บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 760 ความโกรธเกรี้ยวของเซียนสวรรค์
บทที่ 760 ความโกรธเกรี้ยวของเซียนสวรรค์
บทที่ 760 ความโกรธเกรี้ยวของเซียนสวรรค์
ดวงตาของปิงซื่อเทียนนั้นคมปลาบและเปล่งประกายขณะแผ่กลิ่นอายบางอย่างออกมา ทำให้แลดูลึกลับไร้ตัวตน
โดยขณะนี้ เขากำลังมองดูร่างที่คุ้นเคยอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่หัวใจยังคงสงบนิ่ง เจ้าตัวก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต…
ครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกันคือในสมรภูมิบรรพกาล และเฉินซีผู้นี้ก็บ่มเพาะอยู่ในขอบเขตจุติเท่านั้น แต่อีกฝ่ายกลับแสดงพลังที่ไม่ธรรมดา ซึ่งดึงดูดความสนใจของเขาได้
ครั้งที่สองที่พวกเขาพบกันคือ ในอาณาจักรเร้นลับเงาทมิฬ ในเวลานั้น เฉินซีได้เติบโตขึ้นเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาที่น่าเกรงขาม มันเป็นการเผชิญหน้ากันโดยบังเอิญ และแดนฮุ่นตุ้นของชายหนุ่มก็ถูกทำลายโดยปิงซื่อเทียน ทำให้เฉินซีได้รับบาดเจ็บสาหัสใกล้ตาย อีกทั้งยังแทบหายลับไปจากโลก
เมื่อพวกเขาได้พบกันอีกครั้งในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองตอนนี้ …เฉินซีได้กลายเป็นอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก เป็นบุคคลที่แทบไร้เทียมทานในหมู่คนรุ่นเดียวกัน!
เรื่องราวทั้งหมดนี้ทำให้ปิงซื่อเทียนถอนหายใจออกมา ด้วยรู้สึกว่าเฉินซีผู้นี้คล้ายแมลงสาบหนังเหนียวที่ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตายเสียที ยิ่งประสบกับความพ่ายแพ้มากเท่าใด อีกฝ่ายยิ่งกลายเป็นผู้แข็งแกร่งห้าวหาญมากขึ้นเท่านั้น!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่เฉินซีสามารถสร้างแดนฮุ่นตุ้นขึ้นมาใหม่และฟื้นฟูการบ่มเพาะ …เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้อย่างยิ่ง เพราะเขารู้ดีว่า แม้กระทั่งเซียนปฐพีก็ยังต้องพินาศภายใต้การโจมตีอย่างเต็มกำลังจากตัวเขา แต่เฉินซีกลับรอดชีวิต อีกทั้งยังสามารถฟื้นฟูการบ่มเพาะจากสภาพที่พิการได้ …นี่จึงเป็นเรื่องปาฏิหาริย์!
แต่สิ่งเหล่านี้มิอาจจะรบกวนจิตใจของปิงซื่อเทียนได้ เพราะในสายตาของเขา เฉินซียังคงต่ำต้อยดุจมดตัวเล็ก ๆ และไม่ว่าชายหนุ่มจะดื้อรั้นสักแค่ไหน มันก็ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างพวกเขา ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะ!
…ในขณะที่ปิงซื่อเทียนกำลังถอนหายใจพลางคิดต่าง ๆ นานาในหัว เฉินซีเองก็กำลังครุ่นคิดอยู่ในใจหลายเรื่องเช่นกัน
เขาจำได้ชัดเจนว่า หากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือจากหม้อใบจิ๋วเมื่อครั้งอยู่ในสมรภูมิบรรพกาล ปิงซื่อเทียนคงตายด้วยน้ำมือของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้งสี่คนไปนานแล้ว
และชายหนุ่มยังจำการเดิมพันระหว่างตัวเขากับปิงซื่อเทียนได้เช่นกัน ซึ่งเดิมทีเฉินซีคิดว่า ด้วยเอกลักษณ์ในฐานะเซียนสวรรค์ของปิงซื่อเทียน อีกฝ่ายจะไม่มีทางฝ่าฝืนกฎโดยพลการ ก่อนที่ผลการเดิมพันจะถูกตัดสิน
ทว่าหลังจากผ่านประสบการณ์มามากมาย ในที่สุดเขาก็เข้าใจทุกอย่างว่า แม้คนบางคนจะกลายเป็นเซียนสวรรค์และอยู่ในภพอื่น ทว่าสันดานของพวกเขาก็ยากจะเปลี่ยนแปลง ความน่ารังเกียจและความไร้ยางอายในกระดูกดำของพวกเขาจะไม่ลดลงแม้แต่น้อย!!!
ดั่งสุนัขที่ไม่สามารถเปลี่ยนวิธีการเห่าได้
อันที่จริง เฉินซีก็ใคร่รู้มากว่า คนที่น่ารังเกียจและไร้ยางอายเช่นปิงซื่อเทียนนั้นได้รับการบ่มเพาะจนกลายเป็นเซียนสวรรค์ได้อย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาโชคดี?
ขณะนั้นเอง จู่ ๆ ปิงซื่อเทียนก็พูดโพล่งขึ้นมา “ข้าขอถามสหายเต๋าเวินได้หรือไม่ว่า ผู้เป็นศิษย์มีสิทธิ์ที่จะกล่าวที่นี่ด้วยหรือ? เขาดูจะไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกระมัง”
แม้ว่าเขาจะจ้องมองที่เฉินซี แต่กลับกำลังกล่าวต่อเวินหัวถิง และตั้งแต่ต้นจนจบ ปิงซื่อเทียนก็แสดงท่าทางที่เหนือกว่า กระทั่งปฏิบัติต่อเฉินซีเหมือนเป็นผู้ด้อยกว่า
เฉินซีหัวเราะ ก่อนเป็นฝ่ายแย้งขึ้นแทน “นี่คืออาณาเขตของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้า ในขณะที่ท่านเป็นแขกจากแดนไกล ดังนั้นการถามเจ้าบ้านเช่นนี้ มันไม่ใช่เป็นการกระทำที่เข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นหรอกหรือ?”
นี่มันคือการเผชิญหน้า!
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทุกคนรวมถึงเวินหัวถิงที่อยู่ภายในห้องโถง ต่างก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์นี้ พวกเขาทำทีเป็นเมินเฉยต่อมันโดยสิ้นเชิง
ในขณะเดียวกัน ปิงซื่อเทียนก็ตกตะลึงอย่างมาก เมื่อเขารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศได้อย่างชัดเจน จากนั้นเจ้าก็ครุ่นคิดสั้น ๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ และกล่าวว่า “ไม่เลว เราไม่ได้พบกันเพียงไม่กี่เดือน นึกไม่ถึงว่าความกล้าหาญของพวกเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่น่าเสียดาย คนไร้ค่าก็ยังคงเป็นคนไร้ค่า และรู้จักแต่ยั่วยุด้วยวาจาเท่านั้น”
เขาไม่ใส่ใจที่จะปกปิดอีกต่อไป ถึงอย่างไร ทุกคนในห้องโถงล้วนรับรู้ถึงความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างตัวเขากับเฉินซีอย่างชัดเจน ดังนั้นการปกปิดมากเกินไปจะทำให้ดูเสแสร้งเอาได้ ด้วยเหตุนี้ คงเป็นการดีกว่าที่จะตรงไปตรงมา แล้วใช้สถานการณ์กับอำนาจที่มีเพื่อสยบมดตัวนี้ให้รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร
ทันทีที่ปิงซื่อเทียนกล่าว วาจาที่หลุดออกไปก็เผยให้เห็นความหยิ่งยโสและดูถูกเหยียดหยาม กระทั่งแผ่กลิ่นอายอันทรงพลังของขอบเขตเซียนสวรรค์ออกมา
ทว่าเฉินซีกลับตรงไปตรงมายิ่งกว่า “ข้าแค่อยากรู้ว่า นอกจากกล่าววาจาแล้ว ตอนนี้เจ้ายังกล้าที่จะทำสิ่งใดอีกหรือไม่?”
ปิงซื่อเทียนหัวเราะเบา ๆ “สุดท้ายก็กลับสู่ความรุนแรงป่าเถื่อนในไม่กี่คำ เฉินซี การแสดงออกของเจ้าทำให้ข้าผิดหวังเล็กน้อย แต่เนื่องจากเรากำลังกล่าวถึงเรื่องนี้ …เจ้าคิดว่าฐานะของเจ้าสมควรที่ข้าจะต้องลงมือกับเจ้าด้วยหรือ?”
ทว่าชายหนุ่มกลับเริ่มหัวเราะเช่นกัน “แน่นอนว่าเจ้าคงไม่กล้าลงมืออย่างเปิดเผย ส่วนสิ่งที่เจ้ากระทำในที่ลับ ตัวเจ้าก็น่าจะรู้ดี”
เวินหัวถิงและคนอื่น ๆ กำลังมองดูอย่างเย็นชาจากด้านข้าง ในขณะที่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราว พวกเขากลับสรรเสริญอยู่ในใจแทน …ความกล้าหาญของเฉินซีคนนี้ยามเผชิญหน้ากับเซียนสวรรค์ ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบได้เลย!
ท้ายที่สุดแล้ว จะมีผู้ใดที่ไม่แสดงความเคารพนับถือ และตัวสั่นเทาด้วยความกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับผู้เป็นเซียนสวรรค์?
ศิษย์ที่กล้าโต้เถียงกับปิงซื่อเทียนอย่างเฉินซี และตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่แม้จะแสดงความหวาดกลัวออกมาเพียงนิด …คนเช่นนี้ถือว่าหาได้ยากอย่างแท้จริง
แน่นอนว่า พวกเขาล้วนทราบอย่างชัดเจนว่า ที่เฉินซีกล้าทำเช่นนี้ เพราะพวกเขาทั้งหมดอยู่ที่นี่ด้วย และชายหนุ่มกำลัง ‘ใช้สถานการณ์’ เพื่อดำเนินการ แต่ยิ่งเฉินซีทำแบบนี้ พวกเขาก็ยิ่งชื่นชมชายหนุ่มมากขึ้นเท่านั้น
รู้จักหักห้ามใจ ไม่ผลีผลาม รู้จักพลิกแพลงสถานการณ์และใช้ประโยชน์ต่าง ๆ …สิ่งนี้ทำให้ผู้อาวุโสของนิกายทุกคนล้วนมีความสุข
เมื่อต้องเผชิญกับคำพูดที่มีแววเยาะเย้ยของเฉินซี ปิงซื่อเทียนกลับไม่ได้ใส่ใจ เขาเพียงกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “วันนี้ข้าเป็นแขก ดังนั้นข้าจะไม่ถือสาเรื่องนี้กับเจ้า แต่ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่รู้สถานะปัจจุบันของศิษย์พี่ชิง”
ก่อนที่เฉินซีจะทันได้กล่าว เจ้าตัวก็กล่าวต่อว่า “ปัจจุบัน ศิษย์พี่ชิงได้หลอมรวมกับกรรมในชาติก่อนของนางแล้ว ภายใต้ความช่วยเหลือจากตัวตนผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ และก็อยู่ในระหว่างการปิดด่านบ่มเพาะ นางจะสามารถฟื้นคืนความทรงจำของนางได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อนางออกจากการปิดด่านบ่มเพาะ”
ขณะที่กล่าว เขาก็มองไปที่เฉินซี “แน่นอน มีข่าวสำคัญมากที่ข้าลืมบอกเจ้าคือ เมื่อศิษย์พี่ชิงฟื้นความทรงจำของนางแล้ว เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายจะหมั้นหมายนางกับข้า แม้เราจะไม่ได้เป็นคู่บำเพ็ญอย่างเป็นทางการ แต่ข้าคิดว่าศิษย์พี่ชิงจะไม่ปฏิเสธแน่”
เวินหัวถิงและคนอื่น ๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นก็มองไปยังเฉินซีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล เพราะพวกเขาต่างกังวลว่าเฉินซีอาจจะร้อนรน หรือไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนได้
ทว่าพวกเขากลับต้องประหลาดใจ เพราะใบหน้าของชายหนุ่มยังคงไม่เปลี่ยนแปลง มันทั้งเฉยเมยและสงบนิ่ง ไม่ได้เผยความรู้สึกใดออกมา
เมื่อเผชิญกับการยั่วยุของปิงซื่อเทียน ชายหนุ่มกลับนิ่งเงียบเป็นเวลานาน ก่อนจะกล่าวเพียงประโยคเดียวว่า “ข้ามีลูกกับซิ่วอี้”
ประโยคนี้ถือว่ากะทันหันและไร้มารยาทยิ่งนัก แต่มันส่งผลกระทบโดยตรง ทำให้ทุกคนในห้องโถงต่างตกตะลึง จากนั้นรอยยิ้มที่มองไม่เห็นพลันปรากฏขึ้นที่มุมปากของพวกเขา
เรื่องนี้เป็นปมในใจของปิงซื่อเทียนอย่างแน่นอน แม้ว่าอีกฝ่ายจะสามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างชำนาญ แต่มุมปากของปิงซื่อเทียนก็ยังกระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อได้ยินเฉินซีกล่าวคำนี้ออกมา
หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ส่ายศีรษะและหัวเราะออกมา “เฉินซี เจ้าอาจยังไม่เข้าใจว่าศิษย์พี่ชิงเป็นคนแบบไหนในอดีต เมื่อชาติที่แล้ว นางถูกนิกายพาตัวไปตั้งแต่ยังเด็ก และนางมักจะยึดถือว่านิกายเป็นบ้าน ส่วนผู้อาวุโสของนิกายก็เป็นดั่งญาติของนาง นางจึงเชื่อฟังทุกคำพูดของศิษย์พี่และไม่เคยต่อต้านพวกเขา”
ทว่าเฉินซีกลับยังคงกล่าวต่อไปว่า “ลูกของเราชื่อเฉินอัน พอมาคิดดูตอนนี้เขาน่าจะโตเป็นบุรุษแล้ว ในฐานะบิดา ข้ารู้สึกผิดมาตลอดที่ไม่ได้อยู่เคียงข้างเขา แต่ข้าเชื่อมั่นเสมอว่า เขาจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง เพราะเขาอยู่เคียงข้างซิ่วอี้มาตั้งแต่เด็ก และซิ่วอี้ก็สอนเขาหลายสิ่งหลายอย่าง ดังนั้นเขาจึงว่านอนสอนง่ายตั้งแต่อายุยังน้อย และนิสัยของเขาก็เหมือนกับซิ่วอี้ เขาเรียนรู้วิธีการสงบสติอารมณ์ตั้งแต่ยังเด็ก…”
คำพูดของชายหนุ่มไม่ได้กล่าวในลักษณะเผชิญหน้า แต่กล่าวออกมาด้วยความรู้สึกในเบื้องลึก …ยิ่งกว่านั้น ความรู้สึกที่เฉินซีเปิดเผยออกมายังดูจริงใจอย่างมาก!
คำพูดเหล่านี้ดูจะกะทันหันยิ่งและไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่กล่าวก่อนหน้านี้เลย ทำให้ดูเหมือนเฉินซีกำลังพึมพำกับตัวเอง
แต่เมื่อคำพูดเหล่านี้กระทบหูของปิงซื่อเทียน มันกลับบาดลึกและทำให้มุมปากของเจ้าตัวไม่สามารถควบคุมได้อีก ในขณะที่คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน “ไอ้สารเลวนี่ เจ้าอย่ากล่าวถึงเจ้าลิงนั่นได้หรือไม่!?”
แม้ว่าในขณะนี้ปิงซื่อเทียนจะบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าและอยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธและเกลียดชัง จึงขัดจังหวะเฉินซีในทันควัน “ข้าไม่ได้สนใจว่าบุตรชายของเจ้าเป็นคนเช่นไร ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าจากเจ้าฝ่ายเดียว และเจ้าอาจไม่มีบุตรชายจริง ๆ ก็ได้”
เฉินซีหัวเราะออกมา ก่อนจะกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ ข้าก็จะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน ข้าก็ไม่สนใจเหมือนกันว่า ความคิดของผู้อาวุโสในนิกายของเจ้าเป็นอย่างไร และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงเรื่องเล่าจากเจ้าฝ่ายเดียวเช่นกัน ดังนั้นใครจะบอกได้ว่าจริงหรือเท็จ?”
ดวงตาของปิงซื่อเทียนหรี่ลง ในขณะที่เขาจดจ้องเฉินซีเป็นเวลานาน จากนั้นเจ้าตัวก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ประเสริฐ ประเสริฐมาก”
เฉินซีกล่าวว่า “เช่นกัน เช่นกัน”
ทว่าอีกฝ่ายกลับโพล่งขึ้นมาว่า “หรือเจ้าไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าในตอนนี้?”
ที่เขามีความมั่นใจเช่นนี้ เพราะปิงซื่อเทียนมาจากภพเซียนและมั่นใจอย่างมากต่อพลังที่มี แม้ว่าอาจจะต้องเป็นศัตรูกับนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง แต่เหตุใดตัวเขาถึงต้องสนใจว่าเรื่องนั้นจะเกิดขึ้นด้วย?
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป บรรยากาศในห้องโถงก็พลันบีบคั้นและมาคุทันที หัวใจของทุกคนต่างสั่นสะท้าน ด้วยพวกเขารู้สึกรำคาญกับความเย่อหยิ่งของปิงซื่อเทียน!
ในแดนภวังค์ทมิฬ มีเพียงปิงซื่อเทียนเท่านั้นที่กล้าจะกล่าวเรื่องสังหารคนในอาณาเขตของผู้อื่น
ทว่าใบหน้าของเฉินซีกลับยังสงบเหมือนเช่นเคย และคำพูดของเขาก็ตรงไปตรงมายิ่ง “ถ้าเจ้ากล้าลงมือ เจ้าก็คงไม่กล่าววาจาไร้สาระให้มากความเช่นนี้”
“ไอ้บัดซบนี่กล้าหาว่าข้ากล่าววาจาไร้สาระจริง ๆ…”
มุมปากของปิงซื่อเทียนพลันกระตุกอีกครา กระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามุมปากของเขากระตุกไปแล้วกี่ครั้งในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็หยิบจอกสุราบนโต๊ะขึ้นมาและดื่มจนหมดในรวดเดียว “ข้าแทบอดทนรอเส้นตายของการเดิมพันระหว่างเราไม่ไหวแล้ว”
เฉินซีเองก็กระดกสุราบนโต๊ะตรงหน้าเช่นเดียวกัน แต่ชายหนุ่มไม่ได้วางจอกลง “ข้าก็แทบรอไม่ไหวแล้ว รินสุราให้ข้าที” ครึ่งแรกของสิ่งที่เขากล่าวคือคำตอบของปิงซื่อเทียน และครึ่งหลังบอกกล่าวกับเสวี่ยเหยียน
หลังจากนั้น ท่ามกลางสายตาแปลกประหลาดของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น เสวี่ยเหยียนพลันก้าวไปข้างหน้า ก่อนที่มือขาวของนางจะถือเหยือกสุราและรินสุราให้แก่เฉินซี จากนั้นนางก็เดินกลับไปที่เดิมที่นางเคยยืนอยู่
นางไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการก้มหน้าลงแทบเท้า ฟันขาวของหญิงสาวขบแน่น และใบหน้างดงามของนางก็เปลี่ยนไปมา หญิงสาวจ้องมองเฉินซีจากด้านหลังและไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการกัดคอของเขาให้ขาด พลางคิดในใจว่า ‘ช่างเป็นคนพาลเสียจริง!’
แม้จะไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่นางก็รู้ว่าปิงซื่อเทียนต้องไม่ยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้แน่นอน!
ในที่สุดใบหน้าของปิงซื่อเทียนก็เปลี่ยนไปเมื่อเห็นฉากนี้ มันทั้งเย็นชาและไร้ความรู้สึก ในขณะที่ดวงตาของเขาเผยให้เห็นแววโทสะ
เขาไม่ได้โกรธเฉินซี แต่รู้สึกผิดหวังอย่างมากกับท่าทางของเสวี่ยเหยียน
ในขณะนี้เซียนสวรรค์กำลังโกรธจน …ทำให้บรรยากาศในห้องโถงเต็มไปด้วยจิตสังหารปกคลุมไปทั่ว!