บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 816 เริ่มการทดสอบ
บทที่ 816 เริ่มการทดสอบ
บทที่ 816 เริ่มการทดสอบ
ภายในห้องที่ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม เฉินซีมองไปยังแผ่นโลหะสีทองอร่ามซึ่งคล้ายกับแผ่นตราที่อยู่ในมือของตน จึงทำให้เขาอดประหลาดใจไม่ได้
มันคือแผ่นป้ายธรรมเทพที่มีขนาดเท่าฝ่ามือของทารก พื้นผิวของมันปกคลุมด้วยริ้วลายขนานสีทองที่ซับซ้อนและล้ำลึก ซึ่งนับเป็นสมบัติพิสดารที่สั่งสมพลังธรรมเทพเอาไว้
พิภพยันต์อักขระเต็มไปด้วยสัตว์อสูรจักรวาลจำนวนมาก ทุกครั้งที่สังหารสัตว์อสูรเหล่านี้ได้ ก็จะได้รับพลังธรรมเทพตามความแข็งแกร่งของพวกมัน โดยตัวเลขค่าพลังนั้นจะปรากฏขึ้นบนแผ่นป้ายธรรมเทพนี้
แน่นอนว่ายังมีหนทางอื่นอีกมากมายเพื่อให้ได้พลังธรรมเทพมาครอบครอง เช่น การทำนุบำรุงหอคอยยันต์อักขระ การคุ้มกันกลุ่มพ่อค้า การทำภารกิจของโถงอันดับที่เก้าให้สำเร็จ รวมถึงภารกิจอื่น ๆ อีกมากมาย
สรุปแล้ว พิภพยันต์อักขระนั้นแตกต่างจากแดนภวังค์ทมิฬโดยสิ้นเชิง พลังธรรมเทพเป็นสิ่งเดียวที่ใช้ตัดสินว่าผู้บ่มเพาะจะสามารถอยู่รอดที่นี่ได้หรือไม่!
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้นั้นง่ายดายมาก มันเป็นเพราะฟ้าดินภายในพิภพยันต์อักขระนั้นไร้ซึ่งปราณวิญญาณทั้งปวง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปราณวิญญาณสำคัญเพียงไร มันเชื่อมโยงกับการบ่มเพาะ ระดับความแข็งแกร่งของผู้เยี่ยมยุทธ์ และในขณะเดียวกัน มันก็เป็นแหล่งพลังเพียงแห่งเดียวที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในการต่อสู้!
ผู้บ่มเพาะจะอยู่รอดได้อย่างไรหากปราศจากปราณวิญญาณ? ไม่ต้องพูดถึงการเรียกลมเรียกฝน หรือการกำจัดอสูรเลยด้วยซ้ำ
ทั้งหมดนี้ทำให้เฉินซีเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าเหตุใดเหลียงปิงถึงกล่าวว่า สิ่งเดียวที่เขาจะต้องกังวลเมื่ออยู่ภายใต้กฎแห่งเต๋าสวรรค์ภายในพิภพยันต์อักขระก็คือการเอาชีวิตรอด
อันที่จริงแล้ว หากปราศจากปราณวิญญาณ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ผู้บ่มเพาะขาดที่พึ่งพาอันสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุด ส่งผลให้การรักษาชีวิตรอดกลายเป็นสิ่งซึ่งมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง
นอกจากนี้ พิภพยันต์อักขระยังไม่มีสินแร่ที่คล้ายคลึงกับผลึกโลหิตจ้าววิญญาณเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นสถานการณ์ของผู้ขัดเกลากายาในที่แห่งนี้ จึงไม่ต่างจากผู้บ่มเพาะปราณแท้แต่อย่างไร
กล่าวโดยสังเขปก็คือ กฎแห่งเต๋าสวรรค์ในพิภพยันต์อักขระได้กะเกณฑ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่า พิภพซึ่งมีเอกลักษณ์ยิ่งกว่าใครนี้ เมื่อถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นแนวหน้าของภพทั้งสามแล้ว จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
และถึงแม้พิภพยันต์อักขระจะไม่มีปราณวิญญาณ หากทว่ามันก็มีแสงทองแห่งคุณธรรม …หรือที่ในที่แห่งนี้เรียกขานว่าพลังธรรมเทพ!
พลังธรรมเทพนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งเฉพาะของพิภพยันต์อักขระซึ่งแตกต่างจากโลกอื่น ๆ เพราะในดินแดนอื่นนั้น การรวบรวมพลังธรรมเทพสามารถทำได้โดยสังหารผู้ครองบาปมหันต์หรือช่วยเหลือคนธรรมดาให้พ้นเภทภัยเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นหนทางที่ตายตัว ไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใด ดังนั้นจึงมีผู้บ่มเพาะเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำได้
เพราะอย่างไรเสีย ผู้ครองบาปมหันต์ก็หาใช่คนที่ใคร ๆ จะเดินเข้าไปฆ่าได้โดยง่าย ส่วนการช่วยเหลือคนธรรมดาจากเภทภัยต่าง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่มีโอกาสกระทำได้ตลอดเวลา
ถึงกระนั้น การจะรวบรวมพลังธรรมนี้ก็ล้วนกลายเป็นเรื่องง่ายเมื่ออยู่ภายในพิภพยันต์อักขระ
เนื่องจากที่นี่มีสัตว์อสูรจักรวาลจำนวนมาก ทั้งยังมีหอคอยยันต์อักขระเต็มไปหมดให้ได้บูรณะซ่อมแซม รวมไปถึงภารกิจของโถงอันดับที่เก้าที่กองพะเนินจนไม่รู้ว่าหมดสิ้นเมื่อไร ในพิภพยันต์อักขระแห่งนี้ มีสิ่งมากมายให้เลือกทำเพื่อแลกกับพลังธรรมเทพ!
แม้ว่าดินแดนแห่งนี้จะอยู่ท่ามกลางโลกกว่าสามพันแห่ง และดินแดนอีกนับไม่ถ้วน ทว่าไม่อาจมีสถานที่ใดจะเป็นได้ดั่งพิภพยันต์อักขระ
สิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นก็คือ พลังธรรมเทพสามารถใช้แลกเปลี่ยนเป็นเงินตราภายในพิภพยันต์อักขระได้!
หากสิ่งนี้เกิดขึ้นในแดนภวังค์ทมิฬ แน่นอนว่ามันไม่ต่างอะไรจากการหลอกลวงสวรรค์ หากถูกตรวจพบเมื่อไร คนผู้นั้นจะถูกกำจัดในทันที
เนื่องจากพลังธรรมเทพเป็นการตัดสินรูปแบบหนึ่งโดยเต๋าแห่งสวรรค์ ผู้มีพลังธรรมเทพสูงจะได้รับการคุ้มครองจากเต๋าแห่งสวรรค์ ขณะเดียวกันผู้ไร้พลังธรรมเทพก็จะมีชีวิตอยู่อย่างคนปกติธรรมดา ทว่าหากเป็นผู้ครองบาปมหันต์แล้ว ก็จะได้รับการลงทัณฑ์จากเต๋าแห่งสวรรค์
นี่ถือเป็นกฎประเภทหนึ่ง ทั้งยังเป็นหนึ่งในเกียรติภูมิที่ได้รับจากเต๋าแห่งสวรรค์ การดำรงอยู่ของธรรมเทพนั้นเปรียบเสมือนพรจากสวรรค์ซึ่งแผ่ไพศาลให้แก่ทุกสรรพสิ่งในโลกา และยังเป็นสิ่งสงวนซึ่งไม่สามารถล่วงล้ำก้ำเกิน มันจึงทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า สิ่งที่ล้ำค่าเช่นนี้จะนำมันมาใช้แทนเงินตราได้อย่างไร?
ทว่าภายในพิภพยันต์อักขระ พลังธรรมเทพได้ปลดโซ่ตรวนแห่งการเป็นของต้องสงวนทิ้งไป ไม่เพียงสามารถนำมันมาใช้จำหน่ายจ่ายโอนกันไปมาได้ แต่ยังสามารถใช้เป็นเงินตราเพื่อจับจ่ายใช้สอยสิ่งที่จำเป็นได้อีกด้วย
และข้อสำคัญที่สุดก็คือ ปริมาณของพลังธรรมเทพที่ครอบครองไว้นั้น สัมพันธ์กับผู้บ่มเพาะที่อยู่ในดินแดนแห่งนี้อย่างใกล้ชิดมาก
มีเพียงพลังธรรมเทพเท่านั้นที่สามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับวารีวิญญาณและศิลาอมตะ นอกจากนี้มันยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถานะและความสามารถของผู้บ่มเพาะแต่ละคน ซึ่งมีเพียงผู้มีพลังธรรมเทพสูงเท่านั้นที่สามารถเข้าออกยังสถานที่ต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกสบาย ไม่เว้นแม้แต่นครหลวงสี่จักรพรรดิ!
หลังจากที่เฉินซีพินิจพิจารณาอยู่นาน เขาก็เก็บแผ่นป้ายธรรมเทพไว้อย่างระมัดระวัง
หากสิ่งนี้สูญหายไปแล้วละก็ นั่นเท่ากับว่าเขาได้สูญเสียพลังธรรมเทพทั้งหมดที่สั่งสมมา ซึ่งก็หมายความว่าชายหนุ่มสูญเสียรากฐานแห่งพลังที่จะทำให้เขาอยู่รอดในพิภพยันต์อักขระแห่งนี้ไป
…
“นายน้อยเฉินซี ท่านจำเป็นต้องผ่านบททดสอบขั้นต่อไปเพื่อตัดสินว่าท่านจะได้ไปเริ่มต้นที่หมู่บ้านไหน” หมัวเจียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้ เฉินซีเข้าใจแล้วว่าผู้บ่มเพาะคนใดที่เข้าสู่พิภพยันต์อักขระเป็นครั้งแรก หลังจากที่ได้รับแผ่นป้ายธรรมเทพแล้ว พวกเขาก็จะต้องเริ่มบ่มเพาะจากหมู่บ้านซึ่งอยู่รอบนอกสุดของพิภพยันต์อักขระ
สำหรับผู้ต้องการเข้าไปภายในเมือง พวกเขาก็จะต้องช่วยชาวบ้านในหมู่บ้านกำจัดสัตว์อสูรจักรวาล ซ่อมบำรุงหอคอยยันต์อักขระ รวมถึงงานอื่น ๆ อีกมากมาย โดยที่ผู้บ่มเพาะจะสามารถเข้าไปในเมืองได้ก็ต่อเมื่อสามารถรวบรวมพลังธรรมเทพได้ในปริมาณที่มากพอ
ในทำนองเดียวกัน หากใครต้องการจะย้ายไปอยู่ต่างมณฑล หรือย้ายมณฑลใหญ่เข้าไปอยู่ในเขตเมืองใดเมืองหนึ่ง ก็ต้องใช้พลังธรรมเทพเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคุณสมบัตินั้น ๆ
ด้วยการนำทางของหมัวเจียง ชายหนุ่มจึงได้มาถึงสถานที่ที่เรียกว่า ‘ลานสถิตธรรมเทพ’ ซึ่งอยู่ภายในหอคอย
ในตอนนี้ คนหนุ่มสาวมากมายกำลังยืนอยู่ภายในลานจัตุรัส โดยพวกเขาทุกคนล้วนแต่สวมอาภรณ์หรูหราและมีท่าทางสูงส่ง เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ซึ่งเดินทางมาจากหนึ่งในโลกทั้งสามพันแห่ง เมื่อพิศมองจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว พวกเขาทั้งหมดต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่น่าประทับใจ
ให้พูดอีกอย่างก็คือ คนที่มีความสามารถในการเดินทางข้ามจักรวาลและมาถึงพิภพยันต์อักขระได้นั้น แน่นอนว่าต้องเป็นผู้มีต้นกำเนิดอันไม่ธรรมดา
เฉินซีย่อมสังเกตเห็นว่าผู้คนนับพันเหล่านั้นต่างยืนอยู่ตามจุดต่าง ๆ ที่แสดงถึงระดับการบ่มเพาะของตนตามลำดับ
ผู้ที่อ่อนแอที่สุดนั้นอยู่ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ซึ่งมีปริมาณเกือบครึ่งหนึ่งของคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ ในขณะที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติมีจำนวนอยู่ที่ประมาณสามในสิบ ส่วนผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายามีกันอยู่ประมาณเกือบสองในสิบ โดยมีจำนวนมากกว่าสองร้อยคน
ส่วนกลุ่มที่มีจำนวนน้อยที่สุดนั้นหนีไม่พ้นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี พวกเขามีอยู่เพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้น โดยในตอนนี้ พวกเขากำลังยืนตระหง่านด้วยความภาคภูมิพร้อมทั้งปลดปล่อยปราณเซียนออกมาจนเปล่งประกายเจิดจ้าไปทั่วบริเวณ
ผู้บ่มเพาะเหล่านี้ถูกผู้แทนแห่งโถงอันดับเก้านำพาไปยังสถานที่ต่าง ๆ ตามระดับการบ่มเพาะเพื่อเข้ารับการทดสอบ
“หมู่บ้านแต่ละแห่งจะมีความแตกต่างกันออกไป หมู่บ้านที่ดีจะช่วยให้ผู้บ่มเพาะได้รับพลังธรรมเทพจำนวนมากในเวลาที่รวดเร็ว ในขณะที่หมู่บ้านที่ไม่ดีนั้น ไม่เพียงแค่จะมีสภาพที่ไม่เอื้ออำนวยสำหรับการบ่มเพาะเท่านั้น แต่ยังมีแนวโน้มว่าผู้บ่มเพาะจะไม่ได้รับพลังธรรมเทพในปริมาณที่เพียงพอแม้เวลาจะล่วงเลยไปเป็นสิบปี!” หมัวเจียงอธิบายด้วยเสียงเบา ๆ “ทว่าความแตกต่างระหว่างหมู่บ้านที่ดีกับไม่ดีนั้น ก็ขึ้นอยู่กับขอบเขตการบ่มเพาะของตัวผู้เยี่ยมยุทธ์ด้วย”
“บางหมู่บ้าน หอคอยยันต์อักขระเสียหาย และมีสภาพแวดล้อมที่ดิบเถื่อน ในสภาวะเช่นนั้นจะมีสัตว์อสูรจักรวาลที่มีความดุร้ายหาใดเปรียบปรากฏตัวอยู่จำนวนมาก ซึ่งหมู่บ้านเช่นนี้จะถือเป็นสถานที่ที่เลวรร้ายอย่างมากสำหรับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ด้วยเหตุว่าผู้บ่มเพาะไม่เพียงจะไม่มีโอกาสได้รับพลังธรรมเทพเท่านั้น แม้แต่ชีวิตของพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะรักษาไว้ได้หรือไม่ กระนั้น มันก็เป็นหมู่บ้านที่ดีสำหรับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายา เพราะสัตว์อสูรจักรวาลที่มีนับไม่ถ้วนพวกนั้นจะทำให้ผู้บ่มเพาะสามารถสั่งสมพลังธรรมเทพได้จำนวนมากในเวลาเพียงไม่นาน”
เฉินซีเข้าใจในทันที “แล้วข้าจะเลือกหมู่บ้านได้อย่างไร”
ท่าทางของหมัวเจียงดูจริงจังขึ้นในทันตา จากนั้นเขาก็ตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “นายน้อยเฉินซี ขอพูดอย่างตรงไปตรงมาแล้วกัน จริงอยู่ที่คุณหนูใหญ่เชิญท่านมาที่นี่ด้วยตัวเอง ดังนั้นท่านจึงสามารถเลือกหมู่บ้านได้ตามต้องการ ทว่าโถงอันดับที่เก้านั้นมีกฎเป็นของตัวเอง อีกทั้งคุณหนูใหญ่ก็ได้กำชับไว้แล้วว่าให้ปฏิบัติต่อท่านอย่างคนอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ ข้าน้อยหวังว่าท่านจะไม่ทำให้เราต้องลำบากใจ”
เฉินซีชะงัก ที่แท้หมัวเจียงกำลังเข้าใจผิด ดังนั้นชายหนุ่มจึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะเชื่อการตัดสินใจของผู้อาวุโส และไม่คิดคัดค้านอย่างแน่นอน”
หมัวเจียงหัวเราะลั่น “นายน้อยเฉินซี ข้าพาท่านมาที่นี่เพื่อรับการทดสอบ เพราะมันจะเป็นตัวกำหนดว่าท่านจะได้ไปเริ่มต้นที่หมู่บ้านใด ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายได้”
เป็นอย่างที่ชายชราพูด พิภพยันต์อักขระมีความยุติธรรมอย่างมากในการคัดสรรหมู่บ้านให้แก่ผู้บ่มเพาะ พวกเขาไม่ต้องการจะปฏิบัติต่อใครเป็นพิเศษแม้คนผู้นั้นจะมีอิทธิพลเพียงไหน
นี่เป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดในพิภพยันต์อักขระ หากศิษย์ผู้ไร้ฝีมือจากนิกายที่มีอิทธิพลสามารถเลือกหมู่บ้านได้ตามใจ และคนผู้นั้นเลือกหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่มีสัตว์อสูรจักรวาลอยู่จำนวนมาก ผลคือย่อมเกิดหายนะอย่างแน่นอน อย่างไรแล้ว เวลาสัตว์อสูรออกล่า พวกมันย่อมไม่ได้สนใจว่าคู่ต่อสู้ของมันมาจากนิกายที่ยิ่งใหญ่หรือไม่
ในเวลาไม่นานพวกเขาก็มาถึงลานจัตุรัสโล่ง ๆ ที่มีความกว้างราวหกสิบลี้ มันกว้างใหญ่เสียจนผู้คนที่ยืนอยู่ที่นี่ดูตัวเล็กลงในทันตา ขณะที่ภายในจัตุรัสนั้นได้ปรากฏบานประตูขนาดใหญ่สีดำทะมึน ซึ่งแผ่รังสีที่อัดแน่นไปด้วยความอำมหิตและกระหายเลือดออกมาอย่างแรงกล้า
ที่แห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นสถานที่สำหรับผนึกอสูร
หลังจากที่พวกเขามาถึงที่นี่ หมัวเจียงก็กล่าวคำอำลาและจากไป
ส่วนเฉินซีกวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบว่าที่นี่มีผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายายืนอยู่เต็มบริเวณ ขณะที่เบื้องหน้านั้นคือผู้แทนของโถงอันดับที่เก้าซึ่งหยัดกายตรงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เขาเป็นชายวัยกลางคนที่ดูผ่าเผย เรือนกายเปล่งกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวออกมา …ซึ่งจากการคาดการณ์ของเฉินซี ความแข็งแกร่งของชายผู้นี้น่าจะอยู่ในขอบเขตเซียนปฐพีระดับสาม กล่าวคือเขาแข็งแกร่งพอ ๆ กับหลวงจีนจื่ออวิ๋น!
“แม้แต่คนรับใช้ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในขณะบ่มเพาะที่พิภพยันต์อักขระ แล้วใครจะปรนนิบัติข้าตอนอยู่ที่นี่กัน เฮ้อ… หรือว่าข้าจะต้องรินสุราและปรนนิบัติตัวเองกันนะ” ชายหนุ่มผู้หนึ่งพูดขึ้นขณะที่โบกพัดพับสีม่วงอ่อนในมือ
“ฉุนอวี๋คัง เจ้ายังคิดว่าตัวเองอยู่ในภพบ่อวิญญาณอยู่อีกหรืออย่างไร หากเจ้าไม่พอใจที่ไม่มีคนรับใช้คอยติดตามแล้วละก็ ไม่ลองยกตำแหน่งของเจ้าให้ข้าดูเล่า บังเอิญว่าข้ามีสาวใช้ที่ยังไม่มีตำแหน่งอยู่พอดี” ชายหนุ่มอีกคนในชุดสีเหลืองและสวมกวานสีทองพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เจี่ยงติ้งอี ระวังปากเจ้าไว้ด้วย!” ฉุนอวี๋คังตะโกนลั่นอย่างเดือดดาล
“อะไร? อยากให้ข้าพูดอีกรอบอย่างนั้นหรือ?” เจี่ยงติ้งอีเลิกคิ้วยียวน น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความเหยียดหยาม
“ทั้งคู่หยุดได้แล้ว การทดสอบและการเลือกหมู่บ้านยังไม่ทันได้เริ่ม เทียบกับแต่ก่อนแล้ว ตอนนี้มีคนที่เดินทางเข้ามาในพิภพยันต์อักขระมากกว่าในอดีตเยอะมาก มันไม่ง่ายเลยที่พวกเราจะได้หมู่บ้านดี ๆ!” หญิงสาวในอาภรณ์สีแดงพูดด้วยเสียงที่ไม่ยินดียินร้าย ใบหน้าที่งดงามและดวงตาที่กระจ่างใสช่างขัดกับคิ้วซึ่งขมวดเป็นปมยิ่งนัก
ฉุนอวี๋คังกับเจี่ยงติ้งอีหุบปากสนิททันที ราวกับว่าพวกเขาหวาดกลัวหญิงสาวชุดแดงผู้นี้เป็นอย่างมาก
สถานการณ์เบื้องหน้าปรากฏสู่สายตาของเฉินซีโดยไม่ตั้งใจ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ ด้วยสัมผัสได้ว่าทั้งการบ่มเพาะและอิริยาบถแต่ละท่วงท่าของนางนั้นช่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่คุ้นเคย
มันเป็นลักษณะเฉพาะของผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาระดับชั้นยอด นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะที่เฉินซีได้พบกับผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ นอกเหนือจากตัวเขาที่อยู่ขอบเขตสถิตกายาขั้นสุดยอด ยิ่งกว่านั้นนางยังเป็นสตรีอีกด้วย!
‘ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะมียอดฝีมือผู้น่าเกรงขามมากมายที่เข้ามาในพิภพยันต์อักขระ…’ เฉินซีเดินหลงทางอยู่ในความคิด
แกร๊งงง!
ตอนนั้นเอง เสียงระฆังกังวานใสพลันดังกึกก้อง บรรยากาศที่เคยอึกทึกเมื่อก่อนหน้านี้เงียบสงัดในทันที
ณ ด้านหน้าของจัตุรัส ผู้แทนแห่งโถงอันดับที่เก้าสาวเท้าไปข้างหน้า สายตาที่คมกริบดังสายฟ้าฟาดกวาดมองทุกคนที่ยืนอยู่โดยรอบ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “การทดสอบเริ่มแล้ว!”