บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 824 ดุจดั่งเทพเจ้า
บทที่ 824 ดุจดั่งเทพเจ้า
บทที่ 824 ดุจดั่งเทพเจ้า
ฟุ่บ! ขวับ!
ภายในหอคอยยันต์อักขระ ท่าทางของเฉินซีสงบนิ่ง ในขณะที่จิตใจของเขาปลอดโปร่งว่างเปล่า นิ้วที่ขาวและเรียวยาวของชายหนุ่มวาดวนไปรอบ ๆ ทิ้งภาพติดตาที่ทั้งสวยและสง่างามไว้กลางอากาศ ด้วยความเร็วที่ไม่มีใครเทียบได้
ปราณแท้ที่ละเอียดเหมือนเส้นด้ายไหลออกมาจากปลายนิ้วมือทั้งสิบ ราวกับปลายพู่กันที่ขยับเป็นจังหวะแม่นยำอย่างยิ่ง บินไปบนกำแพงรอบข้างตัว ร่างเส้นอักขระยันต์ที่มีกลิ่นอายสง่างามขึ้นมา
ฉากนี้เป็นราวกับจิตรกรระดับปรมาจารย์กำลังทำงานและซ่อมแซมผลงานชิ้นเอกของตน การขยับไหวดูราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ และเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ทำให้สบายตารวมถึงจิตใจเบิกบาน
ข้อแตกต่างคือ เฉินซีได้แบ่งแยกสมาธิออกไปหลายทิศทาง โดยเขาได้สร้างใหม่ ซ่อมแซม และทำให้รูปแบบยันต์นับไม่ถ้วนในหอคอยยันต์อักขระสมบูรณ์แบบในเวลาเดียวกันด้วยตัวเขาเอง
แม้ชายหนุ่มจะอยู่เพียงลำพัง แต่ก็ราวกับว่ามีปรมาจารย์ค่ายกลอักขระนับพันกำลังทำงานพร้อม ๆ กันอยู่ ทุก ๆ ค่ายกลจึงต่างอยู่ภายใต้การห่อหุ้มของจิตสัมผัสเทพ และทุก ๆ ตารางนิ้วของอักขระยันต์ที่เสียหาย ล้วนถูกปราณแท้ที่เป็นเหมือนปลายพู่กันสัมผัสได้อย่างแม่นยำ
หากปรมาจารย์ค่ายกลอักขระคนอื่นอยู่ที่นี่และเห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาจะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน เพราะความสำเร็จถึงระดับดังกล่าวของเต๋าแห่งยันต์อักขระนั้น เท่ากับว่าได้บรรลุถึงสถานะของการเปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นตัวตนพิเศษแล้ว!
หากปราศจากจิตสัมผัสเทพในการควบคุมทุกสิ่ง ปราศจากปราณแท้แน่นหนาที่เป็นดุจแหล่งพลังงาน ปราศจากความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับโครงสร้างของอักขระยันต์นับไม่ถ้วนภายในหอคอย มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ
ในสายตาของคนอื่น ๆ หอคอยยันต์อักขระนี้ที่มีค่ายกลมากมายเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า จำต้องได้รับการซ่อมแซมทีละส่วน มันจึงเป็นเหมือนโครงการขนาดใหญ่ที่ยากลำบากยิ่งนัก
แต่ในสายตาของเฉินซี หอคอยทั้งหลังก็เทียบเท่ากับตัวค่ายกลยันต์อักขระ ส่วนค่ายกลอักขระยันต์นับไม่ถ้วนภายในนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าโครงสร้างของอักขระยันต์ที่ประกอบกันเป็นค่ายกล
มันเหมือนกับว่ามนุษย์มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ในขณะที่เทพเจ้ามองลงมายังพื้นดิน
ความสูงที่สัมผัสได้นั้นย่อมแตกต่างกัน
ในทำนองเดียวกัน หากเป็นปรมาจารย์ค่ายกลอักขระคนอื่นที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ พวกเขาก็อาจจะคิดแค่ว่าจะซ่อมแซมโครงสร้างภายในของหอคอยนี้อย่างไร และย่อมไม่ได้ใช้เวลากว่ายี่สิบวันในการอนุมานอย่างเฉินซี เพราะชายหนุ่มไม่เพียงค้นหาวิธีการเพื่อซ่อมแซม แต่เขาต้องการจะรังสรรค์เพิ่มตามที่ตั้งใจไว้ เพื่อนำพลังสูงสุดของหอคอยยันต์อักขระนี้ออกมาอีกด้วย!
นี่คือทัศนคติที่เฉินซีมีต่อเต๋าแห่งยันต์อักขระ เขาเหมือนคนบ้าที่ดื้อรั้นมุ่งมั่นเพื่อความสมบูรณ์แบบขั้นสูงสุด
แต่ก็เป็นเพราะเหตุนี้เช่นกัน ที่ทำให้ความสำเร็จในเต๋าแห่งยันต์อักขระของเขามาถึงระดับที่เขาเป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเกินจินตนาการของทุกคนในโลกนี้ไปมากแล้ว
จากการคำนวณหักบวกลบ ถ้าเขาต้องการซ่อมแซมหอคอยยันต์อักขระนี้ให้อยู่ในสภาพที่พอใจ เวลาแค่เดือนเดียวก็เพียงพอแล้ว!
…
เมื่อเวลาอีกครึ่งเดือนผ่านไป บรรยากาศในหมู่บ้านจินซางก็ค่อย ๆ สงบลง ความปีติยินดีในตอนแรกเริ่มค่อย ๆ ผันเป็นความกังวลที่มองไม่เห็นเข้าปกคลุมหัวใจของชาวบ้านทุกคนอีกครั้ง
เหตุผลนั้นง่ายมาก หลังจากการรุกรานอีกครั้งของสัตว์อสูรจักรวาล เวิ่นเทียนเซี่ยวกับเหยาลู่เวยก็อาจจะออกจากหมู่บ้านไปหากพวกเขาได้รับพลังธรรมเทพมากพอ
ในทางกลับกัน หลังจากที่เฉินซีเข้าไปในหอคอยยันต์อักขระ ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ จากชายหนุ่มอีก และไม่มีวี่แววว่าหอคอยจะได้รับการซ่อมแซมเลย
ทั้งหมดนี้ทำให้ชาวบ้านธรรมดาเหล่านี้กังวลเกี่ยวกับวันข้างหน้าของพวกเขา
การสูญเสียความช่วยเหลือจากผู้บ่มเพาะนั้นยังไม่เลวร้ายจนทำให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวัง เพราะพวกเขายังสามารถพึ่งพาการปกป้องจากหอคอยยันต์อักขระเพื่อความอยู่รอดได้ ทว่าพวกเขาล้วนตระหนักดีถึงความเสียหายของหอคอย และก็รู้ว่ามันในยามนี้ก็เหมือนกับท่อนไม้ผุที่คงถูกหนอนทำลายลงในไม่ช้าก็เร็วนี้
ถ้าพวกเขาสูญเสียหอคอยยันต์อักขระ หมู่บ้านจินซางก็จะตกอยู่ภายใต้กีบเหล็กของสัตว์อสูรจักรวาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และพวกเขาก็ไม่มีโอกาสรอดชีวิต…
เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น หมู่บ้านใกล้เคียงบางแห่งเช่นหมู่บ้านอีกาคราม หมู่บ้านหลิวสุ่ย หมู่บ้านราชันกวาง และหมู่บ้านอื่น ๆ เองก็ถูกทำลายลงด้วยการรุกรานของสัตว์อสูรจักรวาลทั้งหมด เพราะหอคอยยันต์อักขระพังทลาย
การเผชิญหน้ากับหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น มันไม่ต่างอะไรกับการรอให้ความตายมาถึง
ผู้อาวุโสเซวียหมิงขอร้องให้เวิ่นเทียนเซี่ยวกับเหยาลู่เวยอยู่ต่อ แต่เมื่อได้รับคำตอบที่คลุมเครือกลับมา มันก็ทำให้เขารู้สึกหมดหวัง
แม้ว่าโถงอันดับที่เก้าจะส่งผู้บ่มเพาะมาเพิ่ม เพื่อช่วยเหลือหมู่บ้านหลังจากที่คนทั้งสามจากไป เซวียหมิงก็ไม่แน่ใจว่าหอคอยยันต์อักขระจะยืนหยัดอยู่จนถึงวันนั้นได้หรือไม่
สิบวันต่อมา
สัตว์อสูรจักรวาลถูกสังหารลงอีกครา ก่อนที่เวิ่นเทียนเซี่ยวจะตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น เพราะในที่สุดเขาก็รวบรวมพลังธรรมเทพได้ครบสามร้อยดวง ในขณะที่ใบหน้าของเหยาลู่เวยประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม เพราะนางเองก็ทำสำเร็จเช่นเดียวกัน
ทว่าความสุขของพวกเขาไม่ได้ทำให้ชาวบ้านรู้สึกยินดีด้วยแต่อย่างใด มันกลับทำให้ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังแทน
พวกเขารู้ว่าผู้บ่มเพาะทั้งสองถูกกำหนดให้ต้องจากไปแล้ว
เวิ่นเทียนเซี่ยวสังเกตเห็นบรรยากาศแปลก ๆ เขาจึงฝืนยิ้มในขณะที่พูดอย่างลังเลใจว่า “ทำไมเราไม่อยู่ต่อกันอีกสักพักล่ะ?”
“อยู่ไปก็เปล่าประโยชน์ เจ้าไม่รู้หรือว่าหลังจากเก็บพลังธรรมเทพได้ครบสามร้อยดวงแล้ว มันก็ไม่อาจเพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป? ซึ่งหมายความเราจำต้องเข้าไปในเมืองเท่านั้น เราจึงจะสามารถรับพลังธรรมเทพได้มากขึ้น”
เหยาลู่เวยยังคงไม่ไหวติงและพูดต่อเบา ๆ “นอกจากนี้ ความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรจักรวาลที่ปรากฏในบริเวณใกล้เคียงหมู่บ้านนี้เองก็เพิ่มมากขึ้น เจ้าเองก็เห็นว่าในการต่อสู้ครั้งนี้ มีสัตว์อสูรขอบเขตเซียนปฐพีระดับหนึ่งมากกว่าหนึ่งตัวปรากฏกายออกมา หากเรายังอยู่ที่นี่ต่อไป เราอาจจะไม่รอด เจ้าเต็มใจจะเสี่ยงหรือ?”
เวิ่นเทียนเซี่ยวชะงัก และพูดอย่างหงุดหงิด “สหายเฉินซีคนนี้ช่างสารเลวจริง ๆ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวจากเขาเลย หากทำไม่ได้ แล้วจะอวดทำไมกัน”
เขาเป็นห่วงเฉินซีมากจริง ๆ เพราะหลังจากการเดิมพันล้มเหลว เวิ่นเทียนเซี่ยวก็ปฏิบัติต่อเฉินซีดั่งสหายผู้หนึ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่เต็มใจที่จะปล่อยอีกฝ่ายไว้
ส่วนความรู้สึกของชาวบ้านนั้นแม้จะรู้สึกสงสาร แต่มันก็ไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจของเวิ่นเทียนเซี่ยวอย่างแน่นอน
เหยาลู่เวยราวกับคาดหวังว่าเวิ่นเทียนเซี่ยวจะตอบสนองเช่นนี้ตั้งแต่แรก นางจึงขมวดคิ้วขณะกล่าวต่อ “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเขา ด้วยความแข็งแกร่งของเฉินซี แม้ว่าเขาจะไม่สามารถซ่อมแซมหอคอยยันต์อักขระได้ แต่ก็มากพอจะเก็บพลังธรรมเทพ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่เราจะล่วงหน้าไปก่อน และรอเขาอยู่ที่เมืองนกนางแอ่นแดง”
ขณะที่พูด หญิงสาวพลันพลิกมือขาวของตนและทำให้แผ่นหยกปรากฏขึ้น “ข้าได้ฝากข้อความถึงเขาไว้ และได้อธิบายทุกอย่างชัดเจนแล้ว เมื่อเขาออกมาจากหอคอยและอ่านข้อความนี้ เขาจะเข้าใจได้ในทันที”
เวิ่นเทียนเซี่ยวยิ้มด้วยความตกใจ “เจ้าตั้งใจจะจากไปตอนนี้เลยหรือ?”
เหยาลู่เวยพยักหน้า “ไม่มีเวลาให้เสียเปล่า เจ้าไม่ต้องกังวล เมื่อเขาเข้าใจสถานการณ์แล้ว เฉินซีจะไม่ตำหนิเราที่จากไปก่อนอย่างแน่นอน”
เวิ่นเทียนเซี่ยวขมวดคิ้วด้วยความปวดร้าว “มีเพียงวิธีเดียวหรือ?”
เหยาลู่เวยถามกลับ “เราจะทำอะไรได้อีก?”
เวิ่นเทียนเซี่ยวเงียบไปครู๋หนึ่ง จากนั้นเขาก็กัดฟันและพูดว่า “เอาล่ะ ข้าจะฟังเจ้า”
เมื่อเห็นเช่นนั้น ใบหน้างามที่ไม่มีใครเทียบของเหยาลู่เวยพลันประดับด้วยยิ้มเล็กน้อย นางรู้จักนิสัยของเวิ่นเทียนเซี่ยวเป็นอย่างดี ดังนั้นเรื่องทั้งหมดนี้จึงอยู่ในความคาดหมายของนาง
ในวันเดียวกันนั้นเอง ทั้งสองก็ได้จากไปในทันที
บรรยากาศในหมู่บ้านหดหู่มืดมนและกดดันขึ้นทันทีเมื่อชาวบ้านรู้เรื่องทั้งหมดนี้
กลางดึก
ผู้อาวุโสเซวียหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าหอคอยยันต์อักขระเพียงลำพัง รูปร่างที่ผอมแห้งของเขาดูแก่ขึ้นราวกับว่าถูกกดทับด้วยภาระหนัก
ค่ำคืนในพิภพยันต์อักขระดูจะหนาวเย็นเป็นพิเศษ สายลมที่เย็นยะเยือกราวกับใบมีดกรีดผ่านอากาศดังหวีดหวิว พัดให้ต้นหม่อนสีทองในหมู่บ้านสั่นไหวอย่างอ้างว้าง
เซวียหมิงจ้องมองไปทางหอคอยอย่างว่างเปล่าเป็นเวลานาน จากนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ก่อนที่จะหยิบยกเหยือกเหล้าขึ้นมาและดื่มลงไปเต็มคำ ทำให้หน้าอกของชายชราร้อนผ่าว แต่ความอบอุ่นนั้นก็ไม่สามารถคลายความกังวลในใจได้
เขากระดกเหล้าอีกครั้งและถอนหายใจ ซึ่งก่อนที่เขาจะรู้ตัว เขาก็เมามากเสียจนแทบหมดสติอยู่หน้าหอคอยยันต์อักขระแล้ว
เขามีความฝัน เซวียหมิงฝันว่าตอนที่ยังเป็นชายหนุ่ม เขารู้สึกตื่นเต้นยิ่งเมื่อได้เห็นผู้บ่มเพาะ และเมื่อเขาเห็นพลังของหอคอยยันต์อักขระเป็นครั้งแรก รัศมีศักดิ์สิทธิ์มากมายที่ส่องสว่างออกมาจากหอคอยนั้น ก็ได้ทอแสงไปทั่วทั้งเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน!
มันถูกเรียกว่า ‘พู่ทองแห่งความโกลาหล’ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหอคอยยันต์อักขระปลดปล่อยอานุภาพขั้นสูงสุดของมัน ซึ่งเขายังคงจดจำฉากที่ยิ่งใหญ่และงดงามนี้ได้ไปตลอดชีวิต
ในเวลานั้น ชาวบ้านทั้งคนแก่และเด็กส่งเสียงโห่ร้องอย่างไม่มีสิ้นสุด ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความสุข ความคาดหวังต่อชีวิตที่มั่นคง และความหวังสำหรับอนาคต…
ยามนั้น… ช่างรู้สึกดียิ่งนัก!
“มันเรืองแสง! หอคอยยันต์อักขระกำลังเปล่งประกายอยู่!” เสียงที่ฟังดูราวกับอยู่ห่างไกลออกไปดังก้องอยู่ในหูของเซวียหมิง เขาหัวเราะเยาะเย้ยตนเองอีกครั้ง คิดในใจว่านี่ข้าฝันอีกแล้วหรือ?
ทุกวันนี้เขาฝันแบบนี้ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งที่ลืมตาตื่น ชายชราก็ต้องเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“งดงามอะไรอย่างนี้! สวยยิ่งกว่าฝนดาวตกเสียอีก”
“ฮ่า ๆ! หอคอยยันต์อักขระได้รับการซ่อมแซมอย่างสมบูรณ์แล้ว ผู้อาวุโสเซวียหมิงอยู่ที่ใด? รีบแจ้งข่าวดีนี้กับผู้อาวุโสเร็วเข้า!”
“เขาอยู่ที่นี่ เขาอยู่ที่นี่…”
เสียงฝีเท้าดังกึกก้อง จากนั้นเซวียหมิงก็รู้สึกว่าร่างกายของตนถูกพยุงขึ้น เขาพยายามดิ้นรนอย่างหงุดหงิดและตะโกนว่า “พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน!? ดึกดื่นเช่นนี้เหตุใดถึงไม่ไปหลับไปนอน!?”
“ท่านลุง ตื่นสิตื่น!” เสียงร้องเรียกอันไพเราะดังขึ้นที่ข้างหูของเขา เซวียหมิงรู้ว่านี่คือเสียงของบุตรสาวคนที่สองของเฝิงเป่า ผู้มีชีวิตชีวาและน่ารักซึ่งมีอายุเพียงแปดขวบเท่านั้น
“จะร้องไห้ทำไม!? ข้ายังไม่ตายเสียหน่อย!” เซวียหมิงพึมพำอย่างโกรธเกรี้ยว จากนั้นเขาก็ถลึงตากว้าง ทว่าในทันใดนั้น ชายชราก็ต้องหลับตา เพราะคลื่นแสงสีขาวอันไร้ขอบเขตที่สาดส่องเข้ามาแยงดวงตาอย่างจัง!
นี่คือ?
แม้ว่ามันจะเป็นแสงที่เขาได้รับรู้เพียงชั่วพริบตา แต่มันก็ทำให้ทั้งร่างกายของเซวียหมิงสั่นเทา ความมึนเมาในตัวเขาสร่างหายไปในทันที ความตื่นเต้นที่อธิบายไม่ได้ทะลักท่วมหัวใจของชายชราอย่างช่วยไม่ได้
ผู้อาวุโสเซวียหมิงหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะลืมตาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็เห็นแสงสว่างที่แผ่ปกคลุมทั่วทั้งผืนฟ้า เป็นแสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้าที่ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า!
หอคอยยันต์อักขระราวกับได้รับการปลุกให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล มันเปล่งแสงสีทองเจิดจ้าออกมาท่ามกลางม่านแห่งรัตติกาล โดยแสงสีทองนี้ได้ล่องลอยไปบนท้องฟ้าดุจพู่สีทองที่พลิ้วไหว ราวกับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เทพเจ้าได้ส่งลงมายังโลก ทำให้ดูเหมือนกับว่ายามนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน
ชาวบ้านยืนอยู่หน้าหอคอยยันต์อักขระ ซึ่งอาบไปด้วยแสงเจิดจ้า ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความสุข และดวงตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความปรารถนาและความคาดหวังในชีวิต
เซวียหมิงในขณะนี้ตัวสั่นราวกับถูกฟ้าผ่า ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ในขณะที่น้ำตาสีขุ่นสองสายไหลลงมาบนใบหน้าของชายชรา
‘พู่ทองแห่งความโกลาหล! นี่คือพู่ทองคำแห่งความโกลาหล! หอคอยยันต์อักขระได้รับการซ่อมแซมแล้วจริง ๆ!’ เขาตะโกนอย่างบ้าคลั่งในใจ เซวียหมิงไม่เคยคิดมาก่อนว่า ในชีวิตของตนจะได้เห็นฉากงดงามเช่นนี้เป็นครั้งที่สอง
แต่ทันใดนั้น ผู้อาวุโสเซวียหมิงก็ลังเลและเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ เขาตะโกนขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งอย่างรวดเร็วว่า “เร็วเข้า! บอกข้าที นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่? มันไม่ใช่ความฝันใช่ไหม?”
“มันไม่ใช่ความฝันอย่างแน่นอน” เสียงที่คมชัดและทุ้มต่ำดังก้องอยู่ข้างหูของชายชรา มันช่างเป็นน้ำเสียงที่คุ้นเคยยิ่งนัก
เซวียหมิงมองไปด้านข้าง และเห็นผู้บ่มเพาะนามเฉินซียืนอยู่ข้าง ๆ ตน พร้อมกับดวงตาคู่หนึ่งที่ลึกซึ้งราวกับจักรวาลของดวงดาวกำลังส่งยิ้มมา
ฝนแสงสีทองโปรยปรายลงมาราวกับพู่ที่พลิ้วข้ามผ่านฟากฟ้า ร่างสูงโปร่งที่สง่าผ่าเผยของชายหนุ่มยืนตัวตรงท่ามกลางแสงนั้น ผมสีดำสนิทของเขาพลิ้วไหว ทำให้ชายหนุ่มดูพิเศษยิ่ง
ราวกับเทพเจ้า!
เซวียหมิงตระหนักได้ทันทีว่า ภาพนี้ได้ถูกกำหนดให้ตราตรึงอยู่ในหัวใจของเขา และจะคงอยู่อย่างนั้นตลอดไป…