บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 827 ศัตรูบุกประชิด
บทที่ 827 ศัตรูบุกประชิด
บทที่ 827 ศัตรูบุกประชิด
นังปีศาจน้อย?
เฉินหยวนและปี้อินต่างมองหน้ากัน ถึงแม้พวกเขาจะเค้นสมองเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่า หญิงสาวตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะมีความสำคัญมากถึงขนาดส่งผลต่อสถานการณ์ในพิภพยันต์อักขระทั้งหมดได้อย่างไร?
แม้แต่หัวใจของเฉินซีก็ยังสั่นไหวหลังจากที่ได้ยินสิ่งนี้ และเขาก็ได้กลิ่นบางอย่างที่ผิดปกติจากเรื่องที่ได้ยิน
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า พิภพยันต์อักขระนั้นถูกสร้างขึ้นที่สนามรบแนวหน้าของภพทั้งสาม และมันถูกสร้างร่วมกันโดยผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่จากยุคบรรพกาล อันได้แก่ จักรพรรดิตะวันออกไท่เจิน จักรพรรดิแห่งความมืดหยวนสวิน ราชินีวิหคอมตะอินเกอ และบรรพบุรุษอสูรหลัวซาง
พิภพยันต์อักขระทั้งหมดในปัจจุบันดูเหมือนจะถูกควบคุมโดยโถงอันดับที่เก้า แต่แท้จริงแล้วมันถูกควบคุมโดยตระกูลเหลียง ตระกูลกู่ ตระกูลอิน และตระกูลหลัว
บรรพบุรุษของทั้งสี่ตระกูลนี้คือจักรพรรดิตะวันออก จักรพรรดิแห่งความมืด ราชินีวิหคอมตะ และบรรพบุรุษอสูรนั่นเอง
เมื่อเขาได้ยินว่ายายเฒ่าพันลักขีคนนี้มาเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลหลัว และดูจะตั้งใจเข้าร่วมในการปะทะครั้งใหญ่ เฉินซีจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัย ‘นังปีศาจน้อยคนนั้นคือผู้ใดกันแน่?’
‘คงไม่ใช่บุคคลสำคัญจากหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่กระมัง?’
“เอาล่ะ ออกเดินทางกันเถอะ” จู่ ๆ ยายเฒ่าพันลักขีก็ยืนขึ้นในขณะนี้ นางถือไม้เท้าหัวอีแร้งไว้ในมือ พลางจ้องมองไกลออกไปพร้อมกับกล่าวพึมพำด้วยความรำคาญ “กฎที่น่าชิงชังของพิภพยันต์อักขระ! มีแต่ต้องสะสมพลังธรรมเทพจนเพียงพอถึงจะเข้าสู่เมืองได้ หลังจากที่ข้าจับนังปีศาจน้อยนั่นได้ ข้าจะแนะนำนายน้อยหลัวคนรองว่าควรยกเลิกกฎนี้เสีย…”
ฟิ้ว!
ขณะที่นางกล่าว ตัวคนก็พลันกลายเป็นลำแสงหายลับไปในขอบฟ้าแล้ว
เฉินหยวนกับปี้อินต่างตกตะลึง จากนั้นจึงรีบตามไป ทว่าก่อนที่พวกเขาจะจากไป คนทั้งสองคนได้กวาดสายตามองเฉินซีอย่างเย็นชา และพวกเขาไม่ได้ปิดบังคำเตือนที่อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
“พวกเขาคงไม่ฆ่าข้าเพื่อปิดปากจริง ๆ หรือ? ดูเหมือนว่าการมีอยู่ของข้าจะไม่สำคัญในความคิดของพวกเขา…” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะตัวเอง ในขณะที่จ้องมองไปยังทิศทางที่คนทั้งสามหายวับไป
เดิมทีชายหนุ่มเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้อยู่แล้ว หากเป็นผู้อื่น คนผู้นั้นอาจเกิดจิตอกุศลที่จะสังหารเฉินซีเพื่อปิดปาก เพราะเขาได้ยินความลับอันสุดโต่งเหล่านี้เข้า
ทว่าทั้งสามคนกลับจากไปเยี่ยงนี้และไม่เหลือบแลเขาแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงมีเหตุผลเดียวเท่านั้น…
ในความเห็นของพวกเขา เฉินซีนั้นไม่อาจสร้างปัญหาให้พวกเขาได้แม้ว่าชายหนุ่มจะรู้ความลับนี้ก็ตาม…
ชายหนุ่มไม่อาจเข้าใจได้ว่า พวกเขาไปได้รับความมั่นใจและความรู้สึกที่เหนือกว่านี้มาจากที่ใด? ยิ่งกว่านั้น พวกเขาไม่เพียงมีท่าทีที่เย่อหยิ่งจองหองเท่านั้น แต่ยังกระทำการโดยประมาทเสียด้วยซ้ำ!
บางทีนี่อาจเป็นความล้มเหลวตามปกติของผู้ยิ่งใหญ่ที่มากด้วยศักดิ์ศรี ซึ่งมักรู้สึกว่าตนนั้นเหนือกว่าผู้อื่น?
เฉินซีได้แต่ส่ายศีรษะและไม่คิดอะไรอีกต่อไป เขาอยู่ในศาลาพักอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนและจากไป
…
ใต้ท้องฟ้า
ยายเฒ่าพันลักขีที่บินทะยานไปข้างหน้า จู่ ๆ ก็แลบลิ้นสีแดงเข้มออกมาเลียริมฝีปากของนาง ในขณะที่ดวงตาเย็นชาของหญิงชราก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ช่างเป็นเลือดที่บริสุทธิ์อะไรอย่างนี้! หากข้าสามารถดูดเลือดของเขาได้เต็มปาก รสชาติของมันจะต้องวิเศษมากอย่างแน่นอน”
เฉินหยวนและปี้อินที่อยู่ใกล้ ๆ ตกตะลึง จากนั้นพวกเขาก็เอ่ยถามว่า “ท่านยาย ท่านกำลังกล่าวถึงเจ้าเด็กคนนั้นเมื่อคราวก่อนหรือไม่?”
ยายเฒ่าพันลักขีหายใจเข้าลึก ๆ และลูบริมฝีปากของนางพร้อมกับพยักหน้า จากนั้นจึงกล่าวว่า “ถูกต้อง เลือดของเด็กคนนั้นทั้งสะอาดและบริสุทธิ์ อีกทั้งยังมีกลิ่นอายของเต๋า รสชาติของมันจึงย่อมดีกว่าผู้บ่มเพาะทั่วไปมาก”
“แล้วเหตุใดท่านถึงไม่ฆ่าเขาก่อนหน้านี้เล่า ท่านยาย?” ดวงตาที่เย็นชาและเย่อหยิ่งของปี้อินเต็มไปด้วยความเลือดเย็น “หากฆ่าเขา เรายังสามารถยึดน้ำอมฤตได้ ซึ่งเป็นการดีกว่าไม่ได้ทำสิ่งใดเลย และที่สำคัญสุด ท่านยายก็จะมีอาหารรสเลิศให้ลิ้มลองในภายภาคหน้า”
“ไม่ได้ เด็กคนนั้นไม่ง่ายดายอย่างที่คิด” ยายเฒ่าพันลักขีดูจะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวว่า “มีแต่ต้องฝึกฝนทักษะขัดเกลาเทพอสูรเท่านั้น ถึงทำให้เด็กคนนี้กล้าท่องไปในถิ่นทุรกันดารเพียงลำพัง อีกทั้งตั้งแต่ที่เราปรากฏตัว เขากลับไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องปกติ”
“บางทีเขาอาจแค่วางท่าเกินจริง” เฉินหยวนกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย
“เจ้ากำลังสงสัยในความคิดของข้าหรือ?” ใบหน้าของยายเฒ่าพันลักขีกลายเป็นเย็นชา ขณะที่นางตวาดด้วยความไม่พอใจ
เฉินหยวนสั่นสะท้านไปทั้งตัว เขารีบกล่าวว่า “ข้าไม่กล้า ข้าไม่กล้า”
“ท่านยาย ถ้าเป็นเช่นนี้ เราก็ควรจะฆ่าเขาเสียดีกว่า ถึงอย่างไร เขาก็ได้ยินทุกอย่างที่เรากล่าวก่อนหน้านี้ และถ้ามันรั่วไหลออกไป ผลที่ตามมาก็ยากจะจินตนาการได้” ปี้อินกล่าวอย่างเร่งรีบจากทางด้านข้าง
“ฆ่าเขาหรือ?” ยายเฒ่าพันลักขีส่ายศีรษะและครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะกล่าวว่า “เพราะข้ารู้สึกว่าเขาไม่ธรรมดา และนั่นคือสาเหตุที่ข้าไม่ได้ลงมือสังหารเขาเสียที นอกจากนี้ เรื่องที่เราพูดคุยก็ไม่ได้สำคัญอันใด เพราะเรื่องนี้ไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไปแล้ว”
“แล้ว…เราจะปล่อยเขาไปอย่างนั้นหรือ?” ปี้อินเอ่ยถาม
“ไม่มีวัน” หญิงสาวหัวเราะเยาะและกล่าวว่า “ข้าไม่ได้พบอาหารที่เย้ายวนเช่นนี้มานานแล้ว เราจะไปที่เมืองนกนางแอ่นแดงก่อน หากข้าคาดการณ์ไม่ผิด เด็กคนนั้นก็คงไปที่นั่นเช่นกัน เมื่อถึงเวลานั้น คงไม่สายเกินไปที่เราจะสืบส่องความเป็นมาของเขา ก่อนจะกระทำการใด”
“แผนการของท่านยายช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ เมื่อเข้าสู่เมืองนกนางแอ่นแดง เราจะติดต่อกับคนของตระกูลหลัว เมื่อถึงเวลานั้น เราจะใช้กองกำลังของพวกเขาเพื่อจับตัวเจ้าเด็กคนนั้น โดยที่เราไม่ต้องลงมือเองแม้แต่น้อย” เฉินหยวนประจบสอพลออย่างกระตือรือร้นจากทางด้านข้าง
“เอาล่ะ ไปที่เมืองนกนางแอ่นแดงก่อนเถิด” ยายเฒ่าพันลักขีเผยรอยยิ้มอำมหิต เมื่อคิดถึงวิธีที่นางจะสามารถเพลิดเพลินกับอาหารอันโอชะในอนาคตอันใกล้นี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะเลียมุมริมฝีปาก เมื่อรวมกับใบหน้าอันน่าสยดสยองและซูบผอมของหญิงชราแล้ว นางจึงดูน่ากลัวเป็นพิเศษ
…
เมื่อเฉินซีอยู่ห่างจากเมืองนกนางแอ่นแดงราวสองพันห้าร้อยลี้ เขาดูจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง และทันใดนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเหนือถิ่นทุรกันดารนั้นปลอดโปร่ง จนเขาสามารถมองเห็นดวงดาวมากมายที่กะพริบอยู่ในนั้น ทว่าในขณะนี้กลับมีกลุ่มเงาสีดำมหึมาได้เข้าปกคลุมท้องฟ้าไปถึงครึ่งหนึ่งทันที!
พวกมันคือสัตว์อสูรจักรวาลจำนวนมหาศาล ซึ่งปกคลุมฟ้าดินในขณะที่พวกมันพุ่งเข้ามาราวกับกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว พวกมันพุ่งลงมาจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเหมือนดาวตก ทำให้เกิดภาพที่น่าหวาดหวั่นอย่างมาก
ครืนน!
เมื่อสัตว์อสูรจักรวาลขนาดมหึมาเหล่านี้ลงมาถึงพื้นดิน พวกมันก็ทำให้ก้อนหินและภูเขาโดยรอบแตกเป็นเสี่ยง ๆ แม้แต่พื้นดินยังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับเกิดแผ่นดินไหว ทำให้สภาพแวดล้อมโดยรอบพังทลาย
โอม!
ทันใดนั้น ลำแสงสีขาวขุ่นก็พุ่งขึ้นสู่ท้องนภาจากขอบฟ้าที่ไกลแสนไกล มันเหมือนกับดวงอาทิตย์แผดเผาซึ่งค่อย ๆ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ในขณะที่รัศมีเจิดจ้าของมันสาดส่องไปทั่วบริเวณโดยรอบ จากนั้นมันจึงก่อตัวเป็นม่านแสงทรงโค้งขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบบริเวณนั้นไว้
สัตว์อสูรจักรวาลได้บุกลงมาจากท้องฟ้า ซึ่งหอคอยยันต์อักขระในเมืองนกนางแอ่นแดงก็ได้สำแดงพลังออกมาแล้ว!
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นเมื่อเห็นสิ่งนี้ เพราะเขามาถึงในเวลาที่เลวร้ายจริง ๆ และประสบกับช่วงเวลาที่สัตว์อสูรจักรวาลบุกโจมตีเมืองพอดิบพอดี
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
เสียงตะโกนมากมายที่สั่นสะเทือนท้องฟ้าพลันดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดินดุจเสียงฟ้าร้อง จากนั้นร่างจำนวนมากที่อาบไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ได้พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เข้าเข่นฆ่าในกองทัพของสัตว์อสูรจักรวาล
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ฟ้าดินทั้งหมดต่างตกอยู่ในการต่อสู้ที่ดุเดือด ไม่ว่าจะเป็นสมบัติวิเศษ ศาสตร์เต๋าและพลังอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ พลันพุ่งออกมาอย่างรุนแรงบนอากาศ พวกมันฉีกผ่านม่านสีดำสนิทแห่งรัตติกาลขณะที่ส่องสว่างไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก
เฉินซีเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผู้บ่มเพาะนับไม่ถ้วนได้กลายเป็นลำแสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งเข้าใส่กองทัพสัตว์อสูรจักรวาลอย่างดุเดือด ก่อนที่จะเข่นฆ่าอาละวาดไปทั่วทุกทิศทาง จนถึงขั้นที่โลกทั้งใบถูกปกคลุมไปด้วยเงามืด ในขณะที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ล้วนสูญเสียความสว่างไป
ฝนโลหิตโปรยปรายลงมาจนทำให้แผ่นดินเจิ่งนองไปด้วยเลือด และท้องฟ้าก็ถูกย้อมจนเป็นสีแดงก่ำ
นี่เป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่และน่าสยดสยองยิ่ง สัตว์อสูรจักรวาลพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัว โดยหมายมั่นจะยึดเมือง ในขณะที่เหล่าผู้บ่มเพาะต่างพุ่งเข้าใส่ และต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมดของพวกเขา โดยตั้งใจจะรวบรวมพลังธรรมเทพมากขึ้น
สัตว์อสูรจักรวาลฝูงแล้วฝูงเล่าต่างล้มลง ในขณะที่กลุ่มผู้บ่มเพาะจำนวนมากก็ล้มตายไปพร้อมกับความเกลียดชังในหัวใจของพวกเขา และท่ามกลางการต่อสู้ขนาดใหญ่นี้ กลิ่นอายแห่งความตายนับว่าหนาแน่นอย่างยิ่ง
เมื่อได้เห็นเหตุการณ์นี้ ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจสิ่งที่เหลียงปิงกล่าว ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพิภพยันต์อักขระคือสัตว์อสูรจักรวาล และผู้บ่มเพาะในพิภพยันต์อักขระส่วนใหญ่ก็ต้องมาล้มตายด้วยคมเขี้ยวสัตว์อสูรจักรวาลเหล่านี้!
…โดยไม่ลังเลอีกต่อไป ชายหนุ่มพลันพุ่งเข้าใส่กองทัพสัตว์อสูรจักรวาลจากทางด้านหลังทันที!
ตู้ม!
ฝ่ามือมหาดาราที่ยิ่งใหญ่และพร่างพราวปรากฏขึ้นราวกับฝ่ามือที่ปกคลุมท้องฟ้า พร้อมกับฟาดลงไปยังบริเวณที่หนาแน่นที่สุดของสัตว์อสูรจักรวาลอย่างรุนแรง
ในพริบตาต่อมา พลังอันน่าสะพรึงกลัวของฝ่ามือได้พุ่งออกมาดั่งระเบิด ทุก ๆ ที่ที่มันปกคลุม สัตว์อสูรจักรวาลฝูงแล้วฝูงเล่าจะตกลงมาจากท้องฟ้า เหมือนกับพายุฝนที่ก่อตัวขึ้นจากมวลน้ำสีดำที่โหมกระหน่ำ
พรวด!
เสียงครืน ๆ ที่สั่นสะเทือนท้องฟ้าดังก้องออกมา ในขณะที่สัตว์อสูรจักรวาลกว่าร้อยตัวถูกบดขยี้จนเละ และตายอย่างน่าสังเวชตรงจุดนั้น
ในเวลาเดียวกัน เฉินซีใช้เคล็ดปีกนภาดารกะ พุ่งเข้าใส่กองทัพสัตว์อสูรจักรวาลราวกับแสงดาวที่เย็นยะเยือก
ขนาดของสัตว์อสูรจักรวาลที่บุกโจมตีเมืองนกนางแอ่นแดงในครั้งนี้ มีขนาดมหึมาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และมันใหญ่โตยิ่งกว่าฝูงสัตว์อสูรจักรวาลที่โจมตีหมู่บ้านจินซางถึงร้อยเท่า จำนวนของพวกมันไม่ได้มีเพียงหลักพัน แต่เป็นหมื่นเป็นแสน และเป็นล้านด้วยซ้ำ!
ขนาดของสัตว์อสูรจักรวาลเช่นนี้เป็นสิ่งที่หมู่บ้านไม่สามารถต้านทานได้แน่นอน และมีเพียงเมืองใหญ่อย่างเมืองนกนางแอ่นแดงเท่านั้นที่สามารถต้านทานได้ ส่วนระยะเวลาที่มันจะต้านทานได้อยู่นั้นก็ขึ้นอยู่พลังของหอคอยยันต์อักขระ รวมถึงความแข็งแกร่งและจำนวนของผู้บ่มเพาะ
ฆ่า!
เฉินซีใช้เคล็ดร่างแปลงสวรรค์และเคล็ดอวตารเทพ ปราณจ้าววิญญาณในร่างกายของเขาโคจรจนถึงขีดจำกัด ทำการเจาะทะลวงทางด้านหลังของกองทัพสัตว์อสูรจักรวาลอย่างดุเดือดเหมือนสว่านอันแหลมคม ทุกที่ที่ชายหนุ่มผ่านไป ฝนโลหิตจะโปรยปรายลงมา ในขณะที่เสียงร้องโหยหวนดังก้องอย่างต่อเนื่อง และเข้ากวาดล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้า!
“วิเศษนัก! ในหมู่พวกมันมีสัตว์อสูรจักรวาลที่เทียบเท่ากับขอบเขตเซียนปฐพีระดับที่หนึ่งและระดับที่สองอยู่ด้วย ไม่ว่าจะขนาดหรือความแข็งแกร่ง มันก็ห่างไกลเกินกว่าที่หมู่บ้านจะเทียบได้!”
“สัตว์อสูรจักรวาลขอบเขตเซียนปฐพีระดับหนึ่งทุกตัวที่ข้าได้ฆ่าไป จะทำให้ข้าจุดประกายดวงดาวได้สามดวงในแผ่นป้ายธรรมเทพของข้า แต่น่าเสียดายที่สัตว์อสูรจักรวาลเช่นนี้หายากเกินไปและซ่อนตัวอยู่ในกองทัพ ทำให้การสังหารพวกมันไม่ได้ราบรื่นนัก ทว่าแม้ข้าจะฆ่าสัตว์อสูรจักรวาลไปกว่าร้อยตัว แต่กลับไม่สามารถจุดประกายดวงดาวได้แม้แต่ดวงเดียว ดูเหมือนว่าพลังธรรมเทพนี้จะได้มาไม่ง่าย…”
สีหน้าของเฉินซียังคงสงบนิ่ง ในขณะที่เขาพุ่งเข้าใส่ศัตรูพร้อมกับวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรวดเร็ว
“บัดซบ! ข้าเข่นฆ่าอย่างลืมตัวจนถูกกวาดต้อนไปยังแนวหลังของสัตว์เดรัจฉานฝูงนี้แล้ว!”
ทันใดนั้น ร่างของหญิงงามโซซัดโซเซอยู่ท่ามกลางฝูงสัตว์อสูรจักรวาลที่อยู่ห่างไกลออกไป และนางถูกสัตว์อสูรจักรวาลที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงบังคับให้ต้องบินไปหาเฉินซี ทำให้คิ้วงามของหญิงสาวเลิกขึ้น พร้อมกับร้องด้วยความตกใจ
หลังจากนั้นนางก็ฝืนกัดฟัน และเงื้อดาบจันทร์เสี้ยวในมือขึ้น ก่อนจะเข่นฆ่าอย่างไร้ความปรานีพร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “พวกเศษสวะน่ารังเกียจ! พวกสัตว์เดรัจฉานชั้นต่ำ! ก็แค่เศษสวะที่มีดีแค่รุมเท่านั้น! ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็จะลากพวกเจ้าลงไปด้วย!”
เฉินซีกล่าวอะไรไม่ออก เพราะคำด่าท่อเหล่านี้ไม่มีการสำรวมแม้แต่น้อย..
ตู้ม!
ในขณะนี้ สัตว์อสูรจักรวาลที่มีความยาวเกือบสิบจั้ง มีรูปร่างเหมือนพยัคฆ์ ร่างกายปกคลุมด้วยหนามสีดำสนิทได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่มันจะจู่โจมด้วยกรงเล็บไปที่หลังของหญิงสาวคนนั้นอย่างรุนแรง
หากนางโดนการโจมตีครั้งนี้ ร่างของนางคงจะถูกฉีกขาด แม้ว่าจะรอดชีวิตมาได้ก็ตาม
ในขณะนี้ หญิงงามกำลังถูกรุมล้อมด้วยสัตว์อสูรจักรวาลกว่าสิบตัว และเป็นไปไม่ได้ที่นางจะหลบหนี เมื่อหญิงสาวสังเกตเห็นอันตรายถึงชีวิตที่มาจากทางด้านหลัง นางก็ไม่มีพลังพอที่จะต้านทานแล้ว!
ใบหน้างามของเจ้าตัวในขณะนี้พลันเผยความซีดเซียวอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่ร้องออกมาด้วยเสียงที่น่าสังเวช “สวรรค์! ชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยถูกบุรุษโอบกอดเลยสักครั้ง ข้ายังไม่อยากตาย!”
ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ ฝ่ามือมหึมาที่อาบด้วยแสงดาวพลันคว้าจับสัตว์อสูรจักรวาลที่มีรูปร่างเหมือนพยัคฆ์ จากนั้นมันก็ถูกบดขยี้เป็นก้อนข้าวต้มพร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังขึ้น!