บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 846 แม้จะถูกยั่วยุ
บทที่ 846 แม้จะถูกยั่วยุ
บทที่ 846 แม้จะถูกยั่วยุ
เฉินซีกับเฟิงหลูหยางต่างมองไปทางด้านข้างพร้อมกัน และได้พบกับคนหนุ่มสาวบางส่วนที่ก้าวเดินออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ
คนที่เดินนำอยู่เบื้องหน้าคือชายหนุ่มในชุดคลุมสีเงิน ดูหรูหราอลังการ พลิ้วไหวยามก้าวเดิน เขามองรอบข้างอย่างนึกสนุก ราวกับมาเพื่อเย้ยหยันโดยเฉพาะ
คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้ถูกห้อมล้อมโดยหนุ่มสาวสองคน คนด้านซ้ายมีใบหน้าหล่อเหลา ริมฝีปากแดงฟันขาว ปราณชั่วร้ายแก่กล้าปกคลุมตรงหว่างคิ้ว ทำให้ดูเคร่งขรึมทรงอำนาจ
คนทางขวาสวมชุดคลุมหลากสีสัน ร่างสูงผอม ริมฝีปากคลี่ยิ้มเจื่อน ท่วงท่าสง่างาม ราวกับนกยูงรำแพน
สองคนนี้คือหลัวจื่อเซวียนและหนานซิ่วชง
ส่วนกลุ่มหนุ่มสาวข้างพวกเขาล้วนเป็นคุณหนูคุณชายจากภพเซียน
เฟิงหลูหยางพลันขมวดคิ้ว เผยท่าทีประหลาดใจ จิตสังหารที่กำลังเดือดพล่านพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย คล้ายกับไม่สนใจเฉินซีอีกต่อไป
“เจ้าเหมือนจะหวาดกลัวอยู่นะ?” เฉินซีถามผ่านกระแสปราณพลางครุ่นคิดบางอย่าง
เขาสังเกตเห็นคนกลุ่มนี้เช่นกัน และพบว่าคนหนุ่มสาวเหล่านี้แทบทุกคนต่างเหมือนกับเฟิงหลูหยาง เต็มไปด้วยปราณเซียนแกร่งกล้า แต่กลิ่นอายของพวกเขาไม่ได้ทรงพลังเท่า …หากเขาคาดเดาไม่ผิด พวกเขาเหล่านี้ก็คือลูกหลานของเซียนจากภพเซียน!
“หวาดกลัวหรือ?”
เฟิงหลูหยางพ่นลมทางจมูก สายตาหมองหม่น ตัวคนสั่นไหวไปมา “เจ้าต่างหากที่ควรหวาดกลัว รู้หรือไม่ว่าพวกเขาคือใคร? คนที่อยู่ตรงกลางคือหลัวจื่อเซวียน คนที่อยู่ข้างเขาคือเสือผู้หญิงที่มีชื่อเสียงในภพเซียน และไม่ว่าผู้ใดก็มากพอที่จะบดขยี้เจ้าจนตายเหมือนบี้มดได้!”
เฉินซีส่งเสียงโหออกมา ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจ
กลุ่มคนหนุ่มสาวเหล่านี้ทำทีราวกับเพียงผ่านทางมา หากแต่ตำแหน่งการยืนของพวกเขากลับขวางทางเข้าออกไว้เสียมิด แม้กระทั่งเหวินจิวกับเหวินเผิงก็ไม่คิดปล่อยไป
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ เฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย เขายิ่งมั่นใจว่าผู้มาเยือนไม่ได้มาดี
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเงินที่อยู่ทางด้านหน้าโน้มตัวเข้ามา มองซ้ายขวามาที่เฟิงหลูหยาง สายตาของเขาแฝงแววเย้ยหยัน ก่อนคลี่ยิ้มแล้วกล่าวด้วยท่าทางเกินจริงว่า “ดูสิ นี่นายน้อยเฟิงจากเขาแสงประเสริฐจริงด้วย! ฮ่า ๆๆ ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้พบนายน้อยเฟิงที่นี่อีก ช่างน่าประหลาดใจเหลือเกิน”
ร่องรอยการเสียดสีในน้ำเสียงไม่มีปิดบัง ดูหยิ่งทะนงและทรงพลังยิ่งนัก
“ว่าอย่างไรเล่า นายน้อยเฟิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง มาพิภพยันต์อักขระเพื่อแสดงมารยาททักทายเหลียงปิงหรือ?” ชายหนุ่มอีกคนยิ้มกว้างแล้วกล่าวเช่นกัน “ขอแนะนำอะไรหน่อยนะ รีบไสหัวไปเสีย จงหายไปจากพิภพยันต์อักขระซะ หาไม่แล้วระวังจะเกิดอุบัติเหตุเอา”
สีหน้าของเหวินจิวและเหวินเผิงพลันมืดมน
ส่วนเฟิงหลูหยางไม่คิดจะสนใจอยู่แล้ว จึงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ฉู่เซียว เฉาเหอ พวกเจ้าสองคนนับเป็นตัวอันใด? เหตุใดจึงบังอาจทำปีกกล้าขาแข็งต่อหน้าข้า รอให้กลับไปถึงภพเซียนก่อนเถอะ นายน้อยผู้นี้จะให้เจ้าไปนอนคอกสุนัขสักคืน ดีหรือไม่”
ฉู่เซียวกับเฉาเหอตกตะลึง ก่อนฉู่เซียวจะถามด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อว่า “อันใด! นายน้อยเฟิงโกรธข้าอีกแล้วหรือ? น่ากลัวจังเลย ในพิภพยันต์อักขระแห่งนี้เจ้านับว่าทรงพลังนัก ไม่ทราบว่าพ่อของเจ้ารู้เรื่องนี้บ้างหรือไม่?”
เฟิงหลูหยางชำเลืองมองทั้งสองอย่างเย็นชา จากนั้นพลันสงบสติลง ก่อนจะเหลือบมองพวกเขาอีกครั้งด้วยสายตาเหยียดหยาม และหันมองไปทางหนานซิ่วชง พลางถามอย่างเย็นชาว่า “หนานซิ่วชง เจ้าเลี้ยงสุนัขเช่นนี้เอาไว้อย่างนั้นหรือ?”
“นี่เจ้าเรียกพวกข้าว่าสุนัขรึ?” ฉู่เซียวและเฉาเหอเดือดดาลขึ้นมา
“ถามอะไรไร้สาระ พวกเจ้าหูหนวกหรือไร?” เฟิงหลูหยางถามอย่างแผ่วเบา
“ดูท่านายน้อยเฟิงจะยังไม่ยอมรับสถานการณ์ตัวเองสินะ!” ฉู่เซียวและเฉาเหอยิ้มกว้าง กำลังจะลงมือ แต่พวกเขากลับถูกหนานซิ่วชงผู้อยู่ด้านข้างห้ามเอาไว้เสียก่อน
“เฟิงหลูหยาง ทางที่ดีเจ้าหุบปากดีกว่า พวกข้ามาที่นี่ ไม่ได้ตั้งใจจะมาโต้เถียงกับเจ้าหรอกนะ” หนานซิ่วชงกล่าวช้า ๆ
“เจ้าคิดจะออกคำสั่งกับข้าหรือ?” เฟิงหลูหยางขมวดคิ้วพลางถามกลับอย่างเหยียดหยัน
ทว่าหนานซิ่วชงเพียงยิ้มเล็กน้อย และชำเลืองมองไปทางด้านหลัง โดยไม่กล่าวอะไรอีก
เฟิงหลูหยางพลันตกตะลึง เขารีบหันสายตาตามไป ก่อนที่นัยน์ตาของเขาจะหดลง สีหน้าหวาดกลัวหายไปในพริบตา
ณ ที่ตรงนั้นมีสตรีนางหนึ่งยืนอยู่ นางสวมชุดกงจวงสีฟ้า แต่งกายเหมือนสตรีสูงศักดิ์ ใบหน้างดงามยิ่ง ทว่าหางคิ้วและดวงตากลับเต็มไปด้วยความเฉยชา
เหวินเหรินเยี่ย!
เหตุใดนางถึงอยู่ที่นี่ได้?
ความคิดก่อนหน้านี้ของเฟิงหลูหยางคือจะจัดการกับหนานซิ่วชงอย่างไรดี แต่เขาไม่คาดคิดว่าหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังฝูงชน จะเป็นเหวินเหรินเยี่ยไปได้!
เพียงชั่วพริบตา ความคิดของเฟิงหลูหยางพลันยุ่งเหยิง ก่อนหน้านี้ …แม้จะเป็นฉู่เซียว เฉาเหอ แม้กระทั่งหลัวจื่อเซวียน คนทั้งสามก็หาได้อยู่ในสายตาไม่ มีเพียงตัวตนอย่างหนานซิ่วชงเท่านั้นที่ตัวเขาพอจะให้ค่าบ้าง
แต่เมื่อเทียบกับหนานซิ่วชง …การปรากฏตัวของเหวินเหรินเยี่ยกลับมากพอที่จะทำให้เขารู้สึกกังวลยิ่ง
มหาอำนาจที่อยู่เบื้องหลังหญิงสาวผู้นี้ยิ่งใหญ่เกินไป เฟิงหลูหยางผู้มั่นใจและทรงอำนาจ ยังต้องยอมรับเลยว่า ตัวตนและภูมิหลังของเหวินเหรินเยี่ยสูงส่งยิ่งกว่าเขานัก
เมื่อคิดได้ดังนั้น ใบหน้าของเฟิงหลูหยางพลันกลายเป็นหมองหม่นไม่มั่นใจ ได้แต่เม้มปากไม่พูดไม่จา กลับไปนั่งตรงหน้าโต๊ะอีกครั้ง สีหน้าเผยแววย่ำแย่ ราวกับไก่ตัวกำลังส่งเสียงครวญคราง
ศึกนี้ไม่ใช่การต่อสู้แบบแลกฝ่ามือชนกำปั้น แต่เป็นการวัดอำนาจและภูมิหลัง เป็นการต่อสู้ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ก่อนหน้านี้ ต่อให้ฉู่เซียวและเฉาเหอจะแหกปากตะโกนอีกครั้ง เฟิงหลูหยางก็คิดว่าตัวเขายังต้านรับไหว แต่ด้วยการปรากฏตัวของเหวินเหรินเยี่ย เขากลับพ่ายแพ้อย่างหมดรูปในทันควัน!
เฉินซีมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ด้วยสายตาเย็นชา เฝ้ามองการเผชิญหน้าอันน่าทึ่งระหว่างคุณชายแห่งภพเซียน ที่แต่ละคนต่างหยิ่งทะนงทรงอำนาจยิ่งกว่าผู้ใด!
ในใจของเขาไม่เห็นด้วยกับการใช้ตัวตนและภูมิหลังเพื่อเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นแบบซึ่ง ๆ หน้าอย่างมาก ชายหนุ่มถึงขั้นรู้สึกว่ามันเหลวไหลเล็กน้อย แต่หลังจากสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของเฟิงหลูหยางแล้ว มันก็ทำให้เขาเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าคร่าว ๆ
ฉู่เซียว รวมถึงเฉาเหอมีสถานะต่ำต้อยที่สุด ส่วนหนานซิ่วชง มีศักดิ์มากพอจะท้าทายเฟิงหลูหยางได้ ขณะที่หญิงสาวในชุดกงจวงสีฟ้า สถานะและภูมิหลังของนางสูงส่งกว่าพวกเขาทุกคนอย่างเห็นได้ชัด
ขณะที่หลัวจื่อเซวียนทำหน้าที่เจ้าภาพ เพราะคุณหนูและนายน้อยเหล่านี้ที่มาจากภพเซียน การที่พวกเขาสามารถปรากฏตัวที่นี่ได้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกเชิญมา!
เมื่อเห็นเฟิงหลูหยางยอมรับความพ่ายแพ้ คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้จึงกระตือรือร้นทันที พวกเขาพากันหัวเราะอย่างเหยียดหยัน
ส่วนฉู่เซียวมาอยู่ข้างเฉินซีแล้ว ฝ่ามือตบโต๊ะ ขยี้ถ้วยสุราตรงหน้าเป็นผุยผง จากนั้นจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหยียดหยันแล้วถามว่า “เจ้าคือเฉินซีใช่หรือไม่? ก็แค่มดตัวน้อยในภพมนุษย์ คุณหนูผู้นั้นก็ประหลาดยิ่งนัก นี่เหลียงปิงตามืดบอดหรืออย่างไร ถึงได้เก็บของเล็กน้อยเช่นนี้ไว้ข้างตัว?”
สีหน้าของเฉินซีในตอนนี้ยังคงสงบนิ่ง ไม่เผยความสุขหรือความโกรธ เขามองฉู่เซียว เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายมีการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสอง ซึ่งหากมองทั่วทั้งภพมนุษย์แล้ว ตัวตนเช่นนี้นับว่ามากพอที่จะมองเหยียดหยันคนได้ แต่เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายมาจากภพเซียน …เช่นนั้นรากฐานการบ่มเพาะแค่นี้ก็นับว่าเข้าใจได้
อันที่จริง คนหนุ่มสาวจากภพเซียนกลุ่มนี้นับว่าน่าทึ่งนัก อย่างน้อยในช่วงวัยเพียงเท่านี้ พวกเขากลับสามารถครอบครองการบ่มเพาะอันสูงส่ง บรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพีได้สำเร็จ!
เมื่อเห็นเฉินซียังคงนั่งนิ่ง ทั้งยังมองไปทางอื่น สีหน้าของฉู่เซียวพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาตะโกนด้วยความไม่พอใจทันทีว่า “เด็กน้อย นี่เจ้ากำลังรนหาที่ตายหรืออย่างไร? กล้าเมินคุณชายผู้นี้ มีโทษต้องโดนต่อยนับสิบหมัดเชียวนะ! นี่เจ้ายังคิดว่าเหลียงปิงจะมายืนปกป้องเจ้าหรือไร? ฝันไปเถอะ!”
เฉินซีขมวดคิ้ว ริมฝีปากยกยิ้ม เขาเมินเฉยต่อฉู่เซียว แล้วจับจ้องไปยังเฟิงหลูหยางผู้อยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะกล่าวว่า “นายน้อยเฟิง เมื่อวานเจ้าตบอกสัญญาแล้วว่า หากอยู่ที่นี่ จะไม่มีใครสามารถบังคับหรือแตะต้องคุณหนูใหญ่ได้ แต่หากคุณหนูได้มาเห็นพฤติกรรมเช่นนี้เข้า ข้าเกรงว่านางคงจะผิดหวังมากเป็นแน่”
เฟิงหลูหยางตัวแข็งทื่อ สีหน้าของเขาเหมือนกับคนที่หายใจไม่ออก
เขาย่อมทราบดีว่า การที่หลัวจื่อเซวียนชักนำคนกลุ่มนี้มาที่นี่ มันย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งในคราแรกตัวเขาคิดว่าตนเองโดนหมายหัว แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า เป้าหมายของอีกฝ่ายกลับเหมือนกับตน นั่นก็คือเจ้ามดตัวน้อยที่ขวางทางอยู่นั่นเอง!
ดังนั้นเมื่อทราบเรื่องราวทั้งหมด เฟิงหลูหยางจึงคิดที่จะนั่งนิ่ง ๆ รอคอย คาดหวังยืมมือคนอื่นฆ่า แต่ใครจะคาดคิดว่า เฉินซีคล้ายกับพยายามจะสร้างปัญหาให้แก่เขา…!
ใช่แล้ว เขาเคยกล่าวแบบนั้นจริง แต่ตอนนี้กับตอนนั้น ใครจะคาดคิดว่าสถานการณ์จะพัฒนามาถึงจุดนี้ได้?
เมื่อเห็นใบหน้าอันไม่มั่นใจของเฟิงหลูหยาง ชายหนุ่มจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่ได้ชอบคุณหนูใหญ่หรอกหรือ? เจ้าจะยอมรับความขี้ขลาดของตน ยามเจอเรื่องไม่ดีเข้าใช่หรือไม่?”
มุมปากของเฟิงหลูหยางกระตุกอย่างรุนแรงสองครั้ง เส้นโลหิตบนหน้าผากกระตุก เขาเดือดดาลจนแทบกระอักโลหิตออกมา
ก่อนที่เฟิงหลูหยางจะผุดลุกขึ้นยืนทันที ฟันขบกันแน่น เขาดูเหมือนกำลังจะบ้าคลั่งในทุกอึดใจ
ทันใดนั้นก็มีเสียง ‘หึ’ แค่นดังมาจากฝั่งตรงข้าม ดวงตาของเหวินเหรินเยี่ยทอประกายเย็นชา นางชำเลืองมองเฟิงหลูหยางเล็กน้อย และเพียงแค่ปรายตามอง ก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกประหนึ่งโดนน้ำเย็นราด โทสะทั้งหมดเลือนหาย จิตใจของเขาโล่งโปร่งขึ้นมาทันควัน
เฉินซีเหลือบมองหญิงสาว สีหน้าของเขาไม่แปรเปลี่ยน ขณะที่ในใจลอบถอนหายใจ เขาคิดว่าในเมื่อเฟิงหลูหยางอยากยืมมือคนอื่นฆ่า เช่นนั้นทำไมไม่ให้เขาลองทดสอบดูว่ามีดของเฟิงหลูหยางคมจริงหรือไม่? …แต่น่าเสียดายที่มันถูกหญิงสาวผู้นี้ทำลายเสียได้!
“เด็กน้อย เจ้าอาจคาดเดาได้แล้วว่าเหตุใดข้าถึงมารอเจ้า ดังนั้นเลิกพูดจาเหลวไหล แล้วจงมากับข้าเสีย ขอเพียงเรื่องราวยุติ ข้าก็จะปล่อยชีวิตสุนัขอย่างเจ้าไป!” ฉู่เซียวยิ้มหยันแล้วกล่าวออกมา เมื่อกล่าวจบ เจ้าตัวพลันเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อของเฉินซี พยายามจะลากออกไป เพราะถึงอย่างไรทุกคนก็กำลังยืนอยู่ แต่เจ้ามดตัวน้อยนี้กลับทำนิ่งเฉย จึงทำให้มีใครหลายคนเกิดความไม่พอใจ
เฉินซีในตอนนี้พลันหรี่ตา ก่อนที่เขาจะขยับตัว ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าภาพตรงหน้ากลายเป็นพร่าเลือน ก่อนจะปรากฏเป็นภาพชายหนุ่มคว้าคอของฉู่เซียวเอาไว้ไม่ต่างจากจับสุนัขตาย และกดร่างนั้นลงกับโต๊ะ
สิ้นเสียงดัง ‘ปัง’ โต๊ะที่ทำจากไม้เหล็กดำอายุหนึ่งพันปีได้ถูกกระแทกแตกเป็นเสี่ยง ๆ เศษไม้ปลิวกระเด็น ใบหน้าอันหล่อเหลาของฉู่เซียวเต็มไปด้วยโลหิต เขาส่งเสียงกรีดร้องออกมาไม่หยุด
“รนหาที่ตาย!”
เฉาเหอสนิทกับฉู่เซียว ดังนั้นเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เขาจึงตะโกนลั่น ขณะที่ทั่วทั้งร่างส่องแสงแห่งปราณเซียน พร้อมพุ่งเข้าหาเฉินซี ใช้มือดั่งกรงเล็บยื่นคว้าจับออกไป หมายจะฉีกกระชากไหล่ของเฉินซี!
แต่เมื่อไปได้ครึ่งทาง ทั่วทั้งร่างของเขาพลันแข็งทื่อ ท่าทางคล้ายสุนัขเฒ่าพุ่งเข้าหาอาหาร ไม่เคลื่อนไหวต่อ
ฉากนี้แปลกประหลาดเกินไป มันถูกหยุดอย่างรวดเร็ว และยังเกิดขึ้นในพริบตา ทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจ
แต่หลังจากนั้น ทุกคนก็ต้องพบกับความลึกลับบางอย่าง
กระบี่เรียบกริบ หม่นแสง และไร้ความมันเงาถูกถือไว้ในมือของเฉินซี ปลายกระบี่คมปลาบยิ่งนัก และห่างจากลำคอของเฉาเหอเพียงหนึ่งชุ่นเท่านั้น!