บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 826 ยายเฒ่าพันลักขี
บทที่ 826 ยายเฒ่าพันลักขี
บทที่ 826 ยายเฒ่าพันลักขี
สายลมเย็นเยือกพัดหวีดหวิว พาดผ่านถิ่นทุรกันดาร
เจดีย์หินปกคลุมด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นหินที่ไร้ซึ่งพืชหญ้างอกอย่างเงียบงัน ถึงแม้จะเก่าแก่มาก แต่ดูเหมือนมันจะไม่มีวันพังทลาย
ที่นี่คือศาลาพัก ซึ่งถูกสร้างขึ้นระหว่างหมู่บ้านและเมือง มีไว้ให้ผู้บ่มเพาะฟื้นฟูกำลัง
ในถิ่นทุรกันดารอันกว้างใหญ่คล้ายไร้ที่สิ้นสุดนี้ เต็มไปด้วยจิตสังหารอันตรายเกินหยั่ง ในอึดใจต่อมา ฝูงสัตว์อสูรจักรวาลอาจจะเคลื่อนลงมาจากท้องนภา เพื่อสร้างความโกลาหลให้กับปฐพี
ระยะห่างระหว่างหมู่บ้านกับเมืองค่อนข้างไกลพอสมควร ดังนั้นศาลาพักจึงนับว่าสำคัญยิ่งนัก
ประโยชน์ของศาลาพักนั้นเรียบง่ายยิ่ง และมันยังถูกใช้ในการพักฟื้นพลังมากที่สุด เนื่องจากการพักอยู่ภายในสถานที่แห่งนี้สามารถซ่อนเร้นกลิ่นอาย เพื่อหลบการสังเกตเห็นโดยสัตว์อสูรจักรวาลอันแปลกประหลาด
เฉินซีในตอนนี้กำลังนั่งขัดสมาธิในศาลาพัก โดยถือผลึกโลหิตไว้ในมือข้างหนึ่ง ขณะรีบทำการฟื้นฟูปราณจ้าววิญญาณ
ผลึกโลหิตนี้มาจากวิญญาณอัสนีในชั้นหกสิบของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต และมันมีค่ายิ่งกว่าศิลาอมตะนัก
…เหตุผลที่ทำไมร่างแยกอีกร่างของเขาจึงสามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะผลึกโลหิตนี้!
ตอนนี้ ร่างแยกที่ว่าได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตสถิตกายาแล้ว ทว่ายังมีผลึกโลหิตเหลืออยู่หลายสิบก้อน มันจึงมีจำนวนมากพอที่จะใช้งานระหว่างเฝ้ารอร่างหลักฟื้นคืนความแข็งแกร่ง ก่อนทะลวงออกจากโลกแห่งดาราได้
“เมื่อร่างหลักจะกลับมาเป็นปกติ ก็ให้ร่างนี้กลับไปบ่มเพาะในโลกแห่งดารา ทำความเข้าใจอีกด้านหนึ่งตลอดวันคืน ศึกษามหาเต๋าทั้งเล็กใหญ่ ทำความเข้าใจความเป็นนิรันดร์ การสรรค์สร้าง เคล็ดวิชาหายากอื่น ๆ ขณะที่ร่างหลักจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ หากทำเช่นนี้ ย่อมสามารถประหยัดเวลาในการทำความเข้าใจไปได้มากทีเดียว…”
ขณะเฉินซีฟื้นฟูความแข็งแกร่ง เขาก็ครุ่นคิดไปด้วย
เวลาในตอนนี้กระชั้นชิดนัก เหลือไม่มากแล้ว… แต่โชคยังดี ที่กาลเวลาในโลกแห่งดาราช้ากว่าโลกภายนอกนับสิบเท่า ทั้งยังปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองร่างของเขาจึงสามารถผลัดกันบ่มเพาะ ทำความเข้าใจจิตแห่งเต๋า กฎเต๋า และเคล็ดวิชามากมาย ทำให้บรรลุผลลัพธ์อันน่าทึ่งยิ่งกว่าปิดด่านบ่มเพาะเสียอีก!
สิ่งที่เขาได้รับจากการรู้แจ้ง สามารถกลายเป็นประสบการณ์และประโยชน์ต่อร่างหลักได้ และหากเผชิญกับภัยร้ายแรงใด ร่างที่สองนี้ก็สามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับร่างหลักได้!
หากเป็นเช่นนี้ มันก็ไม่เพียงแค่ขจัดปัญหาที่ไม่สามารถบ่มเพาะอย่างเงียบสงบเท่านั้น แต่ชายหนุ่มยังสามารถใช้ร่างที่สองนี้ในฐานะไพ่ตาย เพื่อทำการโต้กลับในช่วงเวลาสำคัญได้อีกด้วย
แปะ! แปะ!
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป ผลึกโลหิตสองก้อนในมือได้กลายเป็นผุยผง หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ขณะที่ปราณจ้าววิญญาณในร่างของเฉินซีบรรลุไปถึงสภาพสูงสุดอีกครั้ง โลหิตเดือดพล่านคำรามไปทั่วทั้งกาย ราวกับเสียงคำรามที่ดังกึกก้องและลึกล้ำดั่งมหาสมุทรของมังกร!
“กฎแห่งสวรรค์ในพิภพยันต์อักขระนี้แปลกประหลาดนัก ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของทัณฑ์สวรรค์ได้เลย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดศิษย์พี่หลียางถึงพาข้ามาที่นี่ อย่างน้อยก่อนออกจากพิภพยันต์อักขระ ข้าก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับกฎแห่งวิถีสวรรค์ที่อาจส่งสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์มาสังหาร ‘สิ่งแปลกปลอม’ นี้…”
เฉินซีเงยหน้ามองท้องนภา พลางถอนหายใจยาวออกมา
ไม่ว่าจะการขัดเกลากายา หรือการบ่มเพาะปราณแท้ในตอนนี้ เขาก็ล้วนฝึกฝนจนถึงขอบเขตสถิตกายาแล้ว ซึ่งไม่ว่าความคืบหน้าจะยากลำบากเพียงใด แต่เมื่อก้าวหน้าจนถึงขอบเขตเซียนปฐพี มันย่อมต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพขึ้น จากมนุษย์กลายเป็นเซียน ตัวคนพุ่งทะยานเหนือท้องนภาในวันหนึ่ง
แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ก็มากพอที่จะท่องไปในพิภพยันต์อักขระ และหากไม่เผชิญกับตัวตนน่าสะพรึง มันย่อมไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้
“ยายเฒ่าพันลักขี ศิษย์พี่เฉินหยวน ศาลาพักอยู่ตรงหน้าแล้ว พวกเราพักที่นี่กันเถิด”
“การพบศาลาพักย่อมเท่ากับจวนจะถึงเมืองนกนางแอ่นแดงแล้ว ภายในครึ่งวันคงไปถึงเมืองได้… ดังนั้นจะพักเติมพลังงานกันที่นี่ก็ไม่เสียหาย”
“ไป!”
ในท้องนภาไกลลิบ รุ้งทิพย์สามสายที่ดูเหมือนม้าพลันปรากฏขึ้น พวกมันตัดผ่านความว่างเปล่า ก่อนคนจะมาถึง เสียงก็มาถึงก่อนแล้ว
เฉินซีเงยหน้าขึ้น ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย ในใจเกิดความระแวดระวัง
ก่อนจะมายังพิภพยันต์อักขระ เหลียงปิงได้อธิบายกับเขาแล้วว่าพิภพยันต์อักขระเปรียบเสมือนพื้นที่ทดสอบ มีอันตรายใหญ่หลวงอยู่สองอย่าง อันตรายอย่างที่หนึ่งคือการรุกรานของสัตว์อสูรจักรวาล มันคือภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุด มีผู้บ่มเพาะหลายคนในสามภพที่ถูกฝังภายใต้ปากของสัตว์อสูรเหล่านั้น
อันตรายอย่างที่สองคือถูกคนอื่นในพิภพยันต์อักขระสังหาร เพราะภายในพิภพยันต์อักขระไม่มีกฎและข้อห้าม ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่ง ขอเพียงมีอำนาจ จะทำให้เซียนสวรรค์กลายเป็นข้ารับใช้ สัตว์อสูรเทวะกลายเป็นทาส เผ่ามังกรกลายเป็นสัตว์ขี่ ก็ไม่มีผู้ใดสนใจแต่อย่างใด
และเฉินซีในตอนนี้ก็เริ่มค่อย ๆ เข้าใจความหมายดังกล่าวแล้ว
โดยเฉพาะอันตรายอย่างที่สองย่อมไม่อาจเพิกเฉยได้ เพราะไม่มีปราณวิญญาณในพิภพยันต์อักขระ ของอย่างศิลาอมตะกับน้ำอมฤตจึงเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งนัก
และเมื่อเป็นเช่นนี้ ยามเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า จึงมิอาจบอกได้ว่าจะโดนหมายหัวหรือไม่
เพราะการได้รับศิลาอมตะเพิ่มหนึ่งก้อนย่อมเป็นประโยชน์อย่างมาก ด้วยประหยัดพลังธรรมเทพที่ใช้แลกเปลี่ยน และสามารถย่นระยะเวลาในการเข้าเมือง มณฑล และนครหลวงสี่จักรพรรดิ
เพราะถึงอย่างไร ในพิภพยันต์อักขระก็มีเพียงพลังธรรมเทพเท่านั้นที่สามารถเบิกทางเข้าสู่ที่ใดก็ได้ตามต้องการ หาไม่แล้วจะไม่สามารถขยับไปไหนได้แม้แต่นิดเดียว
ดังนั้นผู้บ่มเพาะทุกคนจึงไม่อยากใช้พลังธรรมเทพไปอย่างเสียเปล่า และทางออกของปัญหานี้ก็คือการฉกฉวยศิลาอมตะและน้ำอมฤตของผู้อื่น!
ในขณะนี้มีสามคนกำลังเคลื่อนที่มาอย่างรวดเร็ว เป็นชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวหรูหรา หญิงสาวงดงามหยิ่งทะนง กับหญิงชราผมขาวร่างผอมในชุดสีดำ นางถือไม้เท้าหัวอีแร้งไว้ในมือ
ชายหนุ่มกับหญิงสาวสวมชุดหรูหรา ท่วงท่าของพวกเขาสง่างาม เห็นได้ชัดว่าทั้งสองมาจากตระกูลผู้ดี การบ่มเพาะยอดเยี่ยมยิ่งนัก แต่ไม่มีใครบรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพี ทว่านั่นไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใด
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาประหลาดใจคือหญิงชราผมขาวในชุดสีดำ นางถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มควันสีดำ ราวกับเป็นผู้บ่มเพาะวิถีอสูร ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายและเย็นยะเยือกยิ่ง
ทันทีที่นางปรากฏกาย เฉินซีมองปราดเดียวก็สรุปได้ว่า การบ่มเพาะของหญิงชราผู้นี้เหนือกว่าขอบเขตเซียนปฐพีระดับสาม และหลังจากคำนวณอย่างละเอียดแล้ว นางน่าจะห่างชั้นจากผู้อาวุโสอวิ๋นจูจากนิกายวิถีกระแสสวรรค์ไม่มากนัก
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการตัดสินอย่างผิวเผินเท่านั้น ยากจะบอกได้ว่าแท้จริงแล้วเป็นเช่นไร
ทว่านี่ก็มากพอจะทำให้เฉินซีสนใจ เพราะบริเวณนี้เป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่าระหว่างหมู่บ้านกับเมือง ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายไร้ที่สิ้นสุด ในราตรีมืดสนิทเช่นนี้ สามคนนี้พลันเข้ามา เขาจึงอดที่จะรู้สึกระแวดระวังไม่ได้
“หืม? ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับคนที่ใจตรงกันที่นี่”
ในตอนนี้ ชายหนุ่ม หญิงสาว และหญิงชราได้พบกับเฉินซีที่อยู่ในศาลาพักเช่นกัน พวกเขาประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อพบว่ามีเพียงเฉินซีคนเดียว กอปรกับการบ่มเพาะของชายหนุ่มที่อยู่ขอบเขตสถิตกายา พวกเขาจึงเลือกเมินเฉย และเดินไปที่ศาลาพัก ก่อนนั่งขัดสมาธิเพื่อฟื้นฟูกำลังกาย
ถึงแม้ศาลาพักนี้จะมีความกว้างเพียงสิบกว่าจั้ง แต่ก็มากพอจะจุคนได้มากถึงยี่สิบคน เฉินซีนั่งขัดสมาธิที่มุมหนึ่งของศาลาพัก ไม่สนใจสามคนนั้นแต่อย่างใด
หลังจากชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวเข้ามาในศาลาพัก เขาก็หยิบขวดน้ำเต้าสีโลหิตออกมา เทน้ำสีโลหิตลงในชามอย่างระมัดระวัง
โลหิตที่ไหลออกมาเป็นสีแดงเข้ม มันได้แผ่กลิ่นอายหอมหวานออกมา
หลังจากเทจนเต็มชาม ชายหนุ่มก็เก็บขวดน้ำเต้า ขณะที่หญิงสาวรับชามไป ก่อนจะส่งให้หญิงชราด้วยความเคารพ “ยายเฒ่าพันลักขี ดื่มนี่ก่อนเถิดเจ้าคะ”
“อึ่ก ๆ”
หญิงชราที่ถูกเรียกว่ายายเฒ่าพันลักขีรับชามมา นางเปิดปากดื่มเข้าไปจนโลหิตในชามไม่มีเหลือ จากนั้นแลบลิ้นสีแดงเข้มเลียมุมปาก ก่อนถอนหายใจอย่างสบายอารมณ์
ในตอนนี้ เฉินซีมองเห็นอย่างชัดเจนว่า ภายในปากของหญิงชรามีเขี้ยวสีขาวคมปลาบหนึ่งคู่! แม้จะเพียงชั่วครู่ แต่ก็ทำให้เขาตัดสินได้ในทันทีว่าหญิงชราผู้นี้จะต้องเป็นผู้บ่มเพาะอสูร!
ส่วนโลหิตที่เข้มข้นและมีกลิ่นหอม หากการคาดเดาของเฉินซีถูกต้อง มันจะต้องเป็นโลหิตของผู้บ่มเพาะมนุษย์แน่นอน! มันคือโลหิตของผู้บ่มเพาะอันทรงพลังยิ่ง จนโลหิตเดือดพล่านไม่หยุด!
“ร่างเต็มไปด้วยปราณอสูร แต่กลับเป็นปีศาจ ทั้งยังกลืนกินเลือดมนุษย์เข้าไป…” เฉินซีหรี่ตา เมื่อยืนยันได้ว่าหญิงชราผู้นี้น่าจะไม่ใช่คนดี!
“เฉินหยวน เจ้าไม่จำเป็นต้องส่งกระแสปราณหรอก เขาก็แค่เด็กน้อยขอบเขตสถิตกายาเท่านั้น” ยายเฒ่าพันลักขีพลันโบกมือแล้วกล่าวขึ้น ขณะที่พูด นางก็กวาดตามองเฉินซี ร่องรอยความอวดดีและเหยียดหยันปรากฏขึ้นมา
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวนามว่าเฉินหยวนตกตะลึง ก่อนจะมองเฉินซี จากนั้นถอนสายตากลับ นางยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านยายพูดถูกแล้ว”
เฉินซีไม่เหลียวแลพวกเขา ราวกับไม่ได้ยินอะไร
“ท่านยาย ตระกูลหลัวคิดบดบังฟ้าในพิภพยันต์อักขระด้วยมือเดียว พลังของพวกเขาไร้เทียมทาน แต่เหตุใดจึงได้เชิญพวกเราให้ไปช่วยเหลือกัน? ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ” หญิงสาวที่อยู่อีกด้านหนึ่งครุ่นคิด
“ปี้อิน เจ้าไม่ได้รู้สถานการณ์ของพิภพยันต์อักขระแม้แต่น้อย” ยายเฒ่าพันลักขีกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ยิ่งกว่านั้น ภายในพิภพยันต์อักขระแห่งนี้ ตระกูลหลัวยังห่างชั้นกับคำว่าบดบังฟ้าในพิภพยันต์อักขระด้วยมือเดียวนัก”
“ถูกต้อง โถงอันดับที่เก้าของพิภพยันต์อักขระถูกควบคุมโดยสี่ตระกูลใหญ่ ตระกูลหลัวเป็นเพียงหนึ่งในนั้นเท่านั้น”
เฉินหยวนพยักหน้า กล่าวอย่างมีอารมณ์ทันทีว่า “หากลงรายละเอียด สี่ตระกูลใหญ่นี้คือยอดฝีมือร้ายกาจอย่างแท้จริง ภูมิหลังลึกล้ำทรงพลัง อิทธิพลของพวกเขาที่มีต่อภพอื่นยิ่งใหญ่นัก เกรงว่าจะไม่มีใครสามารถเทียบได้”
“เหอะ นั่นไม่ใช่เพราะความรุ่งโรจน์ของบรรพบุรุษของพวกเขาหรอกหรือ? พิภพยันต์อักขระนี้ถูกสร้างโดยบรรพบุรุษของสี่ตระกูลใหญ่ การที่ลูกหลานของพวกเขาจะอยู่ใต้ร่มเงาจึงสมเหตุสมผล”
หญิงสาวที่มีนามว่าปี้อินแค่นเสียง น้ำเสียงแฝงด้วยความอิจฉา
เพียะ!
ทว่าใครจะคาดคิด เมื่อสิ้นเสียงไม่ทันไร ใบหน้าของยายเฒ่าพันลักขีจะซีดเผือด หมองหม่นเสียจนน่าสะพรึงกลัว นางตบแก้มสีขาวราวหิมะของปี้อิน ขณะกล่าวอย่างเย็นชาว่า “จะกล่าวว่าร้ายสามตระกูลที่เหลือมันก็ได้อยู่หรอก แต่ขนาดข้ายังไม่บังอาจกล่าวเช่นนั้นต่อตระกูลหลัวเลย แล้วเจ้าล่ะเป็นผู้ใด? ถ้าข้าได้ยินอีก เจ้าได้พิการแน่!”
ปี้อินจับแก้มที่บวมแดงขึ้นมา ในใจทั้งรู้สึกไม่อยากเชื่อ และหวาดกลัว นางก้มศีรษะ ก่อนกล่าวด้วยเสียงสั่นสะท้านว่า “ท่านยายใจเย็นก่อน ปี้อินไม่กล้าทำอีกแล้ว”
ยายเฒ่าพันลักขีกล่าวอย่างราบเรียบว่า “เห็นแก่ความเขลาของเจ้า ครั้งนี้ข้าจะยกโทษให้”
จากนั้นเฉินหยวนก็เปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว เขาถามว่า “ท่านยาย ที่มาช่วยตระกูลหลัวในครั้งนี้ พวกเราต้องจัดการใครหรือ?”
“นังปีศาจน้อยตนหนึ่ง!”
ยายเฒ่าพันลักขีตอบด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันจนน่ากลัว “ถึงเวลาเจ้าจะเข้าใจเอง ขอเพียงจัดการนังสารเลวนั่นได้ ทั่วทั้งพิภพยันต์อักขระ ตระกูลหลัวก็ย่อมสามารถบดบังผืนฟ้าในพิภพยันต์อักขระด้วยมือเดียวได้!”