดูสบาย ๆ เหมือนรุ่นพี่สั่งรุ่นน้อง
แต่เฉินซีกลับขมวดคิ้วแล้วกล่าว “ข้าคิดว่าการปรากฏตัวของเจ้ามันไม่จำเป็น”
เสิ่นหลางหยาไม่สามารถยับยั้งความโกรธที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจของเขาได้อีก ก่อนที่จะมายังโถงพินิจกระบี่นี้ เขาเลือกที่จะปิดประตูบ่มเพาะ และไม่แม้แต่จะฟังคำสั่งเรียกของผู้อาวุโสเลี่ยเผิง รวมถึงไม่คิดเห็นแก่เกียรติของนิกายแม้แต่น้อย
สิ่งนี้ทำให้ศิษย์คนอื่น ๆ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมองหาเฉินซี และวิงวอนให้ชายหนุ่มมา ‘ประลอง’ กับศิษย์ของเขาวิญญาณนิรันดร์เหล่านี้
หากเป็นเวลาปกติ เขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้และไม่โต้เถียงกับอีกฝ่าย แต่ตอนนี้ที่เขาตั้งใจจะยุติการต่อสู้อย่างรวดเร็วและจากไป เสิ่นหลางหยากลับปรากฏตัวขึ้นและขัดขวางสถานการณ์โดยไม่สนใจเขาเลย ทั้งยังมาออกคำสั่งอีก… ซึ่งมันนับว่ามากเกินไป!!
แม้แต่คนที่อารมณ์ดีที่สุดก็ยังมีช่วงเวลาแห่งความโกรธเกรี้ยว นับประสาอะไรกับเฉินซีที่กำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มีหลายสิ่งหลายอย่างที่กวนใจเขา ทำให้ไฟแห่งความโกรธแค้นและจิตสังหารคุกรุ่นอยู่ในใจมาสักพักใหญ่แล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่คิดที่จะพูดสุภาพเลยแม้แต่น้อย!
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา ทุกคนในห้องโถงก็ตกตะลึง พวกเขาไม่กล้าเชื่อเลยว่าเฉินซีจะกล้าพูดแบบนี้กับเสิ่นหลางหยา!
ถึงอย่างไร สถานะของเสิ่นหลางหยาในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองนั้นก็ยังนับว่าสูงและเป็นที่เคารพกว่าผู้อาวุโสบางคน อีกทั้งคนผู้นี้ยังเป็นคนที่หยิ่งยโสยิ่ง และแม้ว่าเขาจะแทบไม่ได้ติดต่อกับศิษย์รุ่นเดียวกัน แต่ตราบใดที่เอ่ยปาก ก็ยังคงไม่มีใครกล้าต่อต้านเขา
นี่คือความยิ่งใหญ่ของการเป็นศิษย์ชั้นยอดอันดับหนึ่งของยอดเขาจรัสเทวะ!
ไม่ต้องพูดถึงฉางเล่อ หลงเจิ้นเป่ย ลั่วเชี่ยนหรง และคนอื่น ๆ แม้แต่ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงและเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี ก็ยังต้องแสดงท่าทางที่ดูยินดีเมื่อพวกเขาได้พูดคุยกับเสิ่นหลางหยา และกระทั่งพยายามตอบสนองความปรารถนาของอีกฝ่าย
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม คำพูดเหล่านั้นของเฉินซีจึงทำให้เกิดปฏิกิริยาครั้งใหญ่ขึ้น
เสิ่นหลางหยาเองก็ตกตะลึงด้วยเหตุผลเดียวกัน ทว่าเขายังคงแสดงสีหน้าเฉยเมยขณะที่พูดว่า “ศิษย์น้องเฉินซี อย่ากดดันตัวเองเลย ศิษย์ที่โดดเด่นของเขาวิญญาณนิรันดร์ผู้นี้ได้เข้าใจถึงความลึกล้ำของความเป็นนิรันดร์ เขาไม่ใช่คนที่เจ้าจะรับมือได้ มีเพียงข้าเท่านั้นที่คู่ควรจะท้าทายเขา”
“เฉินซี มาทางนี้เถิด ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของเสิ่นหลางหยาเถอะ” ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงและผู้อาวุโสระดับสูงคนอื่น ๆ ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองรีบพูดกับเฉินซี
เสิ่นหลางหยายิ้มบาง ๆ และไม่สนใจผู้เป็นศิษย์น้องอีกต่อไป ก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองลู่ผิง “งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีหรือไม่?”
“ศิษย์พี่ลู่ผิง ในเมื่อเขากระหายการต่อสู้นัก เจ้าก็ทำให้เขาสมหวังเถอะ!”
เมื่อเห็นเสิ่นหลางหยาทำตัวราวกับว่าสามารถเอาชนะลู่ผิงได้อย่างแน่นอน องค์หญิงไป๋หลี่ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธเล็กน้อย ก่อนนางจะกล่าวสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ลู่ผิงรับคำสั่งขององค์หญิง ทันใดนั้นเขาพลันกระโจนขึ้น เผยการเคลื่อนไหวอันเฉียบคม และในเวลาเดียวกัน กระบี่เล่มหนึ่งได้ปรากฏขึ้นในมือของลู่ผิงก่อนที่ตัวคนจะฟันลงมา
โอม!
เสียงคำรามของกระบี่ที่ฟังดูเหมือนเสียงคำรามของมังกรดังก้องออกมา ภายใต้การฟาดฟันของกระบี่เล่มนี้ ความแวววาวใสบริสุทธิ์พลันพร่างพรายและเปล่งประกายขึ้นทุกหนทุกแห่ง พวกมันปล่อยรัศมีอันเป็นนิรันดร์ที่หนาแน่นอย่างไม่มีใครเทียบได้ออกมา ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสั่นคลอน ทำลาย หรือลบเลือน …ดุจดั่งความเป็นนิรันดร์!
“มันคือคัมภีร์กระบี่นิรันดร์! ศาสตร์เต๋าสูงสุดที่สืบทอดกันมาของเขาวิญญาณนิรันดร์ เจตจำนงกระบี่ของมันเปรียบเสมือนกระแสน้ำที่ไม่มีที่สิ้นสุด ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘กระบี่นิรันดร์เฉกเช่นสวรรค์และปฐพี’!” ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงและเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองตะโกนขึ้นด้วยความตกใจ
“กระบี่สุญญากาศ!”
ดวงตาของเสิ่นหลางหยาผู้อยู่ในภาวะเปี่ยมจิตวิญญาณ พลันทอประกายแสงเย็นวาบ กระบี่ของเขาถูกชักออกจากฝัก พร้อมเผยความโกลาหล เตรียมพุ่งเข้าใส่ลู่ผิงเพื่อเริ่มการต่อสู้ที่ดุเดือด!
“ข้าบอกแล้วว่าการปรากฏตัวของเจ้ามันไม่จำเป็น เจ้าก็ยังยืนกรานปฏิเสธที่จะตระหนักถึงข้อผิดพลาดของเจ้าอยู่อีกหรือ? …ถอยไป!”
ทว่าทันทีที่เขาเพิ่งชักกระบี่ออกจากฝัก เสิ่นหลางหยากลับได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้น
หลังจากนั้น สนามพลังอันไร้ขอบเขตพลันพุ่งเข้ามาหาเสิ่นหลางหยา กระแทกอีกฝ่ายจนถอยร่นไป กระทั่งถูกผลักออกจากสังเวียน โดยไม่มีแม้แต่โอกาสให้เจ้าตัวได้ฟันกระบี่ออกไปเลยสักครา!
“นี่มันพลังอันใดกัน!?” เสิ่นหลางหยาตกใจจนไม่อยากจะเชื่อ ว่าด้วยความแข็งแกร่งของตน เขาจะถูกสวนกลับด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ทั้งยังถูกบีบให้ออกจากสังเวียนโดยตรง!
จนตัวเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะใช้กระบี่ด้วยซ้ำ!
เป็นไปได้อย่างไร…?
ถึงอย่างไร ด้วยระดับการบ่มเพาะของเสิ่นหลางหยา เมื่อชักกระบี่ออกมา แม้มันจะไม่อาจเทียบเท่ากับความเร็วของการเคลื่อนย้ายผ่านมิติได้ ทว่ามันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันมากนัก แต่ตอนนี้เสิ่นหลางหยากลับถูกขัดขวางก่อนที่จะทันได้โจมตีออกไป!
และก่อนจะทันได้ตอบโต้สิ่งใด เสิ่นหลางหยาพลันได้เห็นฉากหนึ่งที่เขาจะไม่มีวันลืมไปอีกนาน!
ร่างกายของเฉินซีราวกับได้กลายเป็นทะเลแห่งอักขระยันต์ ทั่วทั้งร่างกายของชายหนุ่มเปล่งแสงลุกโชนสว่างไสว ในขณะที่ความลึกล้ำของมหาเต๋าไหลวนเหมือนกระแสน้ำอยู่รอบ ๆ ตัว และเพียงการสะบัดแขนเสื้อครั้งเดียว เฉินซีก็ส่งเสิ่นหลางหยาออกไป ก่อนที่ตัวเขาจะหันหลังกลับและหายตัวไปในพริบตา!
ชั่วขณะนั้น ชายหนุ่มได้ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่สีแดงเลือดในมือ พร้อมอักขระยันต์สังหารนับไม่ถ้วนที่แผ่พุ่ง เข้าเผชิญหน้ากับกระบี่นิรันดร์ แล้วฟาดฟันปะทะกับการโจมตีของลู่ผิงด้วยกระบี่เดียว!
เคร้ง!
ทันทีที่กระบี่นิรันดร์สัมผัสกับอักขระยันต์สังหารของเฉินซี มันก็พังทลายลงก่อนจะสลายไปอย่างไร้ร่องรอย พร้อมกับกลิ่นอาย ‘นิรันดร์’ ของมัน!
“อย่างที่ข้ากล่าวไปว่าข้ายุ่งมาก ลู่ผิง คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้าและข้าจะใช้พละกำลังทั้งหมดเพื่อยุติการต่อสู้นี้ให้เร็วที่สุด!” ร่างของเฉินซีทอแสงวาบ พุ่งทะลุผ่านอากาศดุจกระสวย ขณะที่เจตจำนงกระบี่ของเขาก่อตัวขึ้นจากอักขระยันต์ ซึ่งพัดไปทั่วทุกทิศดั่งพายุ!
ครืน!
อักขระยันต์หลายร้อยล้านตัวเป็นราวกับกระแสน้ำหลากพวยพุ่งออกมาจากจักรวาล ซึ่งแฝงไว้ด้วยความลึกล้ำของมหาเต๋ามากมาย เจตจำนงกระบี่ของชายหนุ่มเองก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่แสงสีเลือดซึ่งเปล่งออกมาจากกระบี่ของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์สีเลือดขนาดใหญ่
โครม!
ร่างกายของลู่ผิงสั่นสะท้าน เขารู้สึกถึงพลังที่น่าสะพรึงกลัวกำลังกดทับลงมา ทำให้ปราณแท้ในร่างกายราวกับถูกขัดขวาง!
แม้ลู่ผิงจะผ่านประสบการณ์การต่อสู้นองเลือดมานับครั้งไม่ถ้วน จึงไม่ใช่คนที่ฟางจิ้งเลวี่ยจะสามารถเปรียบเทียบได้ แต่เขาก็ไม่เคยเจอแรงกดดันที่น่ากลัวขนาดนี้เมื่อต้องสู้กับคนรุ่นเดียวกันมาก่อน!
ภายในเสี้ยวอึดใจ สีหน้าของคนที่สงบเสงี่ยมมาตลอดอย่างลู่ผิงก็ยังต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างช่วยไม่ได้!