บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 8 รูปปั้นเทพเจ้าฝูซี[1]
บทที่ 8 รูปปั้นเทพเจ้าฝูซี*[1]
บทที่ 8 รูปปั้นเทพเจ้าฝูซี*[1]
“ตราประทับกายาอันแท้จริงที่นายท่านของข้าทิ้งไว้ ถูกเรียกว่ารูปปั้นเทพเจ้าฝูซี ภายในรูปปั้นบรรจุไปด้วยความหยั่งรู้ถึงความลับอันมากมายของแก่นแท้แห่งเต๋าของนายท่าน ด้วยการรำลึกและทำความเข้าใจมันอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่จะช่วยให้จิตวิญญาณของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นในแต่ละวันที่ผ่านไป ทว่ายังเป็นประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจแก่นแท้แห่งเต๋าด้วยและที่สำคัญที่สุด เนื่องจากตัวเจ้ามีตราประทับกายาอันแท้จริง เหตุนี้เจ้าจึงสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาการขัดเกลากายาชั้นสูงสุด: เคล็ดวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพได้”
ก่อนที่เฉินซีจะทันได้กล่าว จี้อวี๋ดูเหมือนจะอ่านความคิดของเฉินซีออกแล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “ย้อนกลับไปในยุคบรรพกาล ทุกคนคิดว่านายท่านของข้าได้สังเกตแผนภาพวารีหลากเพื่ออนุมานความหมายอันลึกซึ้งที่อยู่เบื้องหลังวัฏจักรความลับของสรวงสวรรค์ ให้เข้าใจแก่นแท้แห่งพลังเต๋าและขึ้นสู่ขอบเขตสูงสุดของการบ่มเพาะ ดังนั้นจึงไม่อาจมีผู้ใดล่วงรู้ว่าตัวนายท่านนั้นได้บรรลุสู่จุดสูงสุดก่อนที่เขาจะเริ่มสังเกตแผนภาพวารีหลากด้วยซ้ำ ดังนั้นแล้วแค่เพียงเคล็ดวิชาการขัดเกลากายาของเขาอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะสามารถก่อตั้งนิกายของตนเองให้รุ่งโรจน์ไปได้หลายชั่วอายุคน”
“แต่ช่างน่าเสียดายที่นายท่านของข้าได้จากเร็วเกินไปเหลือเกิน และคงเหลือเพียงเคล็ดวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพไว้เพียงเบื้องหลังเท่านั้น”
จี้อวี๋นิ่งเงียบลงหลังจากที่มันกล่าวจบ ดูเหมือนว่ามันจะจมอยู่ในห้วงความทรงจำอันไม่รู้จบ และก็ได้แต่ทอดถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ
เฉินซีค่อย ๆ แยกแยะเรื่องราวที่จี้อวี๋ได้เปิดเผยเมื่อสักครู่ หัวใจของเขาพองขึ้นราวกับคลื่นทะเลซัดสาด ชายหนุ่มลืมเลือนวิธีการพูดไปชั่วขณะ ทันใดนั้นเขาก็นึกสงสัยบางสิ่งจึงได้กล่าวถามว่า “ท่านผู้อาวุโส ข้าได้ยินมาว่า เคหานี้มีสำเนาคัดลอกของแผนภาพวารีหลากถูกซ่อนอยู่ มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
จี้อวี๋ขมวดคิ้วและจ้องมองไปยังเฉินซี จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แปลกหูว่า “แม้แต่ตอนนี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ? นายท่านของข้าได้หลงเหลือตราประทับกายาอันแท้จริงไว้ หลังจากสังเกตแผนภาพวารีหลากเพื่อทำความเข้าใจถึงความลับของสรวงสวรรค์ กล่าวได้ว่าเมื่อตัวเจ้านั้นได้รับตราประทับกายาอันแท้จริง ก็เปรียบเหมือนตัวเจ้าเข้าถึงแก่นแท้ของแผนภาพวารีหลากแล้วไยเล่าถึงต้องดิ้นรนเสาะหาอีก?”
เฉินซีตระหนักได้ในทันใด สำเนาคัดลอกแผนภาพวารีหลากเป็นเพียงแค่ข่าวลือ เศษเสี้ยวแก่นอันแท้จริงของแผนภาพวารีหลากนั้นได้ถูกเก็บซ่อนไว้ภายในตราประทับกายาอันแท้จริงของนายท่านแห่งเคหาบ่มเพาะนี้แล้ว
เฉินซีได้แต่คิดในใจ ‘ในเมื่อตัวข้าได้รับมันมาโดยบังเอิญแล้ว หลังจากนี้ข้าพึ่งพามันเพื่อให้ได้มาซึ่งแผนภาพวารีหลากที่แท้จริงในภายภาคหน้า!’
“เอาล่ะ ข้าบอกเจ้าถึงทุกสิ่งที่ตัวข้าได้รับรู้ไปแล้ว เจ้ายังคงมีคำถามอันใดหรือไม่?” จี้อวี๋ส่ายศีรษะมังกรของมันและมีท่าทีที่เป็นมิตร เห็นได้ชัดว่าตัวมันนั้นยอมรับเฉินซีเป็นผู้สืบทอดที่คู่ควรกับเสื้อคลุมของเจ้านายมันแล้ว
“ข้า…” เฉินซีอ้าปาก แต่ตระหนักได้ว่า มีคำถามมากเกินไปที่จะถาม และไม่รู้ว่าควรเริ่มจากถามคำถามใดก่อนดี?
จี้อวี๋อดไม่ได้ที่จะเริ่มให้คำชี้แนะ “ขณะนี้เจ้ายังอ่อนแออยู่มาก กายเนื้อของเจ้าก็เปราะบาง ข้าคิดว่าคงไม่มีเหตุอันตรายอันใดหากเจ้าจะริเริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพ เมื่อการขัดเกลากายาและปราณภายในจนย่างก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล เจ้าน่าจะสามารถผ่านการทดสอบขั้นที่หนึ่งของบททดสอบสรวงสรรค์เพื่อรับรางวัลที่เหมาะสม ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้นขณะนี้เจ้าอย่าเพิ่งไปใส่ใจให้วุ่นวาย”
เฉินซีกล่าวขึ้นด้วยความตื่นตระหนกว่า “แต่ตัวข้ายังไม่รู้เลยว่าเคล็ดวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพซ่อนอยู่แห่งหนใด ดังนั้นจะบ่มเพาะได้อย่างไร?”
จี้อวี๋ไม่ได้แสดงท่าทีอันใดและกล่าวว่า “ข้าจะมอบให้ก่อนที่เจ้าจะจากไป เจ้ายังคงมีคำถามอันใดหรือไม่? ถ้าไม่มีข้าจะมอบเคล็ดวิชานี้และส่งเจ้าออกไปเสีย”
“ช้าก่อน ท่านผู้อาวุโส” เฉินซีรีบกล่าว “ท่านพูดก่อนหน้านี้ว่า ข้าจะได้รับรางวัลที่เหมาะสมเมื่อตัวข้าสามารถผ่านขั้นที่หนึ่งของบททดสอบสรวงสรรค์ สิ่งนั้นคืออันใดหรือ”
จี้อวี๋ส่ายศีรษะ “ตัวข้านั้นเป็นเพียงวิญญาณพิทักษ์ของเคหาแห่งนี้มิอาจรู้ถึงทุกสิ่งอันใด อย่างไรก็ตาม ข้ารู้อยู่เรื่องหนึ่งว่าเมื่อเจ้าผ่านการทดสอบขั้นที่หนึ่ง กระแสเวลาในนี้กับโลกภายนอกจะแปรเปลี่ยนไม่เท่ากัน เจ้าใช้เวลาฝึกฝนในนี้สามวัน แต่เวลาภายนอกนั้นจะดำเนินไปเพียงแค่หนึ่งวัน ดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการบ่มเพาะแก่ตัวเจ้า”
พลังควบคุมการแปรเปลี่ยนของกาลเวลา?
เฉินซีสูดลมหายใจลึก เรื่องนี้สั่นสะท้านใจของเขาเป็นอย่างมาก ด้วยตัวช่วยที่เลิศล้ำขนาดนี้มันจะทำให้เขามีความสามารถเพียงพอจะท้าทายสวรรค์เลย!
เมื่อได้ลองไตร่ตรอง ฝึกฝนในที่แห่งนี้เป็นเวลาสามวัน เท่ากับเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งวันในโลกภายนอก นั่นไม่เท่ากับว่าข้าได้ฝึกฝนมากกว่าผู้อื่นถึงสองวันเลยหรือ? ถ้าข้าฝึกฝนอยู่ที่นี่ทุกวันนั้นย่อมหมายถึง…?
เมื่อยิ่งไตร่ตรองถึงสิ่งนี้ เฉินซีก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นจนถึงระดับที่เริ่มผวาในใจว่าเขาจะไม่สามารถแบกรับความประหลาดใจอันน่ายินดีเช่นนี้ได้ ตอนนี้เขาอยู่ขั้นที่สามของขอบเขตก่อกำเนิด อีกทั้งตัวเขายังอาศัยอยู่ในเมืองหมอกสนตั้งแต่ยังเยาว์ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่ายังมีสิ่งที่สามารถควบคุมแปรเปลี่ยนกาลเวลาในโลกใบนี้ได้?
“ถ้าเจ้าสามารถผ่านบททดสอบขั้นที่สองของบททดสอบสรวงสรรค์ การอยู่ที่นี่เก้าวันก็เปรียบได้กับหนึ่งวันในโลกภายนอก เมื่อผ่านขั้นที่สามจะถูกขยายเป็นแปดสิบเอ็ดวัน และแน่นอนเมื่อยิ่งผ่านบททดสอบไปได้เรื่อย ๆ รางวัลในภายภาคหน้าก็จะทวีคูณในลักษณะนี้ต่อไป ตราบใดเมื่อเจ้าผ่านไปถึงขั้นที่สิบแปด เจ้าก็จะสามารถฝึกฝนอยู่ที่นี่ได้ตามแต่ต้องการเพราะเวลาสำหรับโลกภายนอกนั้นจะถูกแช่แข็งอย่างสมบูรณ์”
จี้อวี๋กล่าวต่อราวกับว่ามันลืมนึกถึงจิตใจของเฉินซีไปโดยสิ้นเชิง “แต่เจ้าอย่าเพิ่งมีความสุขเร็วเกินไป ระดับที่หนึ่งของบททดสอบสรวงสรรค์นั้นหาได้ผ่านพ้นง่ายดาย ด้วยการบ่มเพาะในปัจจุบันของเจ้า การเข้ารับการทดสอบตอนนี้ก็ไม่ต่างกับรนหาที่ตาย เจ้าควรใส่ใจในการบ่มเพาะและฝึกฝนอย่างหมั่นเพียรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เจ้าทำได้ในภายนี้”
เฉินซีสงบใจลงอย่างรวดเร็วและตระหนักได้ว่า การฝึกฝนร่างกาย และการขัดเกลาปราณภายในจะต้องบรรลุถึงขั้นขอบเขตตำหนักอินทนิลเสียก่อน จึงจะผ่านด่านทดสอบขั้นที่หนึ่งได้ แล้วบททดสอบขั้นที่สองเล่า? จะต้องบ่มเพาะถึงขั้นใดกัน? แม้กระทั่งขั้นที่สามต่อมา ขั้นที่สี่… จนถึงขั้นที่สิบแปด ข้าจะผ่านพ้นมันไปได้อย่างไร? การฝึกฝนที่หนักหน่วงนั้นย่อมได้รับผลตอบแทนที่ดี ถ้าข้าไม่ฝึกฝนอย่างทรหดอดทน และคอยคิดแต่ยืมความแข็งแกร่งจากภายนอก ตัวข้าจะกลายเป็นผู้บ่มเพาะที่แท้จริงได้อย่างไร?
ความปรารถนาและจิตสำนึกที่วอกแวกก่อให้เกิดมารกัดกร่อนภายในใจ ถ้าข้ายังคงคิดที่จะหันไปใช้ทางลัดสำหรับทุกสิ่ง ข้าคงไม่มีวันได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งความเป็นอมตะ!
เมื่อมาถึงจุดนี้ เฉินซีก็ฟื้นคืนสติจากความตะลึงและความตื่นเต้นที่มิอาจอธิบายได้ก่อนหน้านี้ และสังเกตเห็นว่าร่างกายของเขานั้นเปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่ออันเยียบเย็น เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังจี้อวี๋ เขากลับสังเกตเห็นว่ากิเลนตัวนี้กำลังจ้องมองเขาอย่างจดจ่อ ราวกับว่ามันสามารถมองทะลุถึงความคิดทั้งหมดภายในจิตใจของเขาอย่างแจ่มชัด สิ่งนี้ทำให้เฉินซีไม่อาจหยุดยั้งความรู้สึกอันน่าอับอายได้
“นายท่านของข้าเคยกล่าวไว้ว่ามีแต่ผู้ที่มีหัวใจที่ชัดเจนและแน่วแน่จึงจะสามารถรู้แจ้งเกินขอบเขตความเข้าใจของปุถุชนและข้ามไปยังสู่จุดสูงสุดของแก่นแท้แห่งเต๋า เฉินซีเจ้าจงอย่าได้ล้มเหลวต่อความคาดหวังที่นายท่านของข้ามีให้”
จี้อวี๋ก้าวขึ้นไปบนก้อนเมฆอย่างกะทันหัน และตะโกนขึ้นไปยังท้องฟ้าด้วยเสียงที่ราวกับฟ้าผ่าลั่นดังกึกก้องและระเบิดกังวาน ภายในขอบเขตของสวรรค์และโลก เขาหนึ่งอันที่อยู่บนศีรษะของมันได้ชี้ไปยังทิศทางของเฉินซีก่อนที่ประกายแสงห้าสี จะพุ่งเข้าหาเฉินซีอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าและหายลับเมื่อมันเข้าสู่ร่างกายของเขา
การมองเห็นของเฉินซีกลายกลับเป็นม่านหมอกอันมืดทมิฬและในทันใดนั้น เขาก็ปรากฏตัวขึ้นภายในห้องของเขาดังเดิม
“สิ่งที่ท่านแม่กล่าวนั้นเป็นความจริง ตอนนี้ไม่เพียงแต่ข้าจะได้รับการยอมรับจากจิตวิญญาณพิทักษ์เคหา แต่ยังได้รับสืบทอดตราประทับกายาอันแท้จริงที่นายท่านแห่งเคหาบ่มเพาะเหลือทิ้งไว้ ตัวข้ายังได้เศษเสี้ยวแก่นแท้ของแผนภาพวารีหลากมาทางอ้อมอีกด้วย ตราบใดที่ข้าขยันหมั่นเพียรในการบ่มเพาะ ข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างแน่นอน!” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึก ขณะที่เขามองดูสิ่งที่คุ้นเคยทั้งหมดภายในห้องของเขา
เมื่อไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เข้าสู่ห้วงทะเลแห่งจิตสำนึก และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความอัศจรรย์อีกครั้ง ขณะที่เขาจ้องมองไปยังรูปปั้นเทพเจ้าฝูซีที่เปล่งรัศมีอันยิ่งใหญ่และลึกล้ำออกมา
‘เฝ้าสังเกตแผนภาพวารีหลากจนสามารถพัฒนาเต๋าให้เกี่ยวข้องกับวัฏจักรแห่งความลับของสรวงสวรรค์ได้ จากนั้นจึงขึ้นสู่จุดสูงสุดของมหาเต๋า สรุปแล้วผู้อาวุโสเจ้าเคหาแท้จริงแล้วคือฝูซี? อยากรู้จริงว่าเขาบรรลุขอบเขตบ่มเพาะถึงขั้นใดแล้ว?’
หลังจากเฝ้ามองอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาเนิ่นนานเฉินซีก็เอื้อมมือไปคว้าลำแสงทั้งห้าสีที่ลอยล่องอยู่ตรงหน้าเขา ลำแสงนี้ถูกมอบมาโดยจี้อวี๋ ให้มาอยู่ภายในห้วงทะเลจิตสำนึกของเขา มันควรจะเป็นเคล็ดวิชาการขัดเกลากายาขั้นสูงสุดที่นายท่านแห่งเคหาบ่มเพาะเหลือทิ้งไว้เบื้องหลังซึ่งก็คือเคล็ดวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพ!
ฟุบ!
ทันทีที่ปลายนิ้วของเฉินซีสัมผัสกับเส้นแสงทั้งห้าสี มันก็แปรเปลี่ยนเป็นดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่กระจายออกในทันใด หากพินิจให้ดีดาวเหล่านั้นประกอบขึ้นด้วยตราประทับของตัวอักษรโบราณที่มีขนาดเท่าฝ่ามืออย่างน่าประทับใจ เหล่าตราประทับเต็มไปด้วยแสงระยิบระยับที่สวยงามและเจิดจ้า ราวกับว่าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ปลิวไสวไปในอากาศและเปี่ยมด้วยเสน่หาอันน่าพิศวง
“จงควบแน่น!” ทุ้มเสียงท่วงทำนองที่ชัดและเบาต่างดังขึ้นในทันใด ถ้อยคำเผยให้เห็นรัศมีอันสง่างามและควบคุมโลกทั้งใบ ทำให้คนๆ หนึ่งยอมก้มหัวและเทิดทูนขึ้นในภายใจโดยไม่รู้ตัว
โดยไม่ทันรอให้เฉินซีรู้ถึงที่มาของเสียง อักขระที่สวยงามก็พลิ้วไหว ลอยละล่องเรียงแถวกันอย่างกะทันหัน จากนั้นรวมตัวกันเป็นงานเขียนอันเป็นระเบียบ ตัวอักษรแต่ละตัวต่างเปล่งแสงชัดเจน!
เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองและจิตใจของเขาก็เริ่มกระสับกระส่าย เนื่องจากเส้นสายของตัวอักษรนั้นลึกซึ้งยากต่อการเข้าใจ เป็นดั่งกระแสน้ำไหลทะลักเข้าสู่จิตใจของเขา จนมิอาจแยกแยะจากกันได้
“มันคือเคล็ดวิชาการขัดเกลากายาแปลงดาราสังหารเอกภพจริง ๆ ช่างเป็นเคล็ดลับการขัดเกลากายาที่แปลกประหลาดล้ำลึก!”
หลังจากที่เฉินซีอ่านมันอย่างรวดเร็ว หัวใจของเขาก็เกิดความตระหนกอย่างไม่รู้จบ เป้าหมายของเคล็ดวิชานี้คือการดึงพลังงานอันมหาศาลของดาราจักรมาขัดเกลากายา! ภายในโลกใบนี้ จะมีเคล็ดวิชาขัดเกลาเยี่ยงนี้คงอยู่จริงหรือ?
โลกแห่งการบ่มเพาะนี้มีการแบ่งประเภทผู้บ่มเพาะอยู่อย่างชัดเจนสองแบบ ผู้บ่มเพาะภายในและผู้บ่มเพาะภายนอก ผู้บ่มเพาะภายนอกนั้นคือผู้บ่มเพาะสายขัดเกลากายา ซึ่งมักถูกดูถูกจากผู้บ่มเพาะสายอื่น เนื่องจากผู้คนที่เลือกเส้นทางแห่งการขัดเกลากายานั้นล้วนแต่เป็นผู้ไร้ซึ่งเงินทองและไร้หนทาง พวกเขาต่างขัดเกลากายาด้วยการเป็นคนงานในเหมืองหินที่ใช้แรงงานไม่ต่างจากกรรมกร
ดังนั้นแล้วเมื่อการขัดเกลากายานั้นยากลำบากและเจ็บปวดเกินไป และเงื่อนไขสำหรับการก้าวหน้าก็ยากเข็ญจนยากจะทานทน ผู้คนที่ฐานะพอมีอันจะกินจึงเลือกเส้นทางแห่งการเป็นผู้บ่มเพาะภายในซึ่งก็คือการบ่มเพาะร่างกายด้วยการโคจรปราณวิญญาณเข้าสู่ภายในร่างกาย แต่ทว่าวิธีการนี้แม้จะต้องพึ่งพาต่อพรสวรรค์โดยกำเนิด แต่ตราบใดที่ฝึกฝนอย่างขยันหมั่นเพียร มันก็นับว่าเป็นเส้นทางที่ง่ายกว่าการขัดเกลากายา ดังนั้นแล้วผู้คนจำนวนมากจึงเลือกที่จะไม่สนใจเส้นทางแห่งการขัดเกลากายา
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือแม้ว่าพรสวรรค์โดยกำเนิดของคนผู้นั้นจะย่ำแย่ แต่ตราบใดที่มุ่งเดินบนเส้นทางแห่งการขัดเกลาปราณวิญญาณภายใน เขาก็จะได้รับงานที่สะดวกสบายและน่านับถือภายในเมืองหมอกสนได้อย่างภาคภูมิ เช่นเป็นนักพฤกษศาสตร์ที่เลี้ยงสมุนไพรวิญญาณ นักหลอมโอสถวิญญาณ นักฝึกอสูร พ่อครัววิญญาณที่ปรุงอาหารรสเลิศ เหล่าเด็กฝึกหัดในโรงช่างและร้านค้าปลีกที่เชี่ยวชาญด้านการประดิษฐ์ยันต์อักขระ การปรับปรุงยุทธภัณฑ์ ซึ่งทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมาล้วนดีกว่าการขัดเกลากายาเยี่ยงแรงงานทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นการได้รับการปฏิบัติ สถานะทางสังคม หรือรายได้ที่จะได้รับ
ตัวเฉินซีนั้นอาศัยอยู่ภายในชุมชนแออัดของเมืองหมอกสนตั้งแต่เขายังเด็กและได้เห็นผู้ขัดเกลากายาจำนวนมากที่เป็นกรรมกร ดังนั้นชายหนุ่มจึงเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่ชัดเจนอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้เองที่เขาไม่เคยนึกถึงหนทางแห่งขัดเกลากายา
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้เห็นความลึกซึ้งของเคล็ดวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพด้วยตาของตัวเอง เฉินซีก็เปลี่ยนใจไปอย่างสิ้นเชิง
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นอกจากการประดิษฐ์ยันต์และการขัดเกลาปราณภายในแล้ว ข้ายังต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพอีกด้วย ดังนั้นเวลาที่ข้าใช้จึงถูกบีบคั้นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่สามารถช่วยให้ข้าแข็งแกร่งขึ้นได้ สิ่งเหล่านี้ก็ย่อมคุ้มค่าที่จะลงมือ” เฉินซีครุ่นคิดและวางแผนอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็นึกถึงบางสิ่งในทันใด ตามที่ผู้อาวุโสจี้อวี๋กล่าว ตราประทับกายาอันแท้จริงที่นายท่านแห่งเคหาบ่มเพาะเหลือทิ้งไว้จะทำให้จิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันมีเศษเสี้ยวแก่นแท้ของแผนภาพวารีหลากสถิตอยู่ ซึ่งสามารถใช้ตามหาแผนภาพวารีหลากแท้จริงที่ถูกซ่อนไว้ได้…
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะ ‘ผู้อาวุโสฝูซีเฝ้าสังเกตแผนภาพวารีหลากจนเข้าถึงแก่นแท้แห่งเต๋า แต่นั่นเป็นเพราะว่าความแข็งแกร่งของเขาได้บรรลุไปถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัวมาเนิ่นนานแล้ว ในขณะที่การบ่มเพาะของข้ายังคงติดอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิด แม้ว่าข้าอาจจะโชคดีได้รับแผนภาพวารีหลากมา แต่ก็เกรงว่าข้าจะไม่สามารถแยกแยะสิ่งใดออก และมันจะไม่ส่งผลอะไรต่อข้านอกจากภัยอันตรายที่จะย่างกรายเข้ามา ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนย่อมคือเพิ่มระดับการบ่มเพาะของตนเองให้เร็วที่สุด’
เฉินซีรู้สึกเพียงว่าขณะนี้ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉง และเมื่อตั้งสติได้ชายหนุ่มก็เห็นว่าท้องฟ้ามีแสงระยิบระยับของยามรุ่งสางแล้ว เขาก็ไม่อาจที่จะนอนอยู่บนเตียงได้อีกต่อไป หลังจากล้างหน้าอย่างเร่งรีบ เฉินซีก็วางแผนที่จะปลุกน้องชายของเขาให้ลุกขึ้นเพื่อฝึกกระบี่ แต่แล้วเขาสังเกตเห็นว่าร่างของน้องชายของเขาหายไปจากห้องนานแล้ว
เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะวิตกในใจ ‘ยังเช้าอยู่เลย… น้องชายของข้าไปที่แห่งใด?’
เฉินซีเดินออกจากบ้านและไม่พบเห็นร่างของเฉินฮ่าวซึ่งควรจะฝึกกระบี่อยู่ในลานบ้าน เขาก็อดไม่ได้ที่จะกังวล ตั้งแต่น้องชายของเขาพิการที่แขนขวา เฉินฮ่าวก็แทบไม่ออกจากบ้านอีกเลยและทุกครั้งที่ออกไป เฉินฮ่าวจะแจ้งให้ทราบทุกครั้ง แล้ววันนี้เกิดเหตุอันใดขึ้น?
ในขณะเดียวกัน ซีซีก็วิ่งเข้ามาที่ลานบ้านและรีบโบกมือเล็ก ๆ ของนางเมื่อนางสังเกตเห็นเฉินซี นางร้องออกมาในขณะที่หอบหายใจอย่างรุนแรง “พี่เฉินซี เฉินฮ่าวกำลังต่อสู้กับใครสักคนท่านรีบไปดูเถิด!”
หัวใจของเฉินซีเต้นระรัวก่อนจะถามออกไป “ซีซี เกิดเรื่องขึ้นที่ใดกัน!?”
เด็กหญิงตอบกลับอย่างร้อนรน “ที่สำนักกระบี่ดารานภา! ท่านแม่บอกให้ข้ามาแจ้งแก่ท่าน ส่วนท่านแม่ตอนนี้ได้รุดไปก่อนล่วงหน้าแล้ว”
ที่สำนักกระบี่ดารานภาหรือ? เฉินซีกัดฟันแล้วครุ่นคิดอยู่ภายในใจ
[1] ฝูซี เป็นวีรบุรุษในตำนานและเทพนิยายจีน ผู้เป็นคนริเริ่มการสร้างมนุษยชาติและประดิษฐ์การล่าสัตว์ การตกปลาและการทำอาหาร