บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 838 ปีศาจเผยรอย
บทที่ 838 ปีศาจเผยรอย
บทที่ 838 ปีศาจเผยรอย
นักพรตเต๋าหลิงว่าจบ ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระคนอื่นก็เบิกตากว้าง รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อคิดว่าอีกไม่นานจะได้รู้ตัวตนของปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระผู้นั้นแล้ว พวกเขาก็ตื่นเต้นเสียจนใจแทบกระเด็นออกจากร่าง
แต่เซวียนอวิ๋นกลับแสดงสีหน้าจริงจังเกินคาด นางส่ายหน้าแล้วกล่าวขึ้นว่า “ขออภัยด้วยเจ้าค่ะผู้อาวุโส แต่หัวหน้าผู้ดูแลห้ามไม่ให้ข้าเผยข้อมูลเกี่ยวกับปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระผู้นั้น”
สิ้นคำ นางก็เบียดร่างฝ่าฝูงชนจากไปอย่างรีบร้อน
ช่วยไม่ได้นี่นา หากว่านางยังไม่จากไปคงได้ถูกปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระบีบบังคับเอาเงินฟาดให้พูดออกมาเป็นแน่
นักพรตเต๋าหลิงและคนอื่น ๆ ผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ต่างคนต่างพากันเหลือบมองกันและกันด้วยสีหน้าไม่น่ามองสักเท่าไร
“ข้าจำนางได้!” ทันใดนั้นหลิงชิงโม่ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก ร้องขึ้นมาว่า “ท่านปู่ จำตอนที่เราเจอเฉินซีตรงทางเดินนอกห้องรับรองพิเศษเมื่อสิบวันก่อนได้หรือไม่?”
นักพรตเต๋าหลิงเอ่ยเสียงโกรธ “ย่อมจำได้”
หลิงชิงโม่ทำท่าเหมือนนึกออกแล้วอ้าปากค้าง “สวรรค์โปรด เขาไม่ได้หลอกเล่น แต่เขาเป็นปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระที่อยู่ในห้องรับรองพิเศษ 007 จริง ๆ”
ตอนนี้นักพรตเต๋าหลิงและเหล่าสหายปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระพากันตัวสั่นไปหมด จ้องหลิงชิงโม่ด้วยความตกตะลึงและสงสัยว่า ‘เขา’ ที่นางพูดถึงเป็นใครกันแน่
“ยัยเด็กโง่ รีบบอกมาสิว่าคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่! อยากให้ปู่ตื่นเต้นตายหรือไร?” นักพรตเต๋าหลิงอดร้องถามถึงไม่ได้
“ก็เฉินซีไง!” นัยน์ตาของหลิงชิงโม่เป็นประกาย ขณะเอ่ยอย่างรวดเร็วว่า “หรือท่านจะลืมไปแล้ว คนที่รับใช้เฉินซีตอนที่เราพบเขาวันนั้นก็เป็นผู้ดูแลหญิงคนนี้ไม่ใช่หรือ?”
นักพรตเต๋าหลิงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินชื่อของเฉินซี แต่พอได้ฟังที่หลิงชิงโม่วิเคราะห์ดูแล้วเขาก็ตบเข่าฉาดร้องขึ้นมาว่า “ข้าจำได้แล้ว! เป็นเขาจริง ๆ ด้วย!”
แต่พอตื่นเต้นแล้ว ความรู้สึกขมขื่นพลันกลับมาเกาะกุมในใจ ความคิดที่เขามีต่อเฉินซีก่อนหน้านี้ดูจะมากไปหน่อย อีกฝ่ายไม่ได้โอ้อวด แต่เป็นผู้มีความสามารถที่แท้จริงต่างหาก!
เช่นนี้แล้วข้ายังจะมีหน้าไปทำความรู้จักกับเขาอีกหรือ?
เมื่อคิดถึงจุดนี้แล้ว นักพรตเต๋าหลิงพลันถอนหายใจยาว ‘ตัวข้าไม่ทันสังเกตยอดฝีมือ ไม่คิดเลยว่าข้าจะกลายเป็นคนตัดสินผู้อื่นจากภายนอกเช่นนี้ได้…’
ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระคนอื่น ๆ ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ พวกเขายังคงถามด้วยสายตาเฝ้ารอ “พี่หลิง เฉินซีผู้นั้นเป็นใครกันแน่?”
นักพรตเต๋าหลิงอ้าปากแต่ไม่รู้จะตอบอะไรออกไปดี
หลิงชิงโม่สังเกตเห็นท่าทางอึดอัดของท่านปู่แล้ว นางก็ยืนยิ้มอยู่ด้านข้าง “ก็ชายหนุ่มที่ทุกคนล้อมเอาไว้แล้วบีบให้จากไปอย่างไรเล่า”
บีบให้จากไปหรือ? ทุกคนชะงักไป พลันนึกถึงชายหนุ่มขี้โอ้อวดคนนั้นขึ้นมา ก่อนที่สีสันต่าง ๆ จะพากันระบายบนใบหน้า
ผ่านไปชั่วครู่เดียว จึงได้มีคนรีบเอ่ยขึ้นมาว่า “ชิงโม่ เจ้ารู้จักเฉินซีผู้นั้นใช่หรือไม่? เหตุใดจึง…ไม่พาพวกลุงไปขอโทษเขาเสียล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำดังนั้น ทุกคนก็ตอบสนองและเอ่ยขึ้นเช่นเดียวกัน มีแต่อยากจะไปขอโทษเฉินซีด้วยตนเองกันทั้งนั้น
ทว่าหลิงชิงโม่กลับยักไหล่ตอบด้วยสีหน้าไร้หนทาง “ขนาดข้ายังนึกว่าเขาหลอกเล่นเลย…”
ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความเสียใจที่ตนเองได้เสียโอกาสพบเจอกับปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระที่เชี่ยวชาญเต๋าแห่งยันต์อักขระระดับสูงเช่นนั้นไปเสียแล้ว แต่จะให้โทษใครได้อีกเล่า?
…
เมื่อเฉินซีออกจากห้องโถงใหญ่ค่ายกลยันต์อักขระมาแล้ว เถิงหลานก็หยุดเขาไว้ และพาเข้าไปในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง
ห้องส่วนตัวนี้มีแสงส่องสว่างและสะอาดยิ่ง ตกแต่งอย่างเรียบง่าย สะอาด เรียบง่าย ไร้กลิ่นอายยิ่งใหญ่ข่มขวัญคน ทำให้เมื่ออยู่ในห้องนี้แล้วรู้สึกสบายใจ
หลังจากเข้าห้องมาแล้ว เถิงหลานก็จ้องมองเฉินซีโดยไม่พูดอะไร ราวกับบนหน้าของเขามีดอกไม้งอกออกมาเสียอย่างนั้น
“ในประวัติศาสตร์ของพิภพยันต์อักขระ ข้าเคยเห็นเพียงไม่กี่คนที่สามารถซ่อมแซมผังอักขระยันต์ได้เช่นเจ้า คนล่าสุดเป็นหญิงสาวปริศนาคนหนึ่ง” ผ่านไปนานแล้ว เถิงหลานจึงเอ่ยขึ้นด้วยแววตารำลึกความหลัง “นางก็เหมือนกับเจ้า ฟันฝ่าความยากลำบากทั้งหลายมา การได้รับพลังธรรมเทพไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนาง”
เฉินซีดูประหลาดใจ เขาไม่รู้ว่าเหตุใดเถิงหลานถึงเล่าเรื่องนี้ให้ตนฟัง
“ความแตกต่างระหว่างพวกเจ้าทั้งสองคนคือนางแข็งแกร่งมาก ตอนนางเดินทางมาที่นี่เพียงลำพังเมื่อหลายปีก่อน ไม่รู้เหตุใดนางจึงไปล่วงเกินสี่ตระกูลเข้า นางจึงได้ถูกตระกูลทั้งหลายไล่ล่า ทว่าเกินคาดนักที่นางไม่เพียงไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ยังสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์จากตระกูลเหล่านั้นไปเสียหลายคน สะเทือนไปทั้งพิภพยันต์อักขระภายในคราวเดียว” เถิงหลานว่าต่อ “ถึงจะอยู่ภายใต้ความกดดันเช่นนั้น แต่นางก็ยังขึ้นเจดีย์ต้าเหยี่ยนที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงได้ด้วยตัวคนเดียว และกลายเป็นผู้อยู่เหนือเจดีย์ต้าเหยี่ยนเพียงหนึ่งเดียวในตอนนั้น เพราะในตอนนั้น ขนาดคนจากทั้งสี่ตระกูลใหญ่ยังไม่สามารถขึ้นสู่ยอดเจดีย์ได้เลย…”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ เขาพลันเงยหน้าขึ้น สายตาส่องประกายแสง จับจ้องมาทางเฉินซีแล้วเอ่ยขึ้นว่า “นางมีชื่อว่าอาหลี ข้าว่าเจ้าคงรู้จักนางสินะ?”
เฉินซีตกตะลึงอยู่ภายในใจ เขาคิดอยู่ชั่วครู่ก็พยักหน้าให้ “ขอรับ ข้ารู้จัก”
จากนั้นเขาก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ ในเมื่อเถิงหลานอยู่ข้างกายเหลียงปิงมา อีกฝ่ายย่อมรู้ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์พี่หญิงหลียางกับเหลียงปิงดีไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับศิษย์พี่หญิงหลียางล่ะ?
แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ถามไป เพราะเหลียงปิงอาจจงใจเก็บมันเป็นความลับก็ได้
ถึงแม้เถิงหลานจะเตรียมใจมาตั้งแต่ต้นแล้ว เมื่อได้ยินอีกฝ่ายยอมรับ เจ้าตัวก็อดชื่นชมออกมาไม่ได้ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงคลี่ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องห่วง ถึงอาหลีที่ว่าจะสังหารคนจากทั้งสี่ตระกูลไปมาก แต่มันก็ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าหรอก”
เฉินซีย่อมไม่ได้ห่วงอะไร หลังจากมั่นใจเรื่องตัวตนของเหลียงปิงแล้ว เขาก็ไม่คิดสงสัยว่าเถิงหลานจะทำอันตรายเขาหรือไม่ นี่เป็นเพราะความเชื่อใจที่ชายหนุ่มมีให้ศิษย์พี่หญิงหลี่หยาง
ในเมื่อนางกล้าทิ้งเขาไว้กับเหลียงปิง ย่อมหมายความว่าเหลียงปิงผู้นี้อย่างน้อยก็คงไม่คิดทำร้ายเขา ซึ่งเท่านั้นก็มากพอแล้ว
“เตรียมตัวให้ดี ข้าจะพาเจ้าไปมณฑลจักรพรรดิตะวันออกในวันพรุ่งนี้” เถิงหลานเอ่ย
“แล้วเวิ่นเทียนเซี่ยวเล่า?” เฉินซีชะงักไป สิบวันที่ผ่านมานี้เขาได้รับพลังธรรมเทพสามหมื่นดวง ทำให้สามารถเข้ามณฑลจักรพรรดิตะวันออกได้แล้ว แต่เวิ่นเทียนเซี่ยวไม่อาจไปด้วยได้
“เราเดินทางกันไปก่อน แล้วรอเขาอยู่ที่มณฑลจักรพรรดิตะวันออกก็ได้” เถิงหลานมองเฉินซีด้วยความประหลาดใจ เหมือนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะนึกถึงเวิ่นเทียนเซี่ยวขึ้นมาในจังหวะนี้ด้วย
“เหตุใดจึงต้องรีบร้อนนัก?” เฉินซีมุ่นคิ้ว
“คุณหนูใหญ่สั่งไว้ว่าให้เจ้าใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ที่สุดหากต้องการขึ้นเจดีย์ต้าเหยี่ยน” เถิงหลานไม่คิดปิดบัง เขาค่อย ๆ เอ่ยคำ “ขณะที่กลียุคแห่งสามภพกำลังมาถึง สถานการณ์ในพิภพยันต์อักขระก็เกิดความโกลาหลขึ้นเช่นกัน เหล่าผู้อาวุโสจากภพเซียนและผู้เร้นกายต่างพากันเดินทางเข้ามา ถึงตอนนี้มีแต่ต้องลงมือให้ทันการณ์ถึงจะมีโอกาสทำสำเร็จได้มากขึ้นเท่านั้น”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เจ้าตัวก็ยังส่งยิ้มให้ “แม้แต่ตัวข้าเองยังไม่คิดเลยว่าเจ้าจะสามารถหาพลังธรรมเทพสามหมื่นดวงมาได้ภายในสิบวัน …เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว!”
ผู้อาวุโสจากภพเซียนและผู้เร้นกายอย่างนั้นหรือ?
เฉินซีรู้สึกวิตกอยู่ในใจ เขารู้ดีว่าตัวตนเหล่านี้มาที่นี่เพื่อเจดีย์ต้าเหยี่ยน และหากเป็นเช่นนั้นสถานการณ์ก็นับว่ากดดันเป็นอย่างยิ่ง!
หลังจากเงียบไปนาน สุดท้ายเขาก็ตอบตกลง
…
เมื่อเฉินซีเจอเวิ่นเทียนเซี่ยว คุณชายเสเพลเอาแต่ใจยิ่งคนนี้ก็กำลังจะเดินทางออกไปพอดี วันนี้เมืองนกนางแอ่นแดงจะถูกสัตว์อสูรจักรวาลเข้าโจมตีอีกครั้ง และเขาก็แทบรอเก็บเกี่ยวพลังธรรมเทพไม่ไหวแล้ว
เฉินซีลังเลเล็กน้อยก่อนบอกเวิ่นเทียนเซี่ยวไปว่าเขาได้พลังธรรมเทพเพียงพอและจะออกเดินทางพรุ่งนี้แล้ว
เวิ่นเทียนเซี่ยวอึ้งไปนานก่อนตะโกนออกมาว่า “เข้าใจแล้ว เจ้าคือปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระในห้องรับรองพิเศษ 007 นี่เอง!”
เฉินซีพยักหน้า
เวิ่นเทียนเซี่ยวอึ้งไปนานเมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมรับตามตรง เพราะเขาได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องโถงใหญ่ผังยันต์อักขระแล้ว แต่มันอดไม่ได้นี่ เรื่องนี้มันน่าตกใจเกินไป เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้ยินเรื่องนี้เข้า แต่ไม่คิดเลยว่าคนในเรื่องจะเป็นสหายของตน!
สุดท้ายเขาก็หัวเราะออกมา “จังหวะนี้คงต้องพาเจ้าไปเลี้ยงสุราฉลองสักหน่อย”
“คงดื่มกันไม่ได้หรอก แต่ให้สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันได้” เฉินซีว่ายิ้ม ๆ
เวิ่นเทียนเซี่ยวเอ่ยเสียงประหลาดใจ “ข้ากำลังรอเจ้าพูดคำนั้นอยู่พอดีเชียว!”
ม่านราตรีโรยตัวลงมาในยามค่ำคืน
เสียงคำรามเป็นระลอกดั่งฟ้าลั่นดังก้องอยู่ทางนอกเมืองนกนางแอ่นแดง ฝูงสัตว์อสูรจักรวาลจำนวนมากเคลื่อนตัวลงมาจากฟากฟ้า เหมือนคลื่นทมิฬเข้าซัดสาดเมืองนกนางแอ่นแดงจากทั่วทุกทิศ
หอคอยยันต์อักขระสัมฤทธิ์สูงตระหง่านส่องประกายแสงสีขาวขุ่นแผ่ออกมา เหมือนฝนเซียนเสกให้ร่วงหล่นลงมายังโลกมนุษย์ โอบแสงปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง
มีผู้บ่มเพาะมากมายยืนอยู่รอบ ๆ เมือง พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองผ่านม่านแสงขนาดใหญ่ของหอคอยยันต์อักขระ ดวงตาล้วนแฝงไปด้วยไอสังหารและความตื่นเต้นที่ไม่อาจปิดบัง
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เมื่อสัตว์อสูรจักรวาลตัวเขื่องพุ่งเข้ามาจากเส้นขอบฟ้า ทุกคนที่อยู่บนกำแพงเมืองต่างพากันพุ่งออกไปราวกับห่าฝน
ศึกครั้งใหญ่ได้เปิดม่านการต่อสู้ขึ้นแล้ว!
เฉินซีกับเวิ่นเทียนเซี่ยวเองก็เป็นหนึ่งในผู้บ่มเพาะเหล่านั้นเช่นกัน พวกเขาพุ่งออกจากเมืองไปพร้อมกัน ฝ่าฟันวงล้อมของสัตว์อสูรจักรวาลนับไม่ถ้วน เคลื่อนไหวอย่างดุดันเข้าปะทะพวกมันจนเกิดห่าฝนโลหิต
ระหว่างบุรุษนั้นใช้การสังหารศัตรูและดื่มสุราในการสื่อสารกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“พวกเขาออกนอกเมืองไปแล้ว” บนกำแพงสูงที่ทอดตัวยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตาของเมืองนกนางแอ่นแดง ยังมีหญิงชราร่างผอมแห้งในชุดดำคนหนึ่งแลบลิ้นสีแดงออกมาเลียมุมปาก ก่อนสั่งเสียงเย็นว่า “ข้าจะจัดการเฉินซีในภายหลัง พวกเจ้าสังหารเวิ่นเทียนเซี่ยวซะ ในเมื่อพวกมันกล้าล่วงเกินตระกูลหลัว เช่นนั้นก็ต้องแลกมาด้วยเลือด!”
นางก็คือยายเฒ่าพันลักขีนั่นเอง
ข้างกายนางคือเฉินหยวนกับปี้อิน คนทั้งสองพยักหน้า ก่อนจะออกไปทำตามคำสั่งของนางด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม
ยายเฒ่าพันลักขีพลันหันมามองเงาดำข้างกาย น้ำเสียงยิ่งเปลี่ยนเป็นน่าหวาดกลัวกว่าเก่า “หนูน้อย หัวหน้ากลุ่มวิญญาณทมิฬนามฟ้าทมิฬคืออาจารย์ลุงของเจ้า วันนั้นที่เจ้าวางแผนเล่นงานเขา ก็นับว่าเป็นศัตรูกันแล้ว ตอนนี้กลุ่มวิญญาณทมิฬถูกขุดรากถอนโคนจนสิ้น เจ้ายังคิดอยู่เฉยอีกหรือ?”
ภายในเงามืดนั้นยังเห็นร่างงามสง่าอันเลือนรางอยู่ เงาร่างนั้นเงียบไปนานก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเข้าใจถึงสิ่งที่ต้องทำดี” น้ำเสียงอีกฝ่ายยังไม่ทันจางหายไป แต่เจ้าตัวกลับจากไปยังนอกเมืองแล้ว
ยายเฒ่าพันลักขีหัวเราะออกมาเมื่อเห็นดังนั้น ใบหน้าที่ซีดเซียวเหมือนผิวส้มตากแห้งของนาง เต็มไปด้วยความกระหายเลือด หญิงชราเหวี่ยงไม้เท้าหัวอีแร้งในมือพลางเอ่ย “ท้องฟ้ามืดมิด วายุโหมกระหน่ำ นี่คือคืนสังหาร! ลงมือได้!”