บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 810 โซ่ตรวนสวรรค์จองจำเต๋า
บทที่ 810 โซ่ตรวนสวรรค์จองจำเต๋า
บทที่ 810 โซ่ตรวนสวรรค์จองจำเต๋า
กุญแจนภามีความยาวประมาณหนึ่งฉื่อ มีสีฟ้าสว่างดั่งท้องฟ้ายามแจ้ง พื้นผิวของมันปกคลุมไปด้วยยันต์อักขระลึกลับมากมาย ขณะเดียวกันก็เปล่งประกายด้วยแสงสีฟ้าซึ่งเจิดจรัสยิ่ง
ในตอนนั้นเอง เจ้าหมีทองตัวน้อยได้ใช้มันเป็นกระบี่ เมื่อฟันลงไป กุญแจทั้งดอกพลันปะทุลำแสงวับวาวขึ้นมาในทันใด เพียงชั่วพริบตา ฝ่ามือนั้นก็ถูกโจมตีเข้าโดยตรง!
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังก้อง ในขณะที่ฝ่ามือสีเทาแห่งความตายซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายปรโลกค่อย ๆ สลายตัวไปพร้อมกับเสียงกัมปนาท ลอยสลายไปกับความว่างเปล่า
เฉินซีมองภาพตรงหน้าด้วยใจที่หวาดหวั่น เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า เจ้าหมีขนทองตัวนี้จะแข็งแกร่งถึงขนาดที่สามารถจัดการกับพลังแห่งบาปซึ่งแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพก็ยังไม่สามารถต้านทานได้ ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ฟึ่บ!
ยังไม่ทันที่เฉินซีจะหายตกใจ เจ้าหมีน้อยตัวนั้นก็กลายเป็นลำแสงพาดผ่าน มันปรากฏตัวอีกครั้งที่ด้านหน้ากระท่อม ก่อนจะสร้างผนึกกำแพงเรืองแสงเป็นชั้น ๆ ขึ้นบนอุ้งมือ
อักขระยันต์ลึกลับนับไม่ถ้วนหลั่งไหลออกมาจากอุ้งมืออันนุ่มนิ่ม มันปิดผนึกช่องว่างเล็ก ๆ ที่ปรากฏขึ้นบนประตูอีกครั้ง
“ข้ากลัวแทบตายแหนะ นึกว่าบ่อเกิดแห่งบาปจะหนีไปได้เสียแล้ว” หลังจากทำหน้าที่เสร็จสิ้น หมีน้อยก็ถอนใจอย่างโล่งอก มันใช้อุ้งมือตบเข้าที่อกเบา ๆ เพื่อเป็นการปลอบขวัญ
เฉินซีจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกว่างเปล่า เจ้าหมีขนทองตัวนี้ช่างดูน่ารักไร้เดียงสา ผิดกับท่าทางก่อนหน้าราวฟ้ากับเหว
อย่างไรก็เถอะ เหตุการณ์ก่อนหน้านี้น่ากลัวเกินไป ขนาดตัวเขาเองยังไม่อาจต้านทานพลังพวกนั้นได้เลย ทว่าเจ้าหมีตัวเล็กนี่กลับสามารถทำลายฝ่ามือนั่นได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เห็นได้ชัดว่ามันมีความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามยิ่ง
“สุดยอด! เยี่ยมยอดจริง ๆ!” เฉินซีอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้
“แหม ศิษย์พี่ท่านชมกันเกินไปแล้ว” หมีน้อยหัวเราะอย่างเขินอาย มันใช้อุ้งมืออ้วน ๆ ลูบเกาหัวที่กลมดิกของตนเองไปมา
“แล้ว… เจ้าชื่ออะไรหรือ?” เฉินซีถามด้วยความสงสัย
“ท่านอาจารย์ตั้งชื่อข้าหวงหมานเอ๋อร์ แต่พวกศิษย์พี่ของข้าชอบเรียกข้าว่าอาหมาน” หมีขนทองตอบอย่างตรงไปตรงมา
“อาหมาน” เฉินซีพยักหน้า “จริงสิ แล้วเหตุใดเจ้าถึงเรียกข้าว่าศิษย์พี่กัน?”
เขาสงสัยเรื่องนี้ยิ่งนัก เพราะหมีน้อยตัวนี้น่าจะเป็นผู้สืบทอดของตำหนักเต๋านภาอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าเหตุใดอาหมานจึงเรียกเขาว่าศิษย์พี่กัน?
หรือจะเป็นเพราะกุญแจนภา?
หมีน้อยตอบ “ท่านอาจารย์สั่งข้าไว้ว่า ผู้มาถึงที่นี่พร้อมกับกุญแจนภาจะต้องเป็นศิษย์พี่ของข้าอย่างแน่นอน”
จากนั้นเขาก็หยุดพูดไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดต่อว่า “ท่านอาจารย์ยังกำชับให้ข้ารออยู่ที่นี่จนกว่าศิษย์พี่จะมา เพราะมีเพียงกุญแจนภาในมือท่านเท่านั้นที่สามารถปลดโซ่ตรวนสวรรค์จองจำเต๋าที่คอข้าได้…”
พูดไปได้สักพัก หมีน้อยก็ตบหัวตัวเองด้วยนึกบางอย่างออก จากนั้นจึงร้องโวยวายออกมา “ไอหยา! ข้าลืมไปได้อย่างไรเนี่ย ศิษย์พี่โปรดรอสักครู่ ข้าจะมาคุยกับท่านต่อหลังจากที่ปลดไอ้พันธนาการบ้า ๆ ที่กักขังข้ามาตลอดหลายปีนี่ก่อน”
จะว่าอย่างไรดี คำพูดคำจาของเจ้าหมีขนทองอาหมานมันช่าง…ดูพิลึกอย่างมาก อีกฝ่ายพูดทุกอย่างที่คิด ซึ่งทำให้เฉินซีสับสนงงงวย จนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มก็ยังไม่เข้าใจว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่
กระนั้น เขาก็มั่นใจอย่างหนึ่งว่าสหายเต๋าตัวน้อยตรงหน้านี้คงจะอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานมาก ๆ เพื่อรอคอย ‘ศิษย์พี่’ ที่อาจารย์กล่าวถึง
และเป็นเรื่องบังเอิญที่เฉินซีได้ครอบครองกุญแจนภา จึงทำให้ชายหนุ่มกลายเป็น ‘ศิษย์พี่’ ของอีกฝ่ายไปโดยปริยาย
เมื่อเขานึกถึงคลังสมบัติของเฉียนหยวนที่อยู่ในห้วงทะเลทรายมรณะแห่งราชวงศ์ซ่ง ภาพของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซวนหนีซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีผู้ใดเทียบ และเสียงแหบพร่าของชายชราผู้หนึ่งก็แวบเข้ามาในความคิดของเฉินซีอย่างช่วยไม่ได้ หรือว่าเจ้าของคลังสมบัติเฉียนหยวนจะเป็นอาจารย์ของอาหมาน ส่วนซวนหนีก็เป็นศิษย์พี่ตัวจริงของเขา?
“ตลอดยุคบรรพกาลและยุคทองที่ได้ผ่านพ้นมา ข้าได้ใช้ชีวิตอย่างทรหดท่ามกลางความเลวร้าย และในที่สุดข้าก็ได้พบกับอาจารย์ผู้คอยชี้แนะทางสว่าง ท่านถ่ายทอดเคล็ดวิชามากมายรวมถึงคัมภีร์เต้าจ้างให้แก่ข้า ทำให้สติปัญญาและรากฐานแห่งเต๋าของข้ากำเนิดขึ้นอย่างที่ท่านอาจารย์วาดหวังไว้ บุญคุณของท่านอาจารย์ ศิษย์ซาบซึ้งเสียจนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้”
…
“บ้านของศิษย์ รากเหง้าของศิษย์ก็คือตำหนักเต๋านภา หากชีวิตนี้มอดม้วย ศิษย์จะทดแทนคุณของท่านในภพหน้า โอ้! ท่านอาจารย์ โปรดจดจำศิษย์ผู้ไร้ประโยชน์คนนี้ไว้ด้วย”
เสียงของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซวนหนีก่อนที่มันจะสลายหายไปดังก้องในโสตประสาทของเขาอีกครั้ง วาจาแต่ละคำนั้นแฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและทรงพลัง ทว่าก็แฝงความโศกเศร้าไว้ภายใต้ความหนักแน่นที่มิอาจลืมเลือนได้
เฉินซีนึกถึงเรื่องราวเมื่อหลายปีก่อนโดยไม่ได้ตั้งใจ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซวนหนีได้สังหารผู้บ่มเพาะไปมากมาย ทว่าในตอนที่อีกฝ่ายได้ยินเสียงของชายชรา เจ้าตัวก็คืนร่างกลับเป็นเด็กหนุ่มในชุดนักพรตเต๋า ก่อนจะถูกแผดเผากลางทะเลเพลิง และสูญสลายไปจากฟ้าดิน
ความรู้สึกซับซ้อนผุดขึ้นมาในหัวใจของชายหนุ่มอย่างไม่มีเหตุผล
เมื่อหลายปีก่อน ระหว่างที่เดินทางไปยังคลังสมบัติของเฉียนหยวน ผู้บ่มเพาะมากมายได้เข้าไปภายในคลังสมบัติและเผชิญกับบททดสอบสามประการ บททดสอบเหล่านี้ทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายไปจำนวนมาก ทว่าเมื่อการทดสอบสิ้นสุดลง ทุกคนก็พบว่าผู้บ่มเพาะที่เสียชีวิตนั้นหาได้ตายจริง ๆ ไม่ ทว่าถูกส่งไปยังที่แห่งอื่นด้วยอำนาจของซวนหนี
ตั้งแต่นั้นมา เฉินซีก็เริ่มหมกมุ่นกับตำหนักเต๋านภามากขึ้น เพราะว่ามันได้ทิ้งคลังสมบัติซึ่งเป็นของขวัญแห่งโชคชะตาเอาไว้ โดยปราศจากความคิดร้ายต่อผู้ที่หมายจะครอบครอง ซึ่งความใจกว้างดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นทั้งความทระนงและความสง่างามที่ฝังรากลึกอยู่ในใจของศิษย์นิกายใหญ่ ๆ ทั้งหลาย!
เขายังจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยสาบานไว้ว่า หากสามารถเข้าถึงคลังสมบัติลับของตำหนักเต๋านภาได้ในภายหน้า ตัวเขาจะสร้างนิกายและตำหนักเต๋านภาขึ้นมาใหม่!
แกร๊ก!
เสียงกระทบกันของโลหะดังมาจากทางฝั่งของหมีขนทองตัวน้อย อาหมานกำลังปลดแม่กุญแจอันเล็กสีทองที่อยู่บนคอ
โฮกกก!
เมื่อสมบัติที่เรียกว่าโซ่ตรวนสวรรค์จองจำเต๋าคลายออก เจ้าหมีน้อยน่ารักก็แหงนมองขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะคำรามออกมาด้วยเสียงที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแผ่นดิน
ทันใดนั้น ร่างที่เคยสูงเพียงหนึ่งฉื่อได้ปลดปล่อยปราณเซียนอันน่าสะพรึงกลัวออกมาทันทีพร้อมกับเสียงที่ดังสนั่น ร่างของอีกฝ่ายค่อย ๆ ขยายใหญ่อย่างต่อเนื่องจนในที่สุดก็กลายเป็นหมีที่มีความสูงถึงหกสิบลี้ในระยะเวลาไม่นาน!
อาหมานในตอนนี้เป็นเหมือนหมีอสูรที่กำเนิดขึ้นในยุคบรรพกาล ดวงตาสีแดงสดดูคล้ายทะเลเลือดที่สะท้อนทุกสรรพสิ่งบนผืนโลก จากสภาพที่ปรากฏในยามนี้ เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะสามารถฉีกกระชากท้องฟ้า และแย่งชิงหมู่ดาราได้โดยการตะปบกงเล็บเพียงครั้งเดียว!
เฉินซีชะงักไปเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองร่างที่ใหญ่โตยิ่งกว่ายอดเขาร่างนี้
…อาหมานในตอนนี้ดูราวกับเทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่ที่ลงมาสถิตยังแดนดิน ช่างเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เสียจนเขาเองก็จินตนาการไม่ออก
แม้แต่กลิ่นอายยังน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ แล้วระดับการบ่มเพาะของอีกฝ่ายจะสุดยอดเพียงใด?
“เอ้อ ข้าลืมไปเลย ท่านอาจารย์เคยบอกไว้ว่าข้าจะเปิดเผยร่างที่แท้จริงได้ก็เฉพาะตอนที่ต่อสู้เท่านั้น ไม่อยากนั้นแล้วข้าจะถูกคนชั่วจับตัวไป” อาหมานบ่นพึมพำก่อนจะเปลี่ยนร่างกายมหึมาให้กลับมาเป็นหมีน้อยที่สูงเพียงแค่ฉื่อเดียวด้วยความรวดเร็ว
ถูกคนชั่วจับตัวเนี่ยนะ…
เฉินซีพูดไม่ออก คนชั่วที่ไหนในโลกนี้จะกล้าจับเจ้ากัน?
“ศิษย์พี่ เราไปกันเถอะ” ร่างอ้วนพีของอาหมานกระโดดขึ้นขี่คอเฉินซีราวกับตุ๊กตาขนฟูตัวน้อย ๆ เขาพูดกับชายหนุ่มด้วยท่าทางสบาย ๆ ว่า “ข้าไม่ได้กินอะไรมาหลายปีแล้ว ศิษย์พี่ ท่านช่วยพาข้าไปหาของกินหน่อยสิ”
“…” มุมปากของเฉินซีกระตุกแรงโดยไม่รู้ตัว ภาพของเจ้าพวกตัวตะกละอย่างหลิงไป๋ ไป๋คุย และอาซิ่วผุดขึ้นมาในหัวทันทีทันใด
“ใช่ เราควรออกไปจากที่นี่” เฉินซีสูดหายใจเข้าจนสุดปอดขณะมองไปที่กระท่อม ไม่นาน ชายหนุ่มก็หันหลังกลับและมุ่งหน้าไปยังบันไดของแท่นบวงสรวงเต๋า และหายลับไปจากที่แห่งนี้
…
แกร๊ก!
เมื่อเฉินซีและอาหมานจากไป โซ่ตรวนสวรรค์จองจำเต๋าที่อาหมานทิ้งไว้บนพื้นพลันเปล่งประกายด้วยรัศมีสีทอง มันลอยขึ้นเหนือพื้นดินราวกับมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง ก่อนจะลงด่านกั้นประตูกระท่อมนั้นไว้อย่างแน่นหนา
“บัดซบ!!!” ทันใดนั้น เสียงคำรามแหบต่ำก็ดังขึ้นจากข้างในกระท่อม “หวงอาหมาน เจ้าคิดจะกักขังข้าไว้ด้วยโซ่ตรวนสวรรค์จองจำเต๋าอย่างนั้นหรือ? ไม่นะ ไอ้เวรเอ๊ย! คอยดูเถิด เมื่อกลียุคในสามภพเริ่มขึ้นเมื่อไร ข้าจะออกไปจากที่นี่และทำลายล้างทุกคนที่มาจากตำหนักเต๋านภาให้สิ้นซาก!”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเดือดดาล อัดอั้น และไม่ยินยอมอย่างถึงที่สุด ทว่าไม่นานความเงียบก็กลับมาเยือนอีกครั้ง
ตึ้ง!
บนแท่นบวงสรวงเต๋า ประตูซึ่งนำทางลงไปยังใต้ดินค่อย ๆ หายไปอย่างช้า ๆ ไม่หลงเหลือแม้แต่ร่องรอยให้ผู้ใดได้พบเห็นในภายหลัง
แม่น้ำหยินหยาง แท่นบวงสรวงทั้งสี่ และตำหนักทั้งแปดที่อยู่โดยรอบแท่นบวงสรวงเต๋า ต่างพากันส่องแสงจนสว่างจ้าไปทั่วแผ่นฟ้า!
ในขณะเดียวกัน ยอดเขาสูงตระหง่านที่มีรูปร่างเหมือนหัวมังกร และแม่น้ำกว้างใหญ่ที่คดเคี้ยวเป็นคำว่า ‘เต้า’ ต่างก็แผ่รัศมีศักดิ์สิทธิ์ไปยังฟากฟ้าไกล ทำให้พื้นที่ในรัศมีหมื่นลี้นี้สว่างไสว
ราวกับว่าปาฏิหาริย์ศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ถูกดลบันดาลขึ้นในแผ่นดิน จนภาพที่แสนตระการตานี้ดึงดูดความสนใจของผู้บ่มเพาะที่อยู่โดยรอบ ทำให้พวกเขาทั้งหมดต่างมารวมตัวกันเพื่อจับตามองไปยังที่แห่งนั้น
ทว่าแสงอันโชติช่วงนี้สว่างไสวเกินไป ความเจิดจ้าของมันกลบกลืนสรรพสิ่งโดยล้อมจนสายตาพร่าเลือน และแม้แต่ญาณเทวะอมตะของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็ไม่อาจมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นท่ามกลางกลุ่มแสงเรืองอร่ามได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง แสงสว่างก็พลันสลายไป ปล่อยให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติ
ทว่าสิ่งที่น่าหวั่นใจก็ได้เกิดขึ้น เมื่อจู่ ๆ แม่น้ำที่คดเป็นตัวอักษร ‘เต้า’ และภูเขาที่มีรูปร่างเหมือนหัวมังกรก็ได้หายไปจากการมองเห็น เหลือแต่เพียงผืนดินแห้งแล้งที่เต็มไปด้วยโขดหิน!
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ข่าวที่ว่าแผนที่ขุมทรัพย์ที่อยู่ในมือของเวินเทียนซั่วได้แพร่กระจายออกไป มันดึงดูดผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนมากจากทั่วทุกสารทิศให้มารวมตัวกันที่แห่งนี้ โดยต่างมั่นใจว่าหากคลังสมบัติของตำหนักเต๋านภามีอยู่จริง มันก็ต้องอยู่ใกล้กับแม่น้ำแห่งนี้เป็นแน่
แต่ในขณะที่ตอนนี้พวกเขายังไม่ทันจะคว้าอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน แม่น้ำและภูเขาดังกล่าวก็หายไปต่อหน้าต่อหน้า แล้วจะไม่ให้พวกเขาตกใจได้อย่างไร?
เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีคนค้นพบคลังสมบัติของตำหนักเต๋านภาแล้ว?
พวกเขาไม่แน่ใจนักว่าภาพที่เห็นนั้นเกิดจากความผิดปกติในสมองหรือไม่
มีเพียงคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่พอจะคาดเดาได้ว่าทั้งหมดนี้อาจเกี่ยวข้องกับเฉินซี เพราะอย่างไรเสีย ชายหนุ่มก็เพิ่งจะจัดการผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั้งหมดในนิกายวิถีกระแสสวรรค์ไปเมื่อไม่กี่วันก่อน อีกทั้งเขายังสามารถลากทูตแห่งภพเซียนอย่างปิงซื่อเทียนออกมาได้ในตอนท้ายอีกด้วย!
นอกจากนี้ หลังจากที่เฉินซีเข้าไปในแม่น้ำรูปตัวอักษร ‘เต้า’ ชายหนุ่มก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย! …เบาะแสเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ดูจะชี้ว่าปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตรงหน้าพวกเขาเมื่อครู่ จะต้องเกี่ยวข้องกับเฉินซีเป็นแน่!!!
แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงการคาดเดา ไม่มีใครกล้ายืนยันว่าเกี่ยวข้องกับเฉินซีจริง ๆ
ณ ด้านนอกของภูเขาร้างเต๋านภา
เฉินซีถอนสายตาจากเทือกเขากว้างไกล แล้วจึงกล่าวว่า “อาหมาน ปรากฏการณ์เมื่อครู่นั่นเกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่?”
หมีขนทองตัวน้อยที่กำลังหลับอยู่บนไหล่ของเฉินซีตื่นขึ้นมาพูดด้วยเสียงงัวเงีย “อ๋อ นั่นไม่ใช่ฝีมือข้า เป็นฝีมือของโซ่ตรวนสวรรค์จองจำเต๋าต่างหาก ทั้งหมดนี้คือ…”
ยังไม่ทันพูดจบ หัวของเขาก็เอนซบกับเส้นผมหนานุ่มของเฉินซีและผล็อยหลับไปเสียก่อน
เฉินซีที่เห็นเช่นนั้นจึงทำอะไรไม่ถูก สิ่งที่ยากยิ่งกว่าการเดินทางขึ้นสวรรค์ ก็คือการค้นหาคำตอบจากเพื่อตัวน้อยแสนซื่อผู้นี้นี่ล่ะ!
‘ช่างเถิด ข้าจะไปที่เมืองวารีเมฆาก่อน เพื่อดูว่าอ๋องเวินน้อยแห่งตำหนักอ๋องเวินตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง…’ เฉินซีส่ายหน้าอย่างระอาพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ร่างกายของเขาก็พลันสว่างวาบ พร้อมมุ่งหน้าไปยังเมืองวารีเมฆา