บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 795 ศัตรูมาถึงหน้าประตู
บทที่ 795 ศัตรูมาถึงหน้าประตู
บทที่ 795 ศัตรูมาถึงหน้าประตู
สีหน้าของเวินเทียนซั่วและเวินหัวเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
คำพูดของเฉินซีทำให้พวกเขาเข้าใจในที่สุดว่า ทาสรับใช้ที่ต่ำต้อยตรงหน้า ได้กลายเป็นที่โปรดปรานของเฉินซีในทางใดทางหนึ่ง และชายหนุ่มก็ต้องการรับเขาเป็นศิษย์!!
“เพราะเหตุใด!?” เวินหัวร้องออกมาด้วยความกระวนกระวาย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ผู้อาวุโส ข้าเวินหัวนั้นไม่ได้ยอดเยี่ยมกว่าข้ารับใช้ผู้นี้หรือ? ไม่ว่าจะพรสวรรค์ ครอบครองทักษะร่างดาราทองคำ หรือสถานะ ข้าก็เป็นอ๋องน้อยของตำหนักอ๋องเวิน ส่วนการบ่มเพาะ แม้ว่าข้าจะยังเด็ก แต่ข้าก็บรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเมื่อนานมาแล้ว เหตุใดท่านจึงเลือกทาสรับใช้เป็นศิษย์ แต่กลับไม่เลือกข้า?”
ก่อนหน้านี้ เขาคุกเข่าลงด้วยความตั้งใจที่จะยอมรับเฉินซีเป็นอาจารย์ต่อหน้าธารกำนัล แต่กลับถูกอีกฝ่ายเพิกเฉย ทำให้เปลวไฟแห่งโทสะสุมอยู่ในใจ มาตอนนี้ เมื่อได้เห็นว่าเฉินซีรับทาสรับใช้ที่ต่ำต้อยเป็นศิษย์ เวินหัวจึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ และระบายความคับข้องใจออกมาจนหมด
แน่นอนว่าเวินหัวไม่กล้าถามเฉินซีตรง ๆ ดังนั้นน้ำเสียงและสีหน้าของเจ้าตัวจึงดูเศร้าโศกอย่างมาก เหมือนกับเด็กหนุ่มที่กำลังบ่นทั้งน้ำตาพร้อมกับพยายามอ้อนวอนตัดพ้อ
เด็กที่ร้องไห้มักจะได้ขนม
ในฐานะอ๋องน้อยของตำหนักอ๋องเวิน เวินหัวได้รับการเลี้ยงดูจากบิดาของเขาตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้ความคิดและสติปัญญาของเจ้าตัวเหนือกว่าคนธรรมดา ดังนั้นเวินหัวจึงเข้าใจสิ่งนี้อย่างลึกซึ้ง
แต่โชคไม่ดี เล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อยเหล่านี้ จะรอดพ้นจากสายตาของเฉินซีได้อย่างไร?
และยิ่งอีกฝ่ายทำเช่นนี้ เขาก็ยิ่งไม่ชอบใจมากขึ้น เพราะเวินหัวอายุยังน้อย แต่กลับเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม ดังนั้นแล้วมันจะเป็นอย่างไรเมื่อคนคนนี้เติบใหญ่ขึ้น?
บางทีคนเช่นนี้อาจกลายเป็นทรราชที่มีอำนาจเรียกลมเรียกฝน แต่เวินหัวคนนี้เห็นแก่ตัวและโหดเหี้ยมเกินไป ดังนั้นเมื่อผลประโยชน์ถูกทำลาย อีกฝ่ายย่อมนึกถึงตัวเองเป็นอันดับแรก และไม่สนใจคนอื่น
ซึ่งเพื่อประโยชน์ของตัวเขาเอง ก็อาจเป็นไปได้มากที่เวินหัวจะละทิ้งความกรุณาจากคนอื่น มิตรภาพ หรือความสัมพันธ์ในครอบครัว และกลายเป็นคนที่ไม่รู้คุณคน
เฉินซีไม่ชอบคนแบบนี้ และเขาก็หวังเช่นกันว่าศิษย์ของเขาจะไม่กลายเป็นคนแบบนั้น
เมื่อเห็นเฉินซีนิ่งเงียบ เวินเทียนซั่วพลันรีบกล่าวด้วยรอยยิ้มทันทีว่า “ผู้กล้าแซ่เฉิน ท่านก็เห็นแล้ว บุตรชายของข้าจริงใจอย่างยิ่งที่จะกราบท่านเป็นอาจารย์ของเขา แล้ว…”
เฉินซีโบกมือขัดจังหวะเวินเทียนซั่ว ก่อนที่อีกฝ่ายจะกล่าวจบเสียอีก “อ๋องน้อยนั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ และแน่นอนว่าเขาย่อมสามารถเข้าร่วมหนึ่งในสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ด้วยพลังของตัวเองได้แน่นอน”
เมื่อคนทั้งคู่ได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของเวินเทียนซั่วและเวินหัวเปลี่ยนสี
“แต่ข้าได้กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว แม้ว่าคนที่ข้าเลือกจะมีพรสวรรค์ที่ด้อยกว่า แต่ข้าก็จะเลี้ยงดูเขาอย่างสุดความสามารถของข้า ทว่าหากเป็นคนที่ข้าไม่ได้เลือก แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นปราชญ์แต่กำเนิด มันผู้นั้นก็เป็นเหมือนขยะสำหรับข้า …ที่ไร้ซึ่งความหมายใด”
คำพูดต่อไปนี้ที่เฉินซีกล่าว ทำให้สีหน้าของบิดาบุตรคู่นั้นแข็งทื่อ ด้วยพวกเขาไม่อยากเชื่อว่าเฉินซีจะปฏิเสธออกมาตรง ๆ
แต่เสิ่นเหยียนกลับรู้สึกโล่งใจ กระทั่งเกิดความรู้สึกชื่นชมและขอบคุณเฉินซีมากขึ้น
“ผู้อาวุโส ท่านช่วยบอกเหตุผลให้ข้าทราบได้หรือไม่?” เวินหัวสูดหายใจลึกและยังคงไม่พอใจ เขาจึงเอ่ยถามช้า ๆ
เฉินซีขมวดคิ้ว แล้วไม่สนใจเด็กหนุ่มอีก ก่อนจะพาเสิ่นเหยียนกลับเข้าไปในห้อง
“เพราะเหตุใด? หรือว่าข้าเวินหัวไร้ค่ายิ่งกว่าทาสรับใช้ต่ำต้อยในสายตาของเจ้า!” เวินหัวระเบิดอารมณ์ออกมาเมื่อเห็นสิ่งนี้ เขากัดฟันแน่น ขณะที่เข้าขวางทางตรงหน้าของเฉินซี ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่พอใจ
เฉินซีพลันหันกลับไปมองที่เวินเทียนซั่ว
ซึ่งเวินเทียนซั่วก็รีบดึงเวินหัวกลับมาเมื่อเห็นสิ่งนี้ จากนั้นเขาก็ตวาดว่า “หุบปาก! จงแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสของเจ้าซะ!”
เอี๊ยด!
ประตูห้องพลันปิดลงในจังหวะนั้นเอง
เวินหัวรู้สึกหดหู่เมื่อเห็นสิ่งนี้ และรู้ดีว่าตนเองไม่มีโอกาสได้เป็นศิษย์ของเฉินซีอีกต่อไป
…
ภายในห้องพักที่สวยงามและโอ่อ่า
เวินเทียนซั่วและเวินหัวนั่งเผชิญหน้ากันด้วยสีหน้าเศร้าหมองอย่างยิ่ง
“เจ้าทาสรับใช้บัดซดนั่น! มันกล้าชิงวาสนาของข้าไป ข้าจะฆ่ามัน! จะฆ่ามันให้จงได้!” ในอาณาเขตของเขา เวินหัวเลิกเสแสร้ง และคำรามด้วยความโกรธออกมา
ที่หว่างคิ้วของเวินเทียนซั่วเองก็เต็มไปด้วยโทสะเช่นกัน วาสนาของบุตรชายเขากลับถูกทาสรับใช้ในตำหนักแย่งชิงไป จึงทำให้เขาโกรธแค้นเช่นกัน และถ้าไม่ใช่เพราะพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่เฉินซีได้เปิดเผยก่อนหน้านี้ เจ้าตัวคงเผากระดูกของทาสรับใช้และโปรยขี้เถ้าของมันทิ้งไปนานแล้ว
“และเจ้าแซ่เฉินคนนั้นอีก เขาดูถูกคนอื่นและไม่สนใจข้าครั้งแล้วครั้งเล่า เขาคิดว่าตนเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่เสียจริง ๆ เมื่อข้าโตขึ้น ข้าจะต้องแก้แค้นอย่างแน่นอน!” ใบหน้าที่หล่อเหลาของเวินหัวเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ในขณะที่สายตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เผยความเกลียดชังที่มีต่อเฉินซีออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“พอได้แล้ว!” เวินเทียนซั่วขมวดคิ้วและตบหน้าเวินหัว ทำให้ใบหน้าของเด็กหนุ่มบวมปูดขึ้นมา และเลือดก็ไหลออกมาจากมุมปากของอีกฝ่าย
การกระทำเช่นนี้ทำให้เวินหัวรู้สึกยากจะเชื่อ และจ้องมองไปยังบิดาของเขาอย่างว่างเปล่า เพราะหากจำไม่ผิด นับตั้งแต่ยังเด็กนี่เป็นครั้งแรกที่บิดาของเขาทุบตีตัวเขา!
“โง่บัดซบ! เจ้าไม่รู้หรือว่าเภทภัยมาจากปากของเจ้าเอง!?” เวินเทียนซั่วตวาดอย่างดุเดือด “คงไม่สายที่จะกล่าวคำเหล่านี้ เมื่อเจ้าเติบใหญ่แล้ว ดังนั้นหุบปากเดี๋ยวนี้จะดีกว่า มิฉะนั้น ข้าจะเป็นคนแรกที่จะทำให้เจ้าพิการ หากยังกล้าพูดจาไร้สาระอีก!”
เวินหัวอดไม่ได้ที่จะสั่นด้วยความกลัว และเขาก็พึมพำหลังจากผ่านไปนาน “แต่ข้ายอมรับไม่ได้!”
แปะ! แปะ! แปะ!
ในขณะนี้ เสียงปรบมือพลันดังออกมาจากนอกห้อง ในเวลาเดียวกัน เสียงที่ได้ดังก้องออกมา “เป็นเรื่องดีถ้าเจ้าจะไม่พอใจ หากเจ้าไม่มีความกล้าแม้แต่จะโกรธหลังจากถูกปฏิเสธ เจ้าก็เป็นแค่ขยะ!!”
“ผู้ใดกัน!?”
ใบหน้าของเวินเทียนซั่วและเวินหัวกลายเป็นน่ากลัว ขณะที่พวกเขายืนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
นี่คือพื้นที่ภายในตำหนักที่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา และถูกปกคลุมอย่างหนาแน่นด้วยค่ายกลนับไม่ถ้วน ทว่าตอนนี้กลับมีใครบางคนเข้ามาใกล้อย่างไร้สุ้มเสียง และเขาไม่ได้สังเกตมันด้วยซ้ำ!
โดยเฉพาะเวินเทียนซั่วที่มีสีหน้าหนักใจมาก ด้วยตัวเขาอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพี แต่กลับไม่อาจสังเกตเห็นว่ามีใครเข้ามา ดังนั้นการบ่มเพาะของคนผู้นี้จะต้องน่ากลัวเพียงใดกัน?!
เสียงยังคงก้องอยู่ในอากาศเมื่อประตูห้องนี้ถูกเปิดจากทางด้านนอก
หลังจากนั้นกลุ่มคนก็เข้ามาในรวดเดียว คนที่เป็นผู้นำคือหญิงงามในชุดคลุมงามงดซึ่งปักด้วยรูปวิหคอมตะ และตามมาด้วยกลุ่มคนที่เป็นเหมือนหมู่ดาวล้อมรอบดวงจันทร์ที่สว่างไสว
หญิงงามคนนี้มีรูปลักษณ์ที่หมดจดและงดงาม รูปร่างสูงสง่า ผิวของนางอ่อนละมุน โปร่งแสง และเป็นผลึก มีจุดแต้มสีแดงอยู่ที่หว่างคิ้ว ในขณะที่ดวงตาของหญิงสาวเป็นสีฟ้า ทำให้นางมีความงามที่พิเศษยิ่ง
นี่คือโฉมสะคราญอย่างไม่มีใครเทียบได้!
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับเวินเทียนซั่วก็คือ กลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังหญิงสาวกว่าสิบคน ซึ่งล้วนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี!
ส่วนสิ่งที่ทำให้เขาตกใจที่สุดก็คือ แค่ชายชราในชุดดำที่ผอมแห้งเหมือนต้นไผ่เหลือบมองตนเองเล็กน้อย เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสั่นในหัวใจ ด้วยความแข็งแกร่งของชายชราในชุดดำนั้นสามารถอธิบายได้ง่าย ๆ ว่า… ไม่อาจหยั่งถึง!
หญิงงาม ชายชราในชุดดำ และผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีกว่าสิบคน จู่ ๆ กลุ่มคนดังกล่าวก็เข้ามาในยามวิกาลอย่างกะทันหัน ซึ่งใคร ๆ ก็พอจะจินตนาการได้ถึงความตกใจที่พวกเขาสร้างขึ้นได้
สีหน้าของทั้งเวินเทียนซั่วและเวินหัวในตอนนี้กลายเป็นซีดเผือด คนทั้งคู่ต่างยืนตัวแข็งทื่อ ด้วยรู้สึกตื่นตระหนก
ถึงอย่างไร พลังอำนาจที่เป็นตัวแทนของคนกลุ่มนี้ก็น่าตกใจเกินไป และมันน่าตกใจยิ่งกว่าหลวงจีนจื่ออวิ๋นและผู้ครองบาปมหันต์อีกเจ็ดคน
“ท่านอ๋อง อย่าได้ตื่นตระหนก พวกเรามาจากนิกายวิถีกระแสสวรรค์ ข้ามีนามว่าเหลิ่งฉานเอ๋อร์ ซึ่งเป็นศิษย์สายหลักของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ เรามาเยือนตำหนักที่โดดเด่นของท่าน ในครั้งนี้เพราะเรามีเรื่องที่ไม่ธรรมดา ซึ่งเราต้องการร่วมมือกับท่านอ๋อง เพื่อทำให้สำเร็จลุล่วง”
หลังจากที่พวกเขาเข้ามาในห้อง หญิงงามผู้นั้นพลันกล่าววาจาออกมา และประกาศชื่อนิกายของนางด้วยสีหน้าเฉยเมย ด้วยท่าทางสุขุมนุ่มลึก
“นิกายวิถีกระแสสวรรค์!”
เวินเทียนซั่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก นี่เป็นหนึ่งในสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ และผู้ครองบาปมหันต์เหล่านั้นไม่สามารถเทียบได้ ดังนั้นคนกลุ่มนี้คงไม่ได้คิดร้ายต่อพวกเขาทั้งคู่
แต่หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ ‘ที่พวกเขาเดินทางมาในครั้งนี้ เพราะเห็นแก่แผนที่สมบัติภูเขาร้างเต๋านภา ที่อยู่ในความครอบครองของข้าใช่หรือไม่?’
แต่แม้จะคิดเช่นนี้ในใจ แต่เวินเทียนซั่วก็รีบเรียกความสำรวมคืนมาได้บ้างแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบเชิญให้พวกเขานั่งลง ก่อนที่จะสั่งให้ผู้เป็นบุตรชายคอยรินน้ำชาให้พวกเขาด้วยตัวเอง จากนั้นจึงกล่าวด้วยความเคารพว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าขอทราบสิ่งที่คุณหนูและคนอื่น ๆ ต้องการร่วมมือกับข้าได้หรือไม่?”
เขาเห็นแล้วว่า แม้ว่าการบ่มเพาะของเหลิ่งฉานเอ๋อร์จะอยู่ที่ขอบเขตสถิตกายาเท่านั้น แต่นางก็เป็นคนสำคัญของกลุ่มนี้และคล้ายกับเป็นผู้นำ
นับประสาอะไรกับนางที่เป็นตัวแทนของหนึ่งในสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่อย่างนิกายวิถีกระแสสวรรค์ ในขณะที่เขาเป็นแค่อ๋องตัวเล็ก ๆ ในแคว้นหวงเหลียง นอกจากนี้ ความห่างชั้นของผู้เยี่ยมยุทธ์เซียนปฐพีระหว่างกองกำลังทั้งสองฝ่ายนี้ก็แตกต่างกันมาก ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอ่อนน้อมถ่อมตนและให้ความเคารพ
“เหตุผลนั้นง่ายมาก …ฆ่าคน!” เหลิ่งฉานเอ๋อร์ตอบอย่างเฉยเมย
“โอ้?” เวินเทียนซั่วรู้สึกโล่งใจ เพราะไม่เป็นอะไร ตราบเท่าที่พวกเขาไม่มาแย่งชิงแผนที่สมบัติก็พอ “ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามได้หรือไม่ว่า เป็นผู้ใดที่กล้าล่วงเกินนิกายวิถีกระแสสวรรค์ คนผู้นี้เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?”
“คนผู้นั้นมีนามว่าเฉินซี” เหลิ่งฉานเอ๋อร์มองเวินเทียนซั่วอย่างลึกซึ้ง “ท่านอ๋องคงเคยได้ยินชื่อนี้กระมัง?”
“เฉินซี?” เวินเทียนซั่วรู้สึกตกใจและกล่าวว่า “นั่นคือศิษย์อันดับหนึ่งของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ดูเหมือน… ดูเหมือน…” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เหมือนเวินเทียนซั่วจะตระหนักได้ถึงบางอย่างในทันใด และร้องออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ “หรือว่าผู้กล้าหนุ่มแซ่เฉินคนนั้น คงไม่ใช่เฉินซีกระมัง!?”
เหลิ่งฉานเอ๋อร์พยักหน้า และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ถูกต้อง เรามาเพื่อฆ่าเขา”
เวินเทียนซั่วเป็นใบ้ไปแล้ว “คนผู้นั้นคือเฉินซีจริง ๆ หรือ?!” ชื่อนี้เป็นดั่งเสียงฟ้าร้องที่ดังก้องอยู่ในหูของเขา!
คนผู้นี้ก่อให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในเหวเงาทมิฬ สังหารเยี่ยนสือซาน เอาชนะศิษย์ระดับสูงของเขาวิญญาณนิรันดร์ และการกระทำอันยิ่งใหญ่ต่าง ๆ ที่สั่นสะเทือนโลก ล้วนเกิดจากน้ำมือของเฉินซี ดังนั้นเวินเทียนซั่วจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้ได้อย่างไร?
สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงเลยก็คือ เฉินซีได้ปรากฏตัวอยู่ในตำหนักของตนจริง ๆ และเขาก็จำเฉินซีไม่ได้!
บุตรชายของเขาเกือบจะได้เป็นศิษย์ของเฉินซีแล้ว!
ในเวลาเดียวกัน ในที่สุดเวินเทียนซั่วก็เข้าใจว่า เหตุใดเหลิ่งฉานเอ๋อร์และคนอื่น ๆ ถึงมาที่นี่ ถึงอย่างไร ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเฉินซีกับนิกายวิถีกระแสสวรรค์ก็ได้เป็นที่ล่วงรู้ของทุกคนในโลกแห่งการบ่มเพาะมานานแล้ว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เวินเทียนซั่วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นทุกข์ในใจ ‘เหตุใดข้าถึงถูกพัดพาอยู่ในความขัดแย้งระหว่างนิกายกระบี่เก้าเรืองรองและนิกายวิถีกระแสสวรรค์กันหนอ?’
เขารู้ดีว่า เมื่อเปรียบเทียบกับยักษ์ใหญ่ทั้งสองนี้แล้ว ตำหนักอ๋องของเขาก็ไม่ต่างอะไรจากมดปลวก และข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย จะทำให้ตำหนักของตนถูกทำลายในทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย!
ในขณะนี้ เวินเทียนซั่วไม่ต้องการสิ่งใด นอกจากหวังว่าเหลิ่งฉานเอ๋อร์และคนอื่น ๆ มาที่นี่เพื่อแผนที่สมบัติ เพราะอย่างน้อยที่สุด ตัวเขาก็อาจจะพอได้รับผลประโยชน์บางอย่าง แต่ถ้ามาเพื่อฆ่าเฉินซี…
ไม่ว่าเฉินซีจะเสียชีวิตหรือไม่ก็ตาม ตำหนักของเขาก็คงยากจะอยู่ยืนหยัดอยู่ต่อไปได้!
‘ข้าควรทำอย่างไรดี?’ ใบหน้าของเวินเทียนซั่วนั้นขุ่นมัวและไม่แน่นอน ในขณะที่เขาพยายามดิ้นรนในหัวใจ
“อย่าได้กังวล ท่านอ๋อง ข้ารับประกันว่าตราบใดที่ท่านเห็นด้วยกับสิ่งนี้ บุตรชายของท่านจะเป็นศิษย์ของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ของข้า แม้ว่าในเวลานั้นนิกายกระบี่เก้าเรืองรองจะต้องการแก้แค้น แต่มันก็ย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อบุตรชายของเจ้าแน่”
เหลิ่งฉานเอ๋อร์รอคอยอย่างเงียบงัน เพื่อให้เวินเทียนซั่วพิจารณาอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่ริมฝีปากสีแดงของนางจะแยกออกเบา ๆ และกล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “สำหรับท่านอ๋อง ท่านสามารถเข้าร่วมนิกายวิถีกระแสสวรรค์ของข้าได้ แม้ว่าเจ้าจะไม่สามารถดำรงตำแหน่งระดับสูงได้ แต่การไต่เต้าเพื่อตำแหน่งผู้อาวุโสนั้นเป็นสิ่งที่ง่ายดายมาก”