บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 788 แสงทองแห่งคุณธรรม
บทที่ 788 แสงทองแห่งคุณธรรม
บทที่ 788 แสงทองแห่งคุณธรรม
ฟิ้ว!
ทันทีที่ผู้ครองบาปมหันต์ทั้งสามซึ่งมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ได้แก่ หัวอี้ เสวี่ยเฟิง และไป๋คงถูกสังหาร แสงแห่งบาปสีดำสนิทที่หนาแน่นจนเกือบเป็นวัตถุพลันพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนจะกลายเป็นสายลมเย็นยะเยือก ก่อร่างเป็นวิญญาณพยาบาท โครงกระดูก หรือสัตว์ร้ายที่คำรามลั่นและอาละวาดไปทั่วฟ้าดิน!
ทันใดนั้น ฟ้าดินประหนึ่งตกสู่ขุมนรกที่น่ากลัวและน่าสยดสยอง
นั่นคือปราณแห่งบาป ซึ่งมีความชั่วร้ายและความอาฆาตพยาบาทที่สุด!
การที่แสงแห่งบาปสามารถควบแน่นเป็นรูปร่างได้ขนาดนี้ ย่อมเกิดจากเคี่ยวกรำทรมานและสังหารสิ่งมีชีวิตไปนับไม่ถ้วน รวมถึงการก่ออาชญากรรมมากมายที่กระตุ้นความขุ่นเคืองของผู้คนเป็นวงกว้าง!
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ หัวใจของทุกคนต่างสั่นสะท้าน ในแง่หนึ่ง พวกเขาตกใจกับการกระทำที่เด็ดขาดของเฉินซี และพวกเขาต่างก็รู้สึกหวาดกลัวต่อแสงแห่งบาปนี้
ท้ายที่สุด หากพลังบาปดังกล่าวแพร่กระจายออกไป ชีวิตนับไม่ถ้วนในเมืองวารีเมฆาทั้งหมดจะต้องแปดเปื้อนมลทิน วิญญาณของพวกเขาจะถูกพรากไป และจะล้มตายในทันที
เมื่อเห็นหัวอี้และคนอื่น ๆ ถูกฆ่าตาย ไฮว่หมิงกับเป่ยหวงก็ตกใจและโกรธจัดในทันที ด้วยตัวพวกเขาไม่อยากเชื่อว่า เฉินซีจะกล้าทำเรื่องโหดเหี้ยมเช่นนี้ แต่หลังจากได้เห็นแสงแห่งบาปที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า คนทั้งคู่ก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว
พวกเขาต่างอ้าปากพร้อมกัน และดูดกลืนมันอย่างรุนแรงเหมือนวาฬที่กำลังกลืนกินน้ำ ทำให้แสงแห่งบาปที่ปกคลุมท้องฟ้าสั่นสะท้าน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำพุ่งเข้าหาคนทั้งสองโดยตรง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า แสงแห่งบาปนั้นมีประโยชน์ต่อผู้บ่มเพาะที่ชั่วร้ายเช่นพวกเขาอย่างมาก!
ไฮว่หมิงกับเป่ยหวงเชื่ออย่างแน่วแน่ว่า ตราบเท่าที่พวกเขาดูดซับแสงแห่งบาปจากหัวอี้และคนอื่น ๆ ทั้งหมด พวกเขาย่อมสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับที่สูงขึ้นในเวลาอันสั้น!
ถึงอย่างไร นี่ก็คือพลังบาปที่ควบแน่นมาหลายชั่วอายุของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีสามคน ดังนั้นมันจะธรรมดาได้อย่างไร?
ครืนน!
แต่ทันทีที่คนทั้งสองลงมือ เสียงโครมครามที่สั่นสะเทือนสวรรค์ทั้งเก้าก็ดังก้องออกมา มันเปล่งเสียงออกมาจากภายในแสงแห่งบาปอันพลุ่งพล่าน ต่อจากนั้น ฐานบงกชทองคำที่ลอยละล่องดั่งภูเขาก็ปรากฏขึ้นมา มันได้เปล่งแสงสีทองอร่ามผสานกับเสียงสวดมนต์ ที่ให้ความรู้สึกราวกับเสียงสวดมนต์ของเหล่าทวยเทพและเสียงกึกก้องของมหาเต๋า!
ทันใดนั้น ฟ้าดินทั่วหล้าก็สว่างวาบด้วยกลิ่นอายแห่งการชำระบาปและลบล้างความชั่วร้ายทั้งหมดออกไป
ศาสตร์เต๋า… สิบสองปทุมแห่งนิพพาน!
ทันทีที่ฐานบงกชทองคำนี้ปรากฏขึ้น แสงทมิฬแห่งบาปที่ปกคลุมทั่วทั้งสวรรค์และโลก ก็ราวกับราตรีที่ต้องแสงอาทิตย์ ราวกับหิมะที่ละลายในน้ำเดือด เกิดเป็นคลื่นเสียงที่เสียดหู และเสียงร้องโหยหวนอันน่าสมเพช ที่เหมือนกับกำลังร้องขอความเมตตาและต้องการหลบหนีให้หลุดพ้น!
ทว่าท่ามกลางแสงสีทองจากฐานบงกช การดิ้นรนทั้งหมดนี้ล้วนไร้ประโยชน์!
ทุกคนที่อยู่ที่นั่นมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า วิญญาณอาฆาต ภูตผี สัตว์ร้าย และสิ่งอื่น ๆ ที่ปกคลุมท้องฟ้าอยู่ล้วนถูกบดขยี้ ขจัด และชำระล้าง ไม่ต้องกล่าวถึงการหลบหนี พวกเขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะดิ้นรน!
แม้กระทั่งหลังจากที่แสงสีทองกระจายออกไป มันก็ยังบีบให้ไฮว่หมิงและเป่ยหวงตกใจจนถอยร่นครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะใช้เคล็ดวิชาเพื่อป้องกันตัวเอง!
แสงสีทองนี้มีแก่นแท้ของ ‘การทำให้บริสุทธิ์’ และมันต่อต้านความชั่วร้ายทั้งมวลได้ อีกทั้งยังมีพลังทำลายล้างต่อแสงแห่งบาปที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องป้องกันตัวไว้ก่อน
ในเวลาเดียวกัน เฉินซีก็สัมผัสได้ถึงแสงทองแห่งคุณธรรมที่สาดส่องอยู่ภายในแดนฮุ่นตุ้นของเขาอย่างชัดเจน ทำให้แดนฮุ่นตุ้นของชายหนุ่มบริสุทธิ์และมั่นคงยิ่งขึ้น มันถึงขนาดที่มีร่องรอยของรัศมีแห่งคุณธรรมและความสงบสุขตามธรรมชาติแผ่ออกด้วยซ้ำ!
ทันใดนั้น เฉินซีรู้สึกว่า ดวงจิตแห่งเต๋าของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นมาก และพลังงานลึกลับที่มองไม่เห็นในดวงจิตแห่งเต๋าก็เริ่มชัดเจน แม้ว่ามันจะยังอ่อนแรงมาก แต่หากได้พัฒนาตามอัตราความเร็วนี้ อีกไม่นานมันก็คงจะควบแน่นเป็น ‘พลังงานของดวงจิตแห่งเต๋า’ ได้!
มันเป็นพลังที่มาจากดวงจิตแห่งเต๋า ซึ่งลึกลับยิ่ง จนแม้แต่ตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวอย่างผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ ก็แทบจะไม่อาจเข้าถึงและบ่มเพาะมันได้ เพราะพลังนี้มองไม่เห็นและเข้าใจได้ยากเกินไป
เช่นเดียวกับเต๋าแห่งสวรรค์ที่เข้าใจได้ยาก ‘พลังงานของดวงจิตแห่งเต๋า’ นี้คล้ายกับตัวตนที่เข้าใจยากที่สุดนั้นเลยทีเดียว!
“ไม่นึกเลยว่า ข้าจะสามารถควบแน่นแสงสีทองแห่งคุณธรรม และทำให้ดวงจิตแห่งเต๋าของข้าแข็งแกร่งขึ้น หลังจากสังหารคนบาปเหล่านี้ …แม้แต่โอสถวิญญาณยังเทียบไม่ได้กับผลอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้!” เฉินซีดูราวกำลังครุ่นคิด
ในขณะนี้ พลังแห่งบาปที่ปกคลุมท้องฟ้าได้เลือนหายไปแล้ว สายตาของทุกคนในตำหนักต่างจดจ้องไปที่เฉินซี มันได้เปลี่ยนจากความประหลาดใจและความตกใจในตอนแรก มาเป็นการแสดงความเคารพอย่างสุดซึ้งแทน
เคล็ดวิชาทั้งหมดที่ชายหนุ่มคนนี้ใช้ ทั้งไม่น่าเชื่อและน่าสะพรึงยิ่ง ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรู้สึกเคารพนับถือ!
“ตอนนี้เจ้าทั้งคู่ยังมีเรื่องอันใดจะกล่าวอีกหรือไม่ หรือเจ้าทั้งคู่ต้องการรอกำลังเสริมของพวกเจ้าก่อน?” เฉินซีเงยศีรษะขึ้นอย่างกะทันหัน และสายตาที่ราวกับฟ้าแลบกำลังจ้องเขม็งไปยังไฮว่หมิงและเป่ยหวงที่อยู่ห่างออกไปไกลอย่างเย็นชา
ทั้งคู่ในขณะนี้ต่างมีสีหน้าที่ไม่แน่นอน ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก และพวกเขาก็ตระหนักดีว่า หากพวกตนอาศัยความแข็งแกร่งที่มี พวกเขาอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉินซี!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเด็กคนนี้ไร้ความปรานียิ่ง อีกทั้งยังแน่วแน่และไม่เกรงกลัวต่อภัยคุกคามทั้งปวง พวกเขาจึงลังเลเล็กน้อยว่าจะทำอย่างไรดี เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนที่ดื้อรั้นและเอาแต่ใจเช่นนี้
ในขณะนี้ เมฆสีม่วงได้ลอยมาจากขอบฟ้าไกล หากมองอย่างระมัดระวัง เมฆสีม่วงนี้ที่แท้แล้วถูกควบแน่นจากหยดเลือดสีม่วงจำนวนมาก อีกทั้งมันยังแผ่กลิ่นอายที่น่ากลัวและน่าสยดสยองอย่างยิ่งออกมา
ทันทีที่เมฆสีม่วงนี้ปรากฏขึ้น บรรยากาศทั่วทั้งฟ้าดินก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่โหดเหี้ยม ชั่วร้าย และเย็นยะเยือกอย่างยิ่ง ดูราวกับปีศาจที่เย็นชาและโหดเหี้ยมได้โผล่ออกมาจากขุมนรกสู่อาณาจักรแห่งสิ่งมีชีวิต!
“จื่ออวิ๋น เป็นหลวงจีนจื่ออวิ๋น!” เมื่อเห็นสิ่งนี้ จู่ ๆ สีหน้าของเวินเทียนซั่วก็กลายเป็นน่ากลัว และหัวใจของเขาที่แต่เดิมรู้สึกไม่สบายใจ ก็อดไม่ได้ที่จะอึดอัดอีกครั้ง เพราะหากไฮว่หมิงและคนอื่น ๆ คือปีศาจที่ยิ่งใหญ่ เช่นนั้นหลวงจีนจื่ออวิ๋นก็เป็นราชาปีศาจอย่างแน่นอน และเขาก็สุดแสนจะน่าสะพรึงกลัว!
แม้แต่ข้ารับใช้ชราสองคนที่อยู่ข้างหลังไป๋หลี่เยียนยังอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เมื่อพวกเขาเห็นเมฆสีม่วงที่แผ่ขยายออกไป และเป็นครั้งแรกที่คนทั้งคู่เผยให้เห็นใบหน้าตึงเครียด
ทันใดนั้น บรรยากาศก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ทุกคนต่างกังวลและหวาดกลัว!
“พี่ใหญ่จื่ออวิ๋น ในที่สุดท่านก็มาแล้ว!” ไฮว่หมิงและเป่ยหวงต่างรู้สึกยินดี เนื่องจากหลวงจีนจื่ออวิ๋นมีการบ่มเพาะในขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่ และความแข็งแกร่งของเขาก็น่ากลัวยิ่งเช่นเดียวกัน
ซึ่งจากอันดับที่สี่สิบเก้าในเทียบอันดับวายร้าย มันก็เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวขนาดไหน!!
และข้อเท็จจริงก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ หลวงจีนจื่ออวิ๋นผู้นี้ได้บ่มเพาะมาไม่ต่ำกว่าหมื่นปี และด้วยอุปนิสัยที่อำมหิตไร้ความปรานี จื่ออวิ๋นผู้นี้ยังเคยเข่นฆ่าล้างเมืองที่มีประชากรนับล้านไปหลายสิบแห่ง เพียงเพื่อขัดเกลาสมบัติวิเศษ ทำให้ตัวเขาเป็นดั่งจ้าวเหนือหัวในหมู่ผู้บ่มเพาะที่ชั่วร้ายและมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วโลกแห่งการบ่มเพาะ
หากไม่ใช่เพื่อการค้นหาสมบัติภายในภูเขาร้างเต๋านภา ไฮว่หมิงคงไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างหลวงจีนจื่ออวิ๋น!
“ฮ่า ๆ! ครั้งนี้ไม่เพียงมีข้ามาเยือนเท่านั้น แม้แต่สหายเต๋าฉือหยา และปรมาจารย์หวงเจียวก็มาด้วย” ทันใดนั้นเสียงหัวเราะอันอบอุ่นก็ดังขึ้นจากภายในกลุ่มเมฆสีม่วง
ครืน! ครืน!
พร้อมกับเสียงนี้ เมฆสีม่วงที่กว้างใหญ่ไพศาลพลันหดเล็กลงจนเผยให้เห็นร่างสามร่าง และผู้เป็นผู้นำคือหลวงจีนชราที่สวมเสื้อคลุมนักพรตเต๋าสีม่วง!
เขามีรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าที่โอบอ้อมอารีและเปี่ยมด้วยเมตตา มีรอยยิ้มประดับไม่เคยขาด ในมือถือแส้หางม้าที่มีสีขาวหิมะราวกับเงิน ทำให้ดูเหมือนกับปราชญ์ หาใช่จ้าวเหนือหัวในหมู่ผู้บ่มเพาะที่ชั่วร้ายไม่!
นักพรตฉือหยาและปรมาจารย์หวงเจียวก็อยู่เคียงข้างไม่ห่างไปนัก
ทั้งสองคนนี้เองก็มีชื่อเสียงฉาวโฉ่จนติดอันดับในเทียบอันดับวายร้ายเช่นกัน คนหนึ่งมาจากหุบเขาลี้ลับ และอีกคนมาจากมหาสมุทรประภาหยก
ความแข็งแกร่งของทั้งคู่เหนือกว่าไฮว่หมิงและเป่ยหวงนัก!!!
ดังนั้นทันทีที่ทั้งสามคนนี้ปรากฏตัวขึ้น บรรยากาศ ณ ตรงนี้ก็พลันบีบคั้นอย่างมาก สีหน้าของทุกคนต่างไม่น่าดูยิ่ง ซึ่งแม้แต่การหายใจก็รู้สึกทำได้ลำบากมากขึ้น
“คนหนึ่งอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่ ส่วนอีกสองคนอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสาม แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาดูจะทรงพลังยิ่งกว่าไฮว่หมิงและคนอื่น ๆ ดังนั้นการจัดการพวกเขาอาจจะตึงมืออยู่บ้าง…” เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองหลวงจีนจื่ออวิ๋นและคนอื่น ๆ ก่อนที่จะเบือนสายตาออก สีหน้าของเขานั้นสุขุมนุ่มลึก แม้ว่าจะรู้สึกว่ามันลำบาก แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด
ช่วงที่เฉินซีจะกลับไปยังนิกายก่อนหน้านี้ ในตอนนั้นเขายังกล้าที่จะต่อสู้กับเสวี่ยเหยียนและจับกุมนางได้สำเร็จ และตอนนี้ที่ตัวเขาได้เข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะภายในโลกแห่งดารามาเป็นเวลาสี่สิบปี รวมถึงขัดเกลาตัวเองในถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตอยู่ช่วงหนึ่ง ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มจึงมาถึงระดับที่ยากจะคำนวณ จึงไม่ต้องกล่าวถึงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่ เขากล้าต่อสู้แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้าด้วยซ้ำ!
เมื่อรวมกับยันต์ศัสตราในมือของชายหนุ่มที่มีความก้าวหน้าจนคุณภาพทัดเทียมได้กับสมบัติอมตะที่แท้จริง หลังจากที่มันดูดซับปราณต้นกำเนิดโกลาหล …ด้วยเหตุนี้ เหตุใดเขายังต้องกลัวผู้ครองบาปมหันต์เพียงไม่กี่คนอีกเล่า?
“โอ้? เป็นน้องชายคนนี้ที่ฆ่าสหายเต๋าหัวอี้ เสวี่ยเฟิง และไป๋คงงั้นหรือ? เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ” ในขณะเดียวกัน หลวงจีนจื่ออวิ๋นได้รู้เรื่องราวทุกอย่างจากไฮว่หมิง เขาจึงพินิจพิเคราะห์เฉินซีด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ “น้องชาย เมื่อพิจารณาถึงความยากลำบากในการบ่มเพาะของเจ้า ไยเจ้าถึงไม่ฟังข้าและจากไปเดี๋ยวนี้เล่า? ข้าขอรับประกันว่าจะไม่มีใครหยุดเจ้าอย่างแน่นอน!”
น้ำเสียงของชายชราฟังดูอบอุ่นเสียจนทำให้คนอื่นรู้สึกราวกับกำลังอาบด้วยสายลมที่พัดโชยในฤดูร้อน เขาดูจะไม่มีความตั้งใจที่จะแก้แค้นให้กับหัวอี้และคนอื่น ๆ เลย
ทว่าเมื่อคำกล่าวเหล่านี้กระทบโสตของทุกคนในตำหนัก มันกลับไม่ได้ด้อยไปกว่าเสียงฟ้าร้อง และทำให้สีหน้าของพวกเขาดูเคร่งเครียด เพราะหากเฉินซีจากไปเช่นนี้ แล้วพวกเขา…จะทำอย่างไร?
ทุกคนต่างจ้องมองไปที่เฉินซีอย่างพร้อมเพรียงกัน และแววตาของพวกเขาก็มีร่องรอยความคาดหวัง ราวกับคนที่กำลังจมน้ำตายและหวังคว้ามัดฟางช่วยชีวิต
“คงไม่สายที่ข้าจะจากไป หลังจากที่ตัดหัวเจ้าแล้ว!” เฉินซีตอบกลับอย่างเฉยเมย “นอกจากนั้น เจ้าควรเลิกใช้เล่ห์เหลี่ยมนั่นจะเป็นการดีสำหรับเจ้าที่สุด และอย่าให้ข้าต้องดูถูกเจ้าเลย”
เฉินซีจะไม่สามารถแยกแยะได้อย่างไรว่า แม้หลวงจีนจื่ออวิ๋นคนนี้ดูเหมือนจะตั้งใจปล่อยเขาไป แต่แท้จริงแล้ว อีกฝ่ายกลับต้องการทำลายจิตวิญญาณต่อสู้ของเขา และหากชายหนุ่มเลือกที่จะจากไป จิตวิญญาณต่อสู้ของเขาจะต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน ด้วยวิธีนี้ คู่ต่อสู้ของเขาจะฉวยโอกาสที่ว่า ซึ่งผลที่ตามก็คิดไม่ยากเลย!
“ฮ่า ๆ! เจ้าช่างกล้าหาญเสียจริง น้องชาย! หากเป็นเมื่อก่อน ข้าคงเห็นใจในพรสวรรค์ของเจ้าและคงรับเจ้าเป็นศิษย์ แต่น่าเสียดายที่เจ้าได้ฆ่าสหายเต๋าของข้าทั้งสามคน ดังนั้นข้าจึงได้แต่สังหารเจ้าซะ!!” หลวงจีนจื่ออวิ๋นยิ้มขณะที่เขากล่าวด้วยท่าทางที่โอบอ้อมอารี “แต่ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะสกัดวิญญาณของเจ้า และขัดเกลาให้เป็นสมบัติวิเศษของข้า แม้ว่าเจ้าจะต้องเจ็บปวดรวดร้าวทั้งวันทั้งคืน ก็ให้ถือว่าเป็นชะตาอันเป็นนิรันดร์แล้วกัน”
หัวใจของทุกคนเย็นวาบเมื่อได้ยินสิ่งนี้ หลวงจีนจื่ออวิ๋นคนนี้ดูโอบอ้อมอารีและมีเมตตา อีกทั้งเขาก็กล่าวอย่างอบอุ่นและเป็นกันเองเช่นกัน แต่ความหมายภายในคำพูดนั้นช่างโหดร้าย ไร้ความปรานี และทำให้ทุกคนเย็นวาบไปถึงสันหลัง!
“เจ้าคู่ควรที่จะกล่าวเรื่องโชคชะตากับข้าด้วยหรือ?” ทันใดนั้น เฉินซีก็เริ่มหัวเราะ ก่อนที่เขาจะยื่นมือออกไปเพื่อตวัดยันต์ศัสตรา
โอม!
เสียงคำรามของกระบี่ที่สั่นสะเทือนท้องฟ้าพลันดังก้องออกมา มันเหมือนกับเสียงคำรามของมังกรที่พุ่งผ่านสวรรค์และโลก!!