บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 775 หมื่นกระบี่รวมหนึ่ง
บทที่ 775 หมื่นกระบี่รวมหนึ่ง
บทที่ 775 หมื่นกระบี่รวมหนึ่ง
ณ ชั้นที่หกสิบของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต
สายฟ้าอันรุนแรงกำลังซัดโหมกระหน่ำ พวกมันดูเหมือนกับอสรพิษสีเงินจำนวนมหาศาลที่มีขนาดใหญ่และหนาเหมือนถังน้ำ ซึ่งกำลังแผดเสียงคำรามและร่ายรำอย่างบ้าคลั่ง!
ทั่วทุกหนทุกแห่งของพื้นที่นี้เต็มไปด้วยสายฟ้า ในขณะที่กลิ่นอายแห่งการทำลายล้างที่ดูแข็งแกร่งจนแทบจับต้องได้ ก็แผ่กระจายไปทุกซอกทุกมุม!
หากลองมองอย่างระมัดระวัง ก็จะสังเกตได้อย่างชัดเจนว่า ตั้งแต่พื้นที่รอบนอกไปจนถึงศูนย์กลางของแดนจำกัดอัสนี พลังสายฟ้ายิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ สายฟ้าบางสายถึงกับมีรูปร่างเป็นดาบ กระบี่ ขวาน หรือกระทั่งง้าว ทำให้มันดูน่าประหลาดใจ
ฟิ้ว!
มีร่างสูงโปร่งปรากฏตัวขึ้นในบริเวณนี้ เสื้อผ้าของเขาพลิ้วไหวไปตามสายลม ในขณะที่ร่างกายของชายหนุ่มเปล่งเจตจำนงกระบี่ออกมา และทุก ๆ การเคลื่อนไหวก็จะเกิดปราณกระบี่อันเจิดจรัสออกมามากมาย ซึ่งฉีกสายฟ้าที่ขวางทางอยู่จนแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แม้การเคลื่อนไหวของเฉินซีจะไม่รวดเร็วนัก แต่กลับมีกลิ่นอายที่ทรงพลังและไม่มีใครเทียบได้ ทำให้เขาดูเหมือนจักรพรรดิกระบี่ที่กำลังเดินเล่นอย่างสบายอารมณ์ และทุกที่ที่เขาผ่านไป สรรพสิ่งก็จะถอยร่นห่างออกไป!
ร่างสูงโปร่งนี้ย่อมคือเฉินซีอย่างแน่นอน
การบ่มเพาะในแดนจำกัดแรงโน้มถ่วงตลอดเจ็ดวันนี้ ในที่สุดชายหนุ่มก็บรรลุความเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชากระบี่สรรค์สร้าง และความเข้าใจของเขาที่มีต่อเต๋ากระบี่ก็ทะลวงผ่านระดับของ ‘กระแสปราณกระบี่’ จนบรรลุถึงระดับ ‘หมื่นกระบี่รวมหนึ่ง’ แล้ว!
เมื่อบรรลุถึงระดับนี้ ชายหนุ่มอาจกล่าวได้ว่าเป็นปรมาจารย์ในเต๋ากระบี่ ปราณกระบี่เพียงเล่มเดียวจะเต็มไปด้วยความผันแปรนับหมื่นนับแสน ความลึกล้ำนับไม่ถ้วน และแปรเปลี่ยนจากเรียบง่ายเป็นซับซ้อน โดยในระดับนี้มันมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไป และมันมักถูกเรียกว่า ‘หมื่นกระบี่รวมหนึ่ง!’
หมื่นกระบี่รวมหนึ่งคือสิ่งใด?
มันคือการใช้ศาสตร์เต๋าให้สอดประสานกับปราณกระบี่ และความล้ำลึกอันไร้ขอบเขตภายในนั้นจะแปรผันตามเจตจำนงของผู้ใช้ มีเพียงการทำลายเท่านั้นที่จะมีการพัฒนา ภายใต้อานุภาพของการโจมตีด้วยกระบี่ในระดับนี้ เคล็ดวิชาทั้งมวลต่างร้ายกาจรุนแรง!
อาจกล่าวได้ว่า แม้ตอนนี้เฉินซีจะยังคงอยู่ที่ขอบเขตสถิตกายา แต่พลังการต่อสู้ของเขาก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน! ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับชายหนุ่มที่จะต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสามในตอนนี้
พลังการต่อสู้ที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้สามารถอธิบายได้ว่า สามารถทำให้ผู้คนทั้งโลกตกตะลึงได้ หากข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มันก็จะทำให้ผู้คนตกตะลึงจนขากรรไกรค้างอย่างแน่นอน!
แต่ชายหนุ่มกลับยังไม่พอใจ เพราะมันยังไม่ใช่ขีดจำกัดของเขา ซึ่งเท่าที่เขาคาดหวังคือ เมื่อเคล็ดกระบี่สรรค์สร้างสามารถอนุมานได้และควบคุมด้วยพลังของเต๋าแห่งยันต์อักขระ เมื่อนั้นจึงจะถือว่าสมบูรณ์แบบ!
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่า ความสำเร็จในมหาเต๋าแห่งการรังสรรค์ของเขาในปัจจุบัน เพียงบรรลุขอบเขตขั้นสูงเท่านั้น และยังมีช่องว่างระหว่างความสมบูรณ์แบบที่ไม่สามารถปิดได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
เช่นเดียวกับมหาเต๋าแห่งปารมิตา มหาเต๋าแห่งการลืมเลือน มหาเต๋าแห่งนิรันดร์ และมหาเต๋าแห่งการทำลายล้าง ความล้ำของการรังสรรค์ก็คล้ายกับมหาเต๋าที่หาได้ยากยิ่งเหล่านี้ และการทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้นั้น …ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน!
“ช่างเป็นพลังสายฟ้าที่น่าสะพรึงกลัวเสียจริง และมันยิ่งทำให้การบ่มเพาะของข้าปั่นป่วน บางทีข้าอาจต้องการเรียกทัณฑ์สวรรค์อัสนีคราม และบรรลุไปยังขอบเขตเซียนปฐพีได้แล้วกระมัง?”
ขณะที่เฉินซีเดินเข้าไปในแดนจำกัดอัสนี ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าใด แรงกดดันที่มีก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และแม้ว่าพลังการต่อสู้ในปัจจุบันของชายหนุ่ม จะผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่เขาก็ยังรู้สึกตึงเครียดเล็กน้อย
เฉินซีถึงกับรู้สึกได้ราง ๆ ว่า แม้เขาจะสะกดการบ่มเพาะไว้ แต่ทัณฑ์สวรรค์อัสนีครามจะต้องผ่าลงมาเพื่อบีบให้บรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพีเป็นแน่ ซึ่งมันอาจจะเกิดภายในสามเดือนถึงหนึ่งปี หรือมากกว่านั้นอย่างแน่นอน!
นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของจิตใต้สำนึกที่ไม่สามารถจับต้องได้ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ในหัวใจ มันลึกซึ้งเป็นอย่างมาก และผู้บ่มเพาะก็มีความเชื่อมโยงกับชะตาสวรรค์
เมื่อการบ่มเพาะของคนคนนั้นได้บรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพีแล้ว ก็จะสามารถพึ่งพาการเชื่อมโยงกับชะตาสวรรค์ เพื่อคาดการณ์ถึงอันตรายในอนาคตของคนผู้นั้นได้ และมันเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
พลังสายฟ้าที่น่าสะพรึงกลัวถูกฟันด้วยปราณกระบี่ของเฉินซี จนเหลือเพียงเสี้ยวพลัง ซึ่งถูกชักนำมาเพื่อขัดเกลาร่างกาย ก่อนจะเปล่งแสงระยิบระยับออกมา ในขณะที่ผิวหนังถูกกระแทกจนสั่นสะท้าน ทำให้เฉินซีรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงและปวดชา
เมื่อครั้งที่เฉินซีอยู่ในแดนจำกัดแรงโน้มถ่วง เขาได้ใช้แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวของที่นั่น เพื่อขัดเกลาร่างกาย และในตอนนี้ ชายหนุ่มได้ใช้พลังสายฟ้าแทน!
แม้ว่าการกระทำนี้จะเป็นอันตรายและเจ็บปวดยิ่ง แต่ผลลัพธ์ในการขัดเกลาร่างกายของเฉินซีก็ชัดเจนมาก มาจนถึงขณะนี้ ร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งจนบรรลุถึงระดับที่น่าตกใจ และดูจะบรรลุขีดจำกัดของขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์แล้ว ซึ่งมันอยู่ห่างจากขอบเขตสถิตกายาเพียงก้าวเดียว อย่างไรก็ตาม… แม้มันจะอยู่ห่างเพียงก้าวเดียว แต่มันกลับดูเหมือนช่องว่างระหว่างฟ้าดิน และยากกว่านับพันเท่าที่จะก้าวข้ามผ่านไปได้!
เฉินซีได้ใช้วิธีการนับไม่ถ้วนเพื่อบรรลุขอบเขตสถิตกายาในการขัดเกลากายา เช่น การทำความเข้าใจคัมภีร์กำเนิดเต๋าแห่งนรกขุมที่เก้า เพื่อเปลี่ยนร่างกายให้เป็นจุดกำเนิดเต๋าที่ผสานรวมเข้ากับฟ้าดิน ซึ่ง ณ ตอนนี้ เขายังอาศัยแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวและพลังสายฟ้าเพื่อขัดเกลาร่างกาย โดยอาจกล่าวได้ว่า การขัดเกลากายาในปัจจุบันของชายหนุ่มนั้นไร้เทียมทานในหมู่ผู้บ่มเพาะ เพราะหากเป็นผู้ขัดเกลากายาคนอื่น …คงบรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายาไปตั้งนานแล้ว!
น่าเสียดายที่ทั้งหมดนี้ดูยากเย็นสำหรับเฉินซี!
“บัดซบ! ข้าไม่เชื่อว่าตัวเองจะไม่สามารถบรรลุขอบเขตสถิตกายาในการขัดเกลากายาได้!” เฉินซีกัดฟันแน่น ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววเหี้ยมโหด และเขายังคงเดินลึกเข้าไปในแดนจำกัดอัสนี
…
ที่บริเวณใจกลางของแดนจำกัดอัสนีในขณะนี้ มีร่างหลายร่างนั่งอยู่ที่นั่น ร่างกายของพวกเขาปล่อยปราณเซียนที่น่าสะพรึงกลัวออกมา กระทั่งสายฟ้าที่อยู่ในบริเวณโดยรอบก็ไม่สามารถเข้าใกล้พวกเขาได้ และถูกระเบิดออกไป
คนกลุ่มนี้นำโดยชายวัยกลางคนที่มีเคราและผมสีดำ ซึ่งสวมเสื้อคลุมนักพรตเต๋าแบบหลวม ๆ และมีดวงตาสุกสกาวดุจดวงดาว ในขณะนี้เจ้าตัวได้กล่าวด้วยสีหน้ากังวล “การบ่มเพาะของสัตว์ร้ายตัวนั้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ”
คนอื่น ๆ ต่างนิ่งเงียบ
ในช่วงสิบกว่าปีมานี้ พวกเขาต่อสู้กับวิญญาณโลหิตที่เปลี่ยนร่างเป็นวิญญาณอัสนีมานับครั้งไม่ถ้วน และทุกครั้งที่กำลังจะประสบความสำเร็จ มันจะอาศัยสายฟ้าที่แผ่ขยายออกไปเพื่อหลบหนี
และเมื่อเวลาผ่านไป ความแข็งแกร่งของวิญญาณอัสนีก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เดิมทีมันอยู่ในขอบเขตเซียนปฐพีระดับสองเท่านั้น ทว่าตอนนี้มันอยู่ในระดับที่เทียบเท่ากับผู้เยี่ยมยุทธ์ของขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่แล้ว!
ซึ่งแน่นอนว่า ความแข็งแกร่งของวิญญาณอัสนีนี้ยังไม่เป็นภัยคุกคามต่อพวกเขา ซึ่งเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีของนิกายเก้ากระบี่เรืองรอง แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกกังวล เพราะหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ความแข็งแกร่งของวิญญาณอัสนีนั้นอาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และความยากในการฆ่ามันจะสูงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
กอปรกับความจริงที่ว่า สถานที่แห่งนี้คือแดนจำกัดอัสนี วิญญาณอัสนีจึงเสมือนมัจฉาได้น้ำ ถ้ามันต้องการจะหนี มันจะแปลงร่างเป็นสายฟ้าทันทีและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย การสังเกตเห็นร่องรอยของมันจึงเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าจะมีญาณเทวะอมตะก็ตาม
เหตุผลทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขาค่อย ๆ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่จนตรอก
เมื่อไม่กี่วันก่อน มีแม้กระทั่งผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่เกือบจะถูกฆ่าตายจากการถูกลอบโจมตี และเหตุการณ์ที่น่าตกใจนั้น ทำให้พวกเขาหวาดกลัวอย่างมากยามหวนคิดถึง!
“หากมันอยู่ในโลกภายนอก ด้วยกำลังของพวกเรา ย่อมเพียงพอจะทำลายล้างสัตว์ร้ายตัวนี้ แต่สถานที่แห่งนี้กลับเต็มไปด้วยสายฟ้าฟาด ซึ่งเอื้อให้มันใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศเพื่อหลบหนีครั้งแล้วครั้งเล่า ช่างน่าโมโหเสียจริง ๆ!” ชายชราในชุดคลุมสีขาวกัดฟันแน่น ขณะที่เขากล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราสีดำซึ่งเป็นผู้นำพลันส่ายศีรษะและกล่าวว่า “กล่าวไปก็ไร้ประโยชน์ เรื่องด่วนที่เราต้องตัดสินใจคือเราจะไปต่อหรือจากไป?”
เมื่อชายวัยกลางที่เป็นผู้นำกล่าวถึงตรงนี้ เขาก็กวาดสายตามองทุกคน ก่อนจะกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “หากเราเลือกที่จะจากไป เราจะต้องจากไปทันที จากนั้นต้องรายงานเรื่องนี้ให้แก่ท่านบรรพบุรุษเฟยหลิงรับทราบ และดูว่าเราจะพาเขามาได้หรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไร เราก็ต้องสังหารสัตว์ร้ายตัวนี้ให้จงได้! มิฉะนั้น มันจะเป็นหายนะในที่สุด หากปล่อยให้มันรอดชีวิตอยู่ในถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต”
“บรรพบุรุษเฟยหลิง!”
หัวใจของทุกคนล้วนสั่นสะท้าน ในบรรดาผู้อาวุโสที่ปลีกวิเวกของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง บรรพบุรุษเฟยหลิงเป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่พวกเขา และได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งใน ‘สามปราชญ์แห่งเก้าเรืองรอง’ เช่นเดียวกับบรรพบุรุษเฟิงถิงและบรรพบุรุษเติ้งเฉิน!
ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะบอกว่า การมีอยู่ของเฟยหลิง เฟิงถิง และเติ้งเฉินเป็นเหมือนเสาหลักที่ค้ำยันท้องฟ้า และเพราะมีพวกเขาปกป้องนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง จึงทำให้ไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุหรือทำให้ขุ่นเคือง!
นี่คืออำนาจของผู้ยิ่งใหญ่ เมื่ออยู่ต่อหน้าบรรพบุรุษทั้งสามคนนี้ แม้แต่ประมุขนิกายเวินหัวถิงและผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ ที่ปลีกวิเวกอย่างสันโดษ ก็ยังต้องแสดงความเคารพนับถือ ให้เกียรติ และเรียกตัวเองว่าเป็นผู้น้อย!
ชายวัยกลางคนเคราดำกล่าวต่อ “หากเลือกที่จะอยู่ เราต้องตัดสินใจเลือก เพราะเราต้องเลือกใครสักคนที่จะเป็นเหยื่อล่อและลากมันออกมา ก่อนที่จะรวบรวมพลังของทุกคนเพื่อทำลายล้างในคราวเดียว แต่ภารกิจนี้อันตรายเป็นอย่างมาก เพราะผู้ทำหน้าที่เป็นเหยื่อล่ออาจเสียชีวิตได้”
เมื่อกล่าวจบ เจ้าตัวพลันสรุปว่า “เราต้องตัดสินใจในตอนนี้ มิฉะนั้น หากเรายังเสียเวลาเช่นนี้อีกต่อไป สถานการณ์ของเราจะเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ”
ใบหน้าของทุกคนดูเคร่งเครียด พวกเขากล่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง มีคนสองคนที่สนับสนุนการจากไป ในขณะที่คนอื่น ๆ นั้นเลือกที่จะอยู่ต่อไป
ยิ่งกว่านั้น ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีในชุดคลุมสีขาวซึ่งมีนามว่าซุนตงฮวาพลันกล่าวอย่างห้าวหาญว่า เขาจะเป็นเหยื่อล่อและจะเสี่ยงชีวิตลากสัตว์ร้ายตัวนั้นออกมาด้วยตนเอง
“ตกลง! หากเราทำสำเร็จ เราไม่เพียงจะสามารถทำลายสัตว์ร้ายตัวนี้เท่านั้น แต่ยังจะได้รับชิ้นส่วนผลึกต้นกำเนิดโกลาหลก้อนใหญ่อีกด้วย ประกอบกับทุกสิ่งที่พวกเรารวบรวมมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เราย่อมสามารถขัดเกลาสมบัติวิเศษโกลาหลได้อย่างแน่นอน!” เมื่อชายวัยกลางคนเห็นสิ่งนี้ ดวงตาเขาก็ทอแสงประกาย จากนั้นก็ตัดสินใจที่จะลองอีกครั้ง!
ขณะที่พวกเขากำลังปรึกษาหารือกันว่าจะดำเนินการอย่างไรดี จู่ ๆ ก็มีเสียงดังก้องออกมาจากแดนจำกัดอัสนีด้านนอกที่พวกเขาอยู่
“มีผู้เยี่ยมยุทธ์กำลังใกล้เข้ามา!” ซุนตงฮวาขมวดคิ้ว ขณะที่เขาฟังเสียงดังอึกทึก “ความเร็วของคนผู้นี้ไม่เร็วนัก แต่ฝีเท้าของเขากลับมั่นคง ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ควรอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสามอย่างแน่นอน”
“สิ่งนี้ไม่ควรเกิดขึ้น เราได้สั่งปิดตายสถานที่นี้แล้ว และศิษย์น้องเยว่ผิงก็คอยคุ้มกันอยู่ที่ชั้นที่ห้าสิบเก้า แล้วจะมีคนเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร” ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราสีดำกล่าวว่า “หรือว่าศิษย์น้องเยว่ผิงจะมาหา?”
ขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันนั้น
ตู้ม!
มีร่างหนึ่งพุ่งออกมาและร่อนลงมาที่พื้น
เป็นชายหนุ่มร่างสูงกำลังถือกระบี่ดำสนิทที่น่าเกรงขามและไร้ความมันเงาอยู่ในมือ
“ขอบเขตสถิตกายา!?” ทุกคนประหลาดใจ
“สหายน้อย” ชายวัยกลางคนที่มีเคราสีดำขมวดคิ้วและกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ใครคืออาจารย์ของเจ้า?”
การบ่มเพาะของชายวัยกลางคนที่มีเคราสีดำ ได้บรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพีระดับหกเมื่อนานมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงแยกแยะระดับการบ่มเพาะของชายหนุ่มคนนี้ได้ ซึ่งอีกฝ่ายก็เป็นดั่งตัวตนที่ท้าท้ายสวรรค์ เนื่องจากสามารถครอบครองความแข็งแกร่งขอบเขตสถิตกายาได้!
“ผู้เยาว์มีนามว่าเฉินซี และอาจารย์ของศิษย์คือหลิ่วเจี้ยนเหิง ศิษย์ขอคารวะเหล่าผู้อาวุโส” เฉินซีประสานมือคารวะ
ในระหว่างที่เฉินซีกำลังขัดเกลาร่างกายอยู่ก่อนหน้านี้ เขาพลันสังเกตเห็นการมีอยู่ของเหล่าผู้อาวุโสของนิกายด้วยเนตรเทวะแห่งความจริง ดังนั้นจึงรีบรุดมา
“ศิษย์ของเจี้ยนเหิงหรือ?” คนอื่น ๆ ตกตะลึง ดูราวพวกเขาจะตระหนักได้ในทันที และกระทั่งอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาในใจ เพราะชายหนุ่มคนนี้สามารถมาถึงชั้นที่หกสิบของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตได้อย่างง่ายดาย ด้วยการบ่มเพาะที่ขอบเขตสถิตกายาเท่านั้น!!!
…และนั่นย่อมหมายความว่าการบ่มเพาะของชายหนุ่มเทียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสาม ดังนั้นเขาจึงเป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมและโดดเด่นของนิกายอย่างแน่นอน!
“เอ๊ะ ช้าก่อน! นี่เจ้ายังไม่ได้บรรลุญาณเทวะอมตะ แล้วเจ้าเห็นการมีอยู่ของเราได้อย่างไร?” ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนหนึ่งกล่าวอย่างประหลาดใจ เมื่อเขาสังเกตเห็นความผิดปกติ เพราะแม้แต่ญาณเทวะอมตะก็ยังต้องทนทุกข์ทรมานเมื่ออยู่ในสถานที่แห่งนี้ แล้วนับประสาอะไรกับจิตสัมผัสเทพ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปล่งจิตสัมผัสเทพออกจากร่างกายอยู่ในที่แห่งนี้!
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ พลันฉุกคิดถึงความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำพูดเหล่านี้ และต่างมองไปที่เฉินซีอย่างพร้อมเพรียงกัน
ชายหนุ่มกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ศิษย์ได้บ่มเพาะพลังอิทธิฤทธิ์ประเภทหนึ่ง ซึ่งสามารถมองผ่านความเป็นจริง และทะลวงผ่านพื้นผิวของสิ่งต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบแก่นแท้ของมันได้ แม้แต่รายละเอียดเล็กน้อยที่สุดในระยะสองพันห้าร้อยลี้ ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาของศิษย์ได้”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของทุกคนพลันทอแววเป็นประกาย และพวกเขาก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก!