บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 807 แท่นบวงสรวงเต๋า
บทที่ 807 แท่นบวงสรวงเต๋า
บทที่ 807 แท่นบวงสรวงเต๋า
เวินเทียนซั่วนั้นเป็นอ๋องผู้สง่าผ่าเผย เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสอง และเป็นอ๋องของดินแดนแห่งนี้ แต่กลับต้องมาคุกเข่าลงบนพื้นและโค้งคำนับด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ราวกับหนอนน้อยที่น่าสมเพช หากสิ่งนี้เป็นที่ล่วงรู้ของผู้คน ขากรรไกรของพวกเขาจะต้องค้างอย่างแน่นอน
แต่เฉินซีไม่ได้หวั่นไหว เขารู้สึกว่าชายคนนี้ดูไร้ยางอายเกินไปและเป็นพวกไม่มีกระดูกสันหลัง กระทั่งตอนนี้ อีกฝ่ายยังคงปัดความรับผิดชอบและผลักความผิดทั้งหมดไปให้นิกายวิถีกระแสสวรรค์ ดังนั้นเฉินซีจึงสงสัยว่าคนเช่นนี้สามารถบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีได้อย่างไร?
“ผู้กล้าเฉิน โทษของข้าสมควรตาย แต่ข้าสาบานต่อสวรรค์ว่า ตั้งแต่ต้นจนจบ ข้าไม่มีเจตนาทำร้ายท่านอย่างแน่นอน ข้าหวังว่าท่านจะยอมปล่อยข้าไป” เวินเทียนซั่วอ้อนวอนด้วยสีหน้าสลดและน้ำเสียงที่น่าสงสาร “แม้ท่านจะเห็นว่าขุมสมบัติของตำหนักเต๋านภาอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ตราบใดที่ท่านปล่อยข้าไป ข้ายินดียกขุมสมบัติทั้งหมดให้กับท่าน”
“ข้าจะได้รับขุมสมบัติทั้งหมดเช่นกัน หลังจากที่ฆ่าเจ้าแล้ว” สีหน้าของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง พลางกล่าวอย่างเฉยเมย “อันที่จริง ข้าตั้งใจจะฆ่าเจ้าและแขวนศพของเจ้าไว้ที่กำแพงเมืองวารีเมฆา เพื่อประจานให้ผู้คนรับรู้…”
ก่อนที่เขาจะกล่าวจบ สีหน้าของเวินเทียนซั่วก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ในขณะที่เขาร้องออกมา “แล้วผู้กล้าเฉินตั้งใจจะไว้ชีวิตข้าตอนนี้หรือ?”
เฉินซีส่ายศีรษะ “เจ้าไม่อาจหลีกหนีหายนะที่เกิดจากน้ำมือของตัวเองได้”
เวินเทียนซั่วมีสีหน้าสยดสยองพลางพึมพำซ้ำแล้วซ้ำเล่า “หรือนี่จะเป็นความน่าสังเวชของคนที่ไร้พลัง? ข้าไม่อาจล่วงเกินนิกายวิถีกระแสสวรรค์ แต่ข้าก็ไม่ยอมสยบต่อนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเจ้า…”
ในขณะที่กล่าว ทันใดนั้นเจ้าตัวก็พุ่งจากพื้นดิน ฟาดฝ่ามือที่คมดุจกระบี่ไปยังตันเถียนของเฉินซีอย่างดุร้าย
การโจมตีนี้อาจกล่าวได้ว่าฉับพลัน และป้องกันได้ยาก หากเป็นผู้อื่น ก็คงไม่คาดคิดว่าเวินเทียนซั่วจะจู่โจมในเวลานี้ ยิ่งกว่านั้น การลงมือของเขาทั้งเด็ดเดี่ยว ไร้ความปรานี เด็ดขาดและปราศจากความลังเล ทำให้มันแฝงแก่นแท้ของการลอบสังหาร
แต่เฉินซีดูจะคาดการณ์เรื่องนี้มานานแล้ว ทันทีที่เวินเทียนซั่วลงมือ ฝ่ามือขวาของชายหนุ่มก็เหวี่ยงลงมาดุจขุนเขาบดขยี้ จากนั้นเขาก็ฟาดใส่ใบหน้าของเวินเทียนซั่วอย่างแรง
ศีรษะของเวินเทียนซั่วถูกฟาดจนระเบิดเหมือนผลแตงโม ทำให้มวลสมองกระเด็นไปทั่ว อีกทั้งแขนที่เพิ่งยกขึ้นก็อ่อนแรงลงจากกลางอากาศ จากนั้นร่างของอีกฝ่ายก็ร่วงลงกับพื้นจนเกิดแรงกระเทือน
การโจมตีนี้ได้ทำลายแก่นวิญญาณและร่างกายของคนผู้นี้จนหมดสิ้น ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
“ข้ารู้ว่าในฐานะอ๋อง เจ้าจะยอมรับชะตากรรมของตัวเองอย่างง่ายดายได้อย่างไร น่าเสียดายที่เจ้ายังคงต้องตายในที่สุด เจ้าไม่อาจตำหนิใครได้นอกจากตนเอง สำหรับการตอบแทนความเมตตาด้วยความมุ่งร้าย” เฉินซีส่ายศีรษะก่อนจะมองไปยังผนังรอบ ๆ ห้องโถง
ห้องโถงนี้ว่างเปล่าและไม่มีการตกแต่งแม้แต่น้อย มีเพียงผนังทั้งสี่ด้านที่ยังแสดงภาพวาดมากมาย เช่น ทิวทัศน์ ดอกไม้ นก แมลง ปลา ดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงดาวและอื่น ๆ อีกมากมาย
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ แกนกลางของภาพวาดเหล่านี้ถูกใครบางคนดึงออกไป และเหลือเพียงภาพวาดทิวทัศน์บางส่วน
หากมองจากภายนอก มันก็แยกแยะได้ยากว่ามันมีค่าหรือไม่
เฉินซีพลันนึกถึงภาพวาดของกษัตริย์ผู้เฒ่าที่อ่านคัมภีร์ ภาพวาดเต่าทมิฬเขย่าพิภพ ภาพวาดมังกรและพยัคฆ์ในรูปแบบของหยินกับหยาง และสิ่งอื่น ๆ ที่เวินเทียนซั่วกล่าวถึง จึงทำให้เขาพึมพำออกมาว่า…
“หรือจะเป็นอย่างที่เขากล่าวจริง ๆ… มีคนเคยมาที่นี่ก่อน และคนผู้นั้นได้เก็บกวาดสิ่งของมีค่าทุกอย่างในห้องโถงนี้ไปแล้ว?”
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะจ้องมองไปยังปลายสุดของห้องโถง เขาจึงพบว่าที่นั่นมีประตูอยู่ และตามบันทึกของแผนที่สมบัติ เส้นทางเดียวที่นำไปสู่ขุมสมบัติคือประตูบานนี้
ฟิ้ว!
จากนั้นเฉินซีก็กลายเป็นลำแสงและพุ่งตรงไปที่ประตูโดยไม่รอช้าอีกต่อไป
หลังจากเข้าประตูไป สิ่งแรกที่เข้าตาเขาก็คือทะเลสาบ มันใหญ่โตและมีน้ำใสสะอาด กอปรด้วยดอกบัวมากมายที่ลอยอยู่บนนั้น โดยดอกบัวเหล่านี้มีใบสีแดงเข้มซึ่งลุกโชนเหมือนเปลวเพลิง และเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งสวรรค์ แต่ถึงกระนั้นดอกบัวกลับถูกใครบางคนเด็ดไปนานแล้ว
“บงกชแดงริ้วเปลวเพลิง สิ่งนี้เป็นสมบัติล้ำค่าแห่งฟ้าดิน และดอกบัวเพียงดอกเดียวก็เทียบได้กับสมบัติกึ่งเซียน ทว่าดอกบัวมากมายกลับถูกเด็ดไปหมดแล้ว…” เฉินซีขมวดคิ้ว จากนั้นเขาก็เดินผ่านทะเลสาบ ซึ่งสามารถมองเห็นสวนแห่งหนึ่งได้
…ภายในสวนนี้มีดินที่อุดมสมบูรณ์และเต็มไปด้วยปราณเซียนที่หนาแน่นจนทิ่มแทงใบหน้า นอกจากนี้ยังมีวัตถุวิญญาณและโอสถวิญญาณหลายชนิดที่เปล่งประกายด้วยแสงเรืองรองจาง ๆ
ที่นี่น่าจะเป็นสวนสมุนไพร และเต็มไปด้วยยาอายุวัฒนะล้ำค่ามากมายที่หาได้ยากในโลก ซึ่งบางชนิดก็สูญพันธุ์ไปแล้วในโลกภายนอก เช่น หญ้าฟื้นฟูวิญญาณวังวนม่วง ดอกเนรตทองคำจุดเงิน และอื่น ๆ อีกมากมาย แม้แต่ในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง สวนสมุนไพรเช่นนี้ก็หาได้ยาก และหากมีอยู่จริง มันย่อมได้รับการปกป้องอย่างใกล้ชิดเป็นแน่
ทว่าโอสถวิญญาณและสมุนไพรวิญญาณภายในสวนสมุนไพรแห่งนี้ กลับเผยให้เห็นสัญญาณแห่งการเหี่ยวเฉา ไม่ว่าจะผล ดอก ลำต้นหรือรากที่ล้ำค่าอย่างน่าทึ่ง ทุกสิ่งกลับถูกเก็บเกี่ยวไปจนหมด และเหลือไว้เพียงความยุ่งเหยิงเท่านั้น
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฉินซีก็นิ่งเงียบและเดินหน้าต่อไป
ระหว่างทาง เขาเห็นตำหนักสูงตระหง่านและเก่าแก่มากมาย บางส่วนเป็นโถงโอสถทิพย์ โถงศัสตราสมบัติ โถงคัมภีร์ โถงสำหรับฝึกการต่อสู้ และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ละแห่งล้วนวิจิตรงดงามอย่างยิ่ง และเต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณอันเคร่งขรึม
แต่โถงเหล่านี้ส่วนใหญ่ว่างเปล่าและเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง มันเหมือนกับถูกกลุ่มโจรโลภมากปล้นสะดม ขุดรื้อลงไปในดินถึงสี่ฉื่อ และกวาดทุกสิ่งจนไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่
“ดูเหมือนจะมีใครบางคนมาถึงก่อนข้าจริง ๆ วิธีการของคนผู้นี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก เขาไม่หลงเหลือสิ่งใดที่น่าสนใจให้กับข้าเลยด้วยซ้ำ…” ไม่ว่าเฉินซีจะนิ่งสงบสักเพียงใด สีหน้าของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเศร้าหมอง หลังจากได้เห็นภาพเหล่านี้
ในตอนนี้ชายหนุ่มแน่ใจแล้วว่า สถานที่แห่งนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับตำหนักเต๋านภา และมันอาจจะเป็นสถานที่ที่นิกายตั้งอยู่เสียด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ทุกสิ่งกลับถูกใครบางคนกวาดไปจนหมด แล้วเขาจะไม่รู้สึกหดหู่ใจได้อย่างไร?
ถึงอย่างไร ตำหนักเต๋านภาก็เป็นหนึ่งในสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่เมื่อหลายหมื่นปีก่อน! แล้วสมบัติที่หลงเหลืออยู่จะน่าตกตะลึงปานใด?
มันย่อมมากมายนับไม่ถ้วน!
เพียงมองไปที่นิกายกระบี่เก้าเรืองรองในปัจจุบัน ในฐานะสุดยอดกองกำลังในแดนภวังค์ทมิฬ ซึ่งมีสมบัติและมรดกมากมายมหาศาล มันก็คงจะไม่ได้เกินจริงหากจะกล่าวว่า มันกว้างใหญ่เหมือนมหาสมุทรและหนาแน่นดุจแม่น้ำแห่งดวงดาว
ถึงขนาดที่เฉินซีกล้ากล่าวอย่างมั่นใจว่า หากรวมสมบัติทั้งหมดที่เขาเห็นระหว่างที่มาที่นี่เข้าด้วยกัน มันก็เพียงพอจะสร้างกองกำลังที่ยิ่งใหญ่และก่อตั้งนิกายได้!
ไม่ต้องกล่าวถึงเขา แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ หรือคนที่เป็นประมุขนิกายซึ่งมากด้วยอำนาจ ก็คงจะบ้าคลั่งหากเห็นสิ่งนี้
“โชคดีที่นี่เป็นเพียงพื้นที่รอบนอกเท่านั้น และขุมสมบัติที่แท้จริงของตำหนักเต๋านภาอาจยังไม่ถูกค้นพบ อีกทั้งกุญแจเข้าสู่ขุมสมบัติก็ยังอยู่ในการครอบครองของข้า” ขณะที่คิดเช่นนี้ ความหดหู่ในใจของเฉินซีก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก
เฉินซีไม่ลังเลอีกต่อไปและหยุดค้นหาทันที จากนั้นเขาก็พุ่งตรงไปยังพื้นที่ด้านในตามเส้นทางในแผนที่สมบัติอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป หากยึดตามความเร็วของเฉินซีในตอนนี้ อย่างน้อยเขาก็ได้บินมาราวหลายหมื่นลี้ ก่อนจะมาถึงกลุ่มอาคารเก่าแก่โบราณ
นี่คือตำแหน่งสุดท้ายที่บันทึกไว้ในแผนที่สมบัติ
เฉินซีกวาดสายตามองและพบว่า รอบ ๆ อาคารเหล่านี้ถูกปกคลุมด้วยข้อจำกัดที่ไร้รูปร่าง ซึ่งแยกมันออกจากโลก และมันก็เหมือนกับจุดจบของโลกที่ไม่มีเส้นทางให้มุ่งต่อไป
ข้อจำกัดเช่นนี้น่ากลัวมาก มันดูเหมือนกำแพงมิติที่แบ่งแยกโลกนี้ออกจากกัน และยังเชื่อมโยงกับกฎแห่งเต๋าสวรรค์นับไม่ถ้วน จนแม้แต่ผู้เป็นเซียนสวรรค์ก็ยังพบว่ามิอาจพิชิตมันได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับเฉินซี
ฟิ้ว!
เฉินซีบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและมองลงมาด้านล่าง ทันใดนั้น เขาก็ได้เห็นทิวทัศน์ที่น่าตกใจอย่างยิ่ง
มีตำหนักโบราณแปดหลังอยู่ในวงกลม และตั้งอยู่ตามตำแหน่งของแผนผังก่อนฟ้า ตำหนักโบราณทุกแห่งเผยให้เห็นค่ายกลที่แตกต่างกัน และพวกมันสอดประสานกันจากระยะไกลเพื่อปกป้องบริเวณโดยรอบ
มีแท่นบวงสรวงอยู่สี่แท่น ณ ใจกลางตำหนักทั้งแปด แท่นบวงสรวงถูกสร้างขึ้นจากหินปูนทั้งหมด พวกมันมีรูปลักษณ์เหมือนเจดีย์โบราณที่ใช้บวงสรวงสวรรค์ โดยต่างตั้งอยู่ในตำแหน่งของสี่สัญลักษณ์ และปกป้องบริเวณโดยรอบ
มีแม่น้ำสองสายไหลผ่านระหว่างแท่นบวงสรวงทั้งสี่ มันเหมือนกับมังกรสองตัวที่บรรจบกัน เหมือนหยินกับหยางหมุนเวียน ทำให้ภายในพื้นที่แห่งนี้มีความลึกล้ำแฝงอยู่ ซึ่งสอดประสานกับตำแหน่งของสี่สัญลักษณ์และแผนผังก่อนฟ้าจากภายนอก
หากเป็นเช่นนี้ สิ่งก่อสร้างที่กว้างใหญ่นี้ก็ไม่ถือว่างดงามเกินไป มันเป็นเพียงองค์ประกอบที่ธรรมดามากและมีขนาดเล็กเท่านั้น
แต่ที่เฉินซีประหลาดใจก็คือ ‘แม่น้ำหยิน’ สายนี้ไหลตัดผ่านแท่นบวงสรวงทั้งสี่และอยู่บนตำแหน่งวารีในธาตุทั้งห้า ในขณะที่ ‘แม่น้ำหยาง’ ตัดกับตำหนักทั้งแปดเพื่อสอดรับกับตำแหน่งศูนย์กลางในตำหนักทั้งเก้าของแผนผังก่อนฟ้า
เนื่องจากการไหลเวียนของแม่น้ำหยินและหยาง องค์ประกอบที่แต่เดิมธรรมดามาก กลับทำให้บรรยากาศภายในกลุ่มอาคารทั้งหมดวิเศษ มันทั้งยิ่งใหญ่ งดงาม และมีความลึกล้ำที่พัฒนาอย่างไร้ขอบเขต ทำให้ดูเหมือนว่ามันกำลังโอบรับโชคชะตาของโลกไว้
แม้จะมีความรู้ในเต๋าแห่งยันต์อักขระ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจเมื่อได้เห็นฉากนี้ เช่น ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของการใช้ค่ายกลถึงขีดสุดและสอดประสานกับฟ้าดินเช่นนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้โลกตกตะลึงแน่นอน
แต่ไม่ว่ามันจะเป็นตำหนัก แท่นบวงสรวง หรือแม่น้ำหยินหยาง พวกมันล้วนแต่พิจารณาได้ว่าเป็นองค์ประกอบภายนอกเท่านั้น และแท่นบวงสรวงเต๋าที่อยู่ตรงกลางเป็นแกนหลักที่แท้จริงของค่ายกล!
“ช่างอัศจรรย์! รายละเอียดเพียงเล็กน้อยกลับบอกเล่าทุกสิ่งได้อย่างยอดเยี่ยม! ตำหนักเต๋านภามีคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดาและเหนือล้ำในเต๋าแห่งยันต์อักขระ ข้าสงสัยว่าเหตุใดกองกำลังดังกล่าวถึงหายไปในชั่วข้ามคืน หากกล่าวตามเหตุผล ยิ่งบรรลุเต๋าแห่งยันต์อักขระมากเท่าใด ก็ยิ่งมีความรู้ในการไหลเวียนของชะตาสวรรค์ลึกซึ้งมากขึ้น นอกจากการทำนายอนาคตและคาดเดาโชคชะตาแล้ว อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็สามารถเปลี่ยนภัยพิบัติให้กลายเป็นพรอันประเสริฐได้”
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่อาจเข้าใจได้ ดังนั้นเขาจึงส่ายศีรษะและพุ่งผ่านตำหนักทั้งแปดเพื่อบินตรงไปยังแท่นบวงสรวงเต๋าที่ตั้งอยู่จุดศูนย์กลาง
แท่นบวงสรวงเต๋านี้โบราณและธรรมดา พวกมันครอบคลุมพื้นที่เพียงหนึ่งร้อยยี่สิบจั้ง และเต็มไปด้วยรอยกะดำกะด่างที่เกิดจากการกัดกร่อนของกาลเวลา แต่เมื่อเฉินซียืนอยู่ท่ามกลางพวกมัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงบรรยากาศที่หนักอึ้งและเคร่งขรึม
ชายหนุ่มราวกับจะเห็นนักพรตเต๋ากำลังนั่งบำเพ็ญเพียรอยู่บนเบาะทำสมาธิด้วยสีหน้าไร้กังวลและกำลังถ่ายทอดเต๋า บรรดาศิษย์ที่อยู่ใกล้เคียงล้วนนั่งหรือยืนอย่างไร้กังวล พวกเขากำลังครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ ราวกับจมอยู่ในห้วงความคิด หรือไม่ก็ยิ้มแย้มสดใส…
“มหาเต๋านั้นไร้รูปร่าง ไร้นาม ไร้เหตุผล และไร้ซึ่งความสนใจ พวกที่หลงทางอยู่ในนั้นถือว่าสวรรค์เป็นเต๋า ความเป็นอมตะคือเต๋า และกฏคือเต๋า ถ้ากระนั้น สิ่งใดอยู่นอกสวรรค์ อยู่เหนือความเป็นอมตะ และอยู่ในกฎ?”
“มนุษย์แสวงหาเต๋าไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบชั้นดิน แต่มันกลับไม่ได้อยู่ในนั้น ความเป็นอมตะหรือความเป็นมรรตัยนั้นอยู่ในใจของทุกคนเท่านั้น หากมีปัญญาอยู่ในใจ ทุกสิ่งในโลกล้วนมีเต๋า และจักรวาลอันไร้ขอบเขตจะเป็นเพียงเม็ดทรายเมื่อทุกที่ที่ใจมุ่งไป”
คลื่นเสียงที่ยิ่งใหญ่เสมือนระฆังแว่วมากระทบข้างหูของเฉินซีอย่างแผ่วเบา ซึ่งกระตุ้นความคิดและชี้ตรงไปยังหัวใจ ทำให้ชายหนุ่มพลันตกตะลึง