บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 781 เทียบอันดับวายร้าย
บทที่ 781 เทียบอันดับวายร้าย
บทที่ 781 เทียบอันดับวายร้าย
ทารกเกิดแล้ว!
ดวงตาของทารกตนนี้ปิดแน่น ในขณะที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ ผิวของทารกขาวและอ่อนโยน ทำให้มันดูบริสุทธิ์ไร้ที่ติ กลิ่นอายแห่งเต๋าขดตัวอยู่รอบ ๆ ตัวมัน พร้อมกับเปล่งแสงแวววาวออกมา
ทันทีที่เฉินซีกวาดสายตามอง เด็กทารกพลันลืมตาขึ้น สายตาของพวกเขาประสานกันกลางอากาศ ก่อนที่ความเชื่อมโยงอันแปลกประหลาดและอธิบายไม่ได้ จะก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขาทันที
ขั้นตอนการเสริมสร้างปราณแท้และหล่อหลอมจิตวิญญาณสำเร็จแล้ว!
เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นจึงรีบใช้เคล็ดวิชาจินตภาพด้วยแก่นวิญญาณทั้งสองของเขาทันทีที่เป็นไปได้
โอม!
ภายในจิตสำนึกของเฉินซี แก่นวิญญาณของชายหนุ่มที่มีขนาดเล็กกว่ามากกำลังนั่งขัดสมาธิ ในขณะที่รูปปั้นมหึมาของเทพเจ้าฝูซีพลันบังเกิดเสียงดังก้องอยู่ในท้องฟ้า มันเป็นรูปปั้นที่สูงถึงสิบห้าลี้ เปล่งกลิ่นอายอันเก่าแก่และกว้างใหญ่ ราวกับจะระงับเวลา ก้าวข้ามหกวิถีสังสารวัฏ และตั้งตระหง่านอยู่เหนือมหาเต๋า ซึ่งเป็นอิสระชั่วนิจนิรันดร์!
แก่นวิญญาณของเขาอาบอยู่ใต้แสงศักดิ์สิทธิ์อันอบอุ่นที่เล็ดลอดออกมาจากรูปปั้นเทพเจ้าฝูซี มันเริ่มมีความมั่นคงและฟื้นตัวด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ในขณะที่ภายในร่างกายของทารกนั้น…
แก่นวิญญาณกำลังจินตภาพถึงรูปปั้นเทพเจ้าฝูซีเช่นกัน และมันก็เปล่งแสงที่ไร้ขอบเขตออกมา
แก่นวิญญาณทั้งสองที่แยกออกจากกัน ต่างทำความเข้าใจในรูปปั้นเทพเจ้าฝูซี พวกมันเติบโตและฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของแก่นวิญญาณเหล่านี้ ก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเหมือนกับก้อนหิมะ
กระบวนการนี้ดำเนินต่อไปตลอดทั้งเดือน
เมื่อเฉินซีลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็พบว่าทารกได้กลายร่างเป็นชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมนักพรตเต๋าสีเหลืองอมส้ม มีผมยาวประบ่า มีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่ มีคิ้วสีดำสนิทดุจน้ำหมึก และรูปทรงเหมือนกระบี่ อีกทั้งร่างกายยังเปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายแห่งเต๋า ทำให้ดูไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคืออีกฝ่ายเป็นเฉินซีอีกคน!
“ในที่สุดก็สำเร็จ แก่นวิญญาณร่างหลักของข้าฟื้นตัวประมาณเจ็ดส่วน และต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์…” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะเข้าสู่การทำสมาธิอีกครั้ง
“โอ้ ขอบเขตก่อกำเนิด” เฉินซีที่สวมเสื้อคลุมนักพรตเต๋าสีเหลืองอมส้มยืนขึ้นแทน จากนั้นก็จ้องมองไปที่ร่างหลัก ก่อนที่ความรู้สึกคุ้นเคยแปลก ๆ จะพุ่งเข้าสู่หัวใจของเขา
ร่างหลักและร่างอวตารอาจกล่าวได้ว่ามีความทรงจำที่คล้ายกัน พวกมันสามารถแบ่งปันประสบการณ์ในการบ่มเพาะและความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้ง แต่พวกมันมีอิสระแยกออกจากกัน เป็นเหมือนชีวิตที่สอง
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ ร่างอวตารจะไม่สามารถสืบทอดการบ่มเพาะและความแข็งแกร่งของร่างหลักได้
สิ่งนี้แตกต่างจาก ‘ร่างจำแลง’ ที่ผู้ขัดเกลากายาขอบเขตสถิตกายาครอบครอง ร่างจำแลงนั้นไม่มีแก่นวิญญาณ แต่มีความแข็งแกร่งและพลังการต่อสู้ของร่างหลัก มันถูกควบแน่นจากปราณจ้าววิญญาณ และถูกควบคุมโดยร่างหลักเพื่อใช้ในการต่อสู้
แต่เคล็ดวิชาปฏิการะโลกาที่เฉินซีบ่มเพาะจะอาศัยการแยกแก่นวิญญาณออกเป็นสองส่วน เพื่อสร้างชีวิตที่สอง!
เคล็ดวิชาปฏิการะโลกาจะเอาส่วนเกินมาชดเชยสิ่งที่ขาด!
เคล็ดวิชาบ่มเพาะที่อาซิ่วมอบให้แก่เขา มันเป็นสมบัติที่ล้ำค่ามากที่สุดในโลก และเป็นการดำรงอยู่ที่หายากมาก ซึ่งเกือบจะเหมือนกับการขโมยชีวิตจากสวรรค์
เฉินซียังสงสัยว่า หากเคล็ดวิชาบ่มเพาะนี้ถูกเผยแพร่ออกไป เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานจากความโกรธเกรี้ยวของสวรรค์อย่างแน่นอน! เพราะอย่างไร มันก็ไม่ต่างอะไรกับปล้นชิงกฎของธรรมชาติ หรือพลิกชีวิตจากความตาย
ในทำนองเดียวกัน เคล็ดวิชาบ่มเพาะนี้แตกต่างจากการกระทำที่เรียกว่าการช่วงชิงร่างของผู้อื่น เพื่อให้ได้มาซึ่งการเกิดใหม่ เนื่องจากร่างของผู้บ่มเพาะปราณถูกทำลาย พวกเขาจึงใช้แก่นวิญญาณเพื่อยึดร่างของผู้อื่น แต่มันก็มีปัญหาใหญ่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะความเข้ากันได้ของแก่นวิญญาณกับร่างกายใหม่นั้นไม่สอดคล้องกัน ไม่ว่าร่างกายจะยอดเยี่ยมเพียงใด ปัญหาความขัดแย้งระหว่างวิญญาณกับร่างกายใหม่จะเกิดขึ้นหลังจากร่างกายถูกยึด และความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจทำให้ร่างกายระเบิดและตายจากความขัดแย้งได้
แม้จะสามารถจัดการกับความขัดแย้งระหว่างวิญญาณและร่างกายได้ แต่ก็ต้องใช้เวลานานมากในการเจาะเข้าไป ดังนั้น เว้นแต่จะไม่มีทางเลือกอื่น จึงไม่มีผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาคนใดเลือกที่จะยึดร่างของผู้อื่นเพื่อให้ตนเองได้เกิดใหม่
ส่วนเคล็ดวิชาปฏิการะโลกานั้นแตกต่างออกไป มันใช้แก่นโลหิตของตัวเอง เพื่อสร้างตัวอ่อน ก่อนที่จะใช้แก่นวิญญาณของตัวเองเพื่อสร้างดวงวิญญาณ จากนั้นจึงควบแน่นเป็นร่างอวตาร ดังนั้นปัญหาของความขัดแย้งระหว่างวิญญาณกับร่างกายจึงไม่มีอยู่จริง
“ยอดเยี่ยม ร่างกายของร่างอวตารนี้บริสุทธิ์ และมันอาบไปด้วยกลิ่นอายแห่งเต๋า ซึ่งเทียบได้กับ ‘กายเทวะโดยกำเนิด’ เมื่อรวมกับประสบการณ์ในการบ่มเพาะและการรู้แจ้งถึงเต๋าของข้า กอปรกับการส่งเสริมของโอสถวิญญาณต่าง ๆ ข้าย่อมสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตสถิตกายาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น…”
รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นที่มุมปากของเฉินซีในเสื้อคลุมสีเหลืองอมส้ม ซึ่งสัมผัสได้ถึงสภาพของร่างอวตารนี้ และเขาไม่ลังเลที่จะดึงผลึกโลหิตออกมา
ผนึกโลหิตนี้ได้รับการขัดเกลาจากซากศพของวิญญาณอัสนีที่ชั้นหกสิบของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต และเขาได้ขัดเกลามันมากกว่าสิบชิ้น พวกมันมีขนาดเท่ากำปั้น ซึ่งมีปราณโลหิตไหลออกมาเหมือนหินหลอมเหลว และพวกมันมีผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์ต่อการขัดเกลากายาอย่างไม่น่าเชื่อ
ท้ายที่สุดแล้ว วิญญาณอัสนีก็มีตัวตนเทียบเท่ากับผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้า ดังนั้นแล้วปราณโลหิตจะมากมหาศาลเพียงใด?
ปัง!
เฉินซีโคจรวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพ และทำให้แก่นแท้จำนวนมากถูกดูดซับจากผลึกโลหิตอย่างไม่หยุดหย่อน พร้อมทั้งเปลี่ยนมันเป็นปราณจ้าววิญญาณที่ส่งเสียงดังก้องอยู่ในกล้ามเนื้อ ซึ่งกำลังไหลเวียนเหมือนกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว
อักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราปฐพีที่ห้า อักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราพฤกษาที่สอง อักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราทองคำที่เจ็ด อักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราอัคคีที่สาม…
ในไม่กี่อึดใจ อักขระจ้าววิญญาณเก้าตัวก็ปรากฏบนแผ่นหลังของเฉินซี ทำให้การขัดเกลากายาของเขาสามารถทะลวงไปสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์ได้เพียงครั้งเดียว!
หากข่าวที่เกี่ยวกับความเร็วในการทะลวงผ่านจากขอบเขตก่อกำเนิดไปจนถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์ได้แพร่กระจายออกไปยังโลกภายนอก มันจะทำให้ทุกคนหวาดกลัวอย่างแน่นอน
แต่เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันกลับเป็นเรื่องปกติมากสำหรับเฉินซี ร่างอวตารของเขานั้นเหมือนกับเซียนที่กลับชาติมาเกิด ซึ่งได้ปลุกความทรงจำของเขา การรู้แจ้งเต๋า การบ่มเพาะ ดวงจิตแห่งเต๋า ประสบการณ์การบ่มเพาะ และอื่น ๆ ซึ่งบรรลุในระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์ ควบคู่ไปกับแก่นแท้ของปราณโลหิตจำนวนมากที่ควบแน่นภายในผนึกโลหิตจากวิญญาณอัสนี…
ดังนั้นการทะลวงสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์ในการขัดเกลากายาในครั้งเดียว ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด!
ครืน!
ครึ่งชั่วยามต่อมา ร่างอวตารของเฉินซีได้ทะลวงผ่านอีกครั้ง และบรรลุจากขอบเขตตำหนักอินทนิลเข้าสู่ขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์ ในขณะนี้ เขากำลังพุ่งเข้าสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง
ในขณะเดียวกัน อักขระจ้าววิญญาณทั้งเก้าบนแผ่นหลังของชายหนุ่ม ก็ควบแน่นเป็นหมอกเพลิงที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และความลึกล้ำของมหาเต๋าจำนวนมากก็สอดประสานเข้าด้วยกัน ซึ่งกำลังเดือดพล่านและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง…
…
หนึ่งเดือนต่อมา ณ ยอดเขาจรัสตะวันตก
วูบ!
อากาศผันผวน เมื่อร่างสูงเดินออกมา และนั่นคือเลี่ยเผิงซึ่งเป็นผู้คุมกฎของนิกาย เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะทำท่าเรียกหั่วโม่เลย “เฉินซียังไม่ออกมาจากการปิดด่านบ่มเพาะอีกหรือ?”
หั่วโม่เลยส่ายศีรษะ “เรียนผู้อาวุโส น้องเฉินยังคงอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะขอรับ”
“โอ้” เลี่ยเผิงครุ่นคิดสั้น ๆ ก่อนที่เขาจะกล่าวว่า “ไม่เป็นไร บอกเฉินซีให้ไปหาข้าที่พำนักของข้า เมื่อเขาออกมาจากการปิดด่านบ่มเพาะแล้ว”
เสียงของเลี่ยเผิงดังก้องอยู่ในอากาศและยังไม่ทันหายไป แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากริมสระชำระกระบี่ที่อยู่ไกลออกไป “เรียนอาจารย์ลุงเลี่ยเผิง ขอทราบเหตุผลที่ท่านมาหาศิษย์ด้วยตัวเองได้หรือไม่?”
พร้อมกับเสียงนี้คือร่างสูงที่พุ่งผ่านท้องฟ้าและมาถึงที่นี่ทันที ปรากฏว่าร่างนั้นคือเฉินซี!
ในขณะนี้เขายังคงสวมชุดสีเขียว ผมยาวของชายหนุ่มพลิ้วไหวตามสายลม ในขณะที่รูปร่างของเขาสูงส่งดุจกระบี่ และเผยท่าทางที่ไม่ธรรมดาออกมา หากทว่าเลี่ยเผิงกลับรู้สึกได้จาง ๆ ว่าเฉินซีดูจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ชายชราขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เฉินซี แก่นวิญญาณของเจ้าดูเหมือนจะอ่อนแอลงเล็กน้อย นี่เจ้าบาดเจ็บขณะที่บ่มเพาะหรือ? เจ้าต้องจำไว้ว่า ความเร่งรีบทำให้ประสบความสำเร็จเสมอไป ในตอนนี้ การบ่มเพาะของเจ้าได้แซงหน้าบรรดาผู้บ่มเพาะในรุ่นเดียวกันไปไกลมากแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องบังคับตัวเองเช่นนี้” น้ำเสียงของชายชราเต็มไปด้วยความกังวลโดยไม่รู้ตัว
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็พยักหน้า “ขอบคุณอาจารย์ลุง สำหรับความห่วงใยของท่าน ศิษย์คนนี้จะจดจำไว้”
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” เลี่ยเผิงยิ้มและกล่าวว่า “จุดประสงค์ที่ข้ามาที่นี้ในครั้งนี้ ก็เพราะมีภารกิจสองอย่าง คือ ‘ส่งต่อคบเพลิง’ และ ‘ผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์’”
ขณะที่กล่าว ชายชราพลันพลิกฝ่ามือขึ้น และแผ่นหยกก็ปรากฏขึ้น “ภายในแผ่นหยกนี้คือ เด็กอัจฉริยะที่มีความโดดเด่นและมีชื่อเสียงค่อนข้างมาก ซึ่งนิกายของเราได้รวบรวมมาจากทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬ แม้ว่าจะอายุยังน้อย แต่พวกเขาล้วนแสดงพรสวรรค์ที่น่าทึ่งออกมา หากเจ้าต้องการรับศิษย์ เจ้าก็ค้นหาจากสิ่งนี้ก่อนได้ แล้วจึงค่อยไปด้วยตัวเอง”
เฉินซีรับแผ่นหยกมาและพินิจอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่า มีชื่อของเด็กอัจฉริยะที่มีความโดดเด่นหลายคนอยู่ในนั้น รวมถึงสถานที่เกิด ชาติกำเนิด สถานที่ที่พวกเขาอยู่ และข้อมูลอื่น ๆ อีกมากมาย
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เพราะเด็กที่โดดเด่นเหล่านี้ได้กระจายไปทั่วแดนภวังค์ทมิฬ บางคนเป็นลูกของผู้มีชื่อเสียงอย่างขุนนางหรือแม่ทัพ บางคนเป็นผู้เยาว์ธรรมดา ๆ จากชนบท บางคนเป็นสิ่งมีชีวิตสายเลือดบริสุทธิ์จากเผ่าในยุคบรรพกาล และยังมีลูกหลานของสิ่งมีชีวิตบางส่วนที่ปลีกวิเวกอยู่ในมหาสมุทร ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า แผ่นหยกนี้ครอบคลุมและมีทุกอย่างครบถ้วน
จากข้อมูลของแผ่นหยกนี้ก็แยกแยะได้ไม่ยากว่า ทรัพยากรและกำลังพลของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองนั้นลึกล้ำเพียงใด ซึ่งหากเป็นนิกายธรรมดาทั่วไป ก็คงไม่สามารถรวบรวมข้อมูลดังกล่าวได้อย่างเต็มที่
“นี่คือแผ่นหยกที่บันทึกข้อมูลของสถานที่ที่วายร้ายบางคนมักไปมา ซึ่งมีทั้งปีศาจที่ก่อกรรมทำเข็ญหรือผู้บ่มเพาะชั่วร้ายที่เป็นภัยต่อโลก รับมันไปซะ เจ้าต้องสังหารวายร้ายเหล่านี้สิบคน จึงจะถือว่าเจ้าเสร็จสิ้นภารกิจผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์”
ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงหยิบแผ่นหยกออกมาอีกแผ่นและส่งให้เฉินซี
“เทียบอันดับวายร้าย?” เฉินซีพบว่า ภายในแผ่นหยกนี้ แท้จริงแล้วคือเทียบอันดับค่าหัวที่นิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิบออกร่วมกัน และเต็มไปด้วยรายนามที่มีสีแดงเลือด
สิ่งที่มาพร้อมกับชื่อเหล่านี้คือ ภาพวาดรูปร่างหน้าตาของวายร้าย พื้นที่ที่พวกเขามักแวะเวียนไปมา หรืออาชญากรรมร้ายแรงที่พวกเขาก่อขึ้น
ยิ่งกว่านั้น วายร้ายที่อยู่ในห้าสิบอันดับแรกของเทียบอันดับนี้ ยังมีตัวตนขอบเขตเซียนปฐพีที่น่าเกรงขาม อีกทั้งยังมีผู้บ่มเพาะอสูรและปีศาจที่ท่วมท้นไปด้วยปราณอสูร สำหรับผู้อยู่ต่ำกว่าห้าสิบอันดับแรก พวกเขาเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา หรือต่ำกว่านั่น
“ภพทั้งสามในตอนนี้กำลังจะเกิดกลียุค และโลกภายนอกก็เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ดังนั้นเจ้าต้องระมัดระวัง เมื่อออกจากนิกายในครั้งนี้” ขณะที่กล่าว ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงก็ล้วงหยิบยันต์หยกที่อาบไล้ด้วยแสงสีม่วงออกจากแขนเสื้อ และส่งต่อให้กับเฉินซี “นี่คือยันต์เซียนจักรวาลที่ท่านประมุขวานให้ข้าส่งต่อให้กับเจ้า จงใช้มันในยามคับขัน เพื่อรักษาชีวิตของเจ้า”
“ยันต์เซียนจักรวาล!”
ดวงตาของเฉินซีเป็นประกาย เพราะนี่คือสมบัติล้ำค่าที่สามารถช่วยชีวิตได้ และเมื่อหลายปีก่อน เยี่ยนสือซานได้ใช้สมบัติชิ้นนี้เพื่อหลบหนีจากเงื้อมมือของเขา ดังนั้นชายหนุ่มจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสมบัติล้ำค่านี้มีค่าเพียงใด?
และว่ากันว่า มีเพียงผู้ยิ่งใหญ่ของภพเซียนเท่านั้นที่สามารถสร้างยันต์เซียนดังกล่าวได้ ตราบใดที่มันถูกทำลาย มันก็จะสามารถทะลวงผ่านอวกาศที่ไร้ขอบเขต และบรรลุผลของการเคลื่อนย้ายมิติได้ มันจึงเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการปกป้องชีวิตคน เพราะแทบจะไม่มีใครในภพมนุษย์ที่สามารถหยุดมันได้!
“ขอบคุณขอรับ ท่านอาจารย์ลุงเลี่ยเผิง” เฉินซีประสานมือคำนับ ซึ่งตัวเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า จะได้รับสมบัติล้ำค่าเช่นนี้เพียงเพราะออกไปทำภารกิจสองอย่าง และในใจรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก
“ฮ่า ๆ! ตราบใดที่เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย มันก็เพียงพอแล้ว จงเตรียมตัวและออกเดินทางในอีกสามวันนับจากนี้” เลี่ยเผิงหัวเราะดังลั่น และกล่าวแนะนำเฉินซีเล็กน้อย ก่อนที่จะจากไปอย่างรวดเร็ว
“อีกสามวันหรือ?”
นิ้วของเฉินซีลูบไล้ยันต์เซียนจักรวาลในมือ ขณะที่เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นชายหนุ่มก็ไม่คิดอะไรอีกก่อนจะหันหลังกลับ มุ่งตรงไปยังยอดเขาจรัสตะวันตก พยายามใช้โอกาสในช่วงเวลาสามวันนี้เพื่อเตรียมตัวให้พร้อม
“เฮ้ เฉินซี มานี่สิ ข้ามีเรื่องด่วนที่ต้องคุยกับเจ้า” ทันใดนั้น อาซิ่วก็โผล่มาจากที่ใดไม่ทราบ นางโบกมือในขณะที่เรียกด้วยเสียงดังฟังชัด และหญิงสาวก็แสดงสีหน้าจริงจังที่หาได้ยากออกมา