บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 851 เจดีย์ต้าเหยี่ยน
บทที่ 851 เจดีย์ต้าเหยี่ยน
บทที่ 851 เจดีย์ต้าเหยี่ยน
นครหลวงสี่จักรพรรดิ
มันเป็นเมืองที่อยู่ ณ ใจกลางพิภพยันต์อักขระ มีขนาดกว้างขวางยิ่งนัก แต่ก็เป็นสถานที่โบราณที่สุดเช่นกัน อิฐสร้างกำแพงทั้งหลายและหินที่ใช้ปูทางเดินเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา ดูมีอายุอย่างยิ่ง
ทุกคนรู้ดีว่านครหลวงนี้เป็นเมืองแรกที่เกิดขึ้นเมื่อพิภพยันต์อักขระถูกสร้างขึ้น จักรพรรดิตะวันออก จักรพรรดิแห่งความมืด ราชินีวิหคอมตะ และบรรพบุรุษอสูรเป็นผู้สร้างพิภพยันต์อักขระขึ้นมาผู้ครอบครองพลังที่เอื้อมคว้านภาได้ เป็นผู้สร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมา
เวลาผ่านไปนับไม่ถ้วน ชื่อเสียงของที่นี่ได้ดึงดูดผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายให้เดินทางเข้ามา ทั้งเข้ามาท่องเที่ยวและรั้งอยู่ในเมืองเพื่อค้นหาร่องรอยที่ตัวตนยิ่งใหญ่เหล่านั้นทิ้งไว้เมื่อหลายปีก่อน
แต่การจะเข้าเมืองแห่งนี้ไม่ได้ง่ายดายเลย
เหตุผลก็คือต้องใช้พลังธรรมเทพ ยกตัวอย่างเช่น หากเฉินซีไม่รวมพลังธรรมเทพจนได้สามหมื่นดวง ไม่ว่าเขาจะเก่งกล้าสามารถจนมีพลังบ่มเพาะสูงส่งเพียงใดก็ไม่สามารถเข้าเมืองได้
นี่นับว่าเป็นกฎเหล็ก เป็นกฎที่ตระกูลใหญ่ทั้งสี่คอยดำรงรักษาไว้ นับตั้งแต่โบราณมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครแหกกฎข้อนี้ได้
อีกทั้งนอกจากสมาชิกตระกูลใหญ่ทั้งสี่แล้ว ผู้อื่นยังไม่สามารถเข้านครหลวงก่อนวันเปิดเจดีย์ต้าเหยี่ยนได้
เพราะในตอนนั้นทั่วทั้งเมืองจะถูกปกคลุมไปด้วยการป้องกันจากเจดีย์ต้าเหยี่ยน ดังนั้นคนอื่นจึงสามารถเข้ามาในเมืองได้เมื่อเจดีย์ต้าเหยี่ยนเปิดแล้วเท่านั้น
เมื่อเฉินซีเข้าเมืองมาภายใต้การนำทางของเหลียงปิง เขาจึงพบว่าถนนสายโบราณเส้นนี้เต็มไปด้วยผู้บ่มเพาะมากมาย ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางเมืองเท่าไร ก็ยิ่งเห็นคนหนาตามากขึ้นเท่านั้น
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือผู้มีพลังบ่มเพาะต้อยต่ำที่สุดคือตัวตนขอบเขตสถิตกายา อีกทั้งยังมีจำนวนไม่มาก ส่วนมากจะเป็นตัวตนขอบเขตเซียนปฐพี
ถึงขนาดที่พบเจอผู้มีกลิ่นอายน่าเกรงขามอยู่บ่อยครั้ง และหากไม่เกินคาด พวกเขาเหล่านี้ก็คงเป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์!
แต่ผู้สูงส่งเหล่านี้แวบผ่านสายตาเขาเพียงชั่วขณะก่อนจะหายไปในฝูงชน ว่องไวดั่งปรอท ไม่อาจติดตามการเคลื่อนไหวได้เลย
ข้อเท็จจริงเหล่านี้ซัดเข้ากลางใจเฉินซีอย่างแรง เมื่อเปรียบเทียบแล้ว พลังบ่มเพาะของเขาก็นับว่าต้อยต่ำที่สุดในหมู่ผู้เยี่ยมยุทธ์ภายในนครหลวงแห่งนี้! แน่นอนว่าเป็นเพียงเฉพาะพลังบ่มเพาะ ไม่นับความแข็งแกร่งในการต่อสู้
แต่กระนั้นก็ทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งผู้อื่นเก่งกาจเพียงใด ยิ่งหมายความว่าศัตรูย่อมดุร้ายมากเท่านั้น โชคดีที่เขาไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง
จริง ๆ ก็เห็นกันเด่นชัดอยู่แล้ว ผู้ที่สามารถรวบรวมพลังธรรมเทพสามหมื่นดวงและเข้ามาในนครหลวงแห่งนี้ได้จะมีพวกอ่อนด้อยวิชาด้วยหรือ?
“ไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก นอกจากเรื่องความแข็งแกร่งแล้วก็ยังต้องมีความสามารถระดับหนึ่งถึงจะสามารถขึ้นไปยังเจดีย์ต้าเหยี่ยนได้” เถิงหลานที่อยู่ไม่ไกลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่นพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “แต่ความสามารถนั้นมีเพียงตระกูลใหญ่ทั้งสี่เท่านั้นที่มี”
“อ้อ?” เฉินซีเลิกคิ้วสูง หากเป็นเช่นนั้น เขาก็คลายความกังวลได้พอสมควร
“เจ้าเองก็รู้ว่าตระกูลใหญ่ทั้งสี่เป็นผู้ควบคุมไม้บรรทัดหยั่งรู้สวรรค์ เจดีย์สยบพิภพ ตราประทับเทพปฐพี และกระบี่สะบั้นเต๋า สมบัติศักดิ์สิทธิ์โกลาหลทั้งสี่ชิ้นนี้ส่งต่อกันมาตั้งแต่ยุคโบราณ เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้สูงส่งทั้งสี่สร้างพิภพยันต์อักขระขึ้นมา ดังนั้นพวกมันจึงแตกต่างจากสมบัติอมตะจนเทียบกันไม่ได้”
เถิงหลานพูดขึ้นช้า ๆ “สำคัญกว่านั้นคือ เมื่อใช้ของเหล่านั้นแล้วก็จะเข้าเจดีย์ต้าเหยี่ยนได้ง่ายยิ่งขึ้น แน่นอนว่ามันก็แค่ตัวช่วยเท่านั้น ย่อมขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งและโชคของผู้ใช้ในการขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งเจดีย์ต้าเหยี่ยนด้วย ถึงกระนั้นการที่มีสมบัติศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้อยู่ ก็มากพอจะเหนือกว่าคนอื่นที่ต้องเข้าเจดีย์ต้าเหยี่ยนเหมือนกันได้แล้ว”
เฉินซีพยักหน้าด้วยเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายยิ่ง หากเจดีย์ต้าเหยี่ยนเปรียบเหมือนมีพุ่มไม้ใหญ่ปกคลุม การถือครองสมบัติศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ชิ้นนี้ก็เหมือนมีคมเคียวที่สามารถเกี่ยวเฉือนพุ่มไม้จนขาดได้ ในขณะที่คนอื่น ๆ ได้แต่ใช้มือเปล่าปีนป่ายเท่านั้น
จากนั้นเขาก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “หรือแม่นางเหลียงจะถือไม้บรรทัดหยั่งรู้สวรรค์อยู่?”
เถิงหลานพยักหน้า จากนั้นส่ายหัวกล่าวว่า “ไม้บรรทัดหยั่งรู้สวรรค์ของจริงอยู่ในภพเซียนเมื่อนานมาแล้ว คุณหนูใหญ่เพียงแต่ถือของปลอมไว้เท่านั้น มีเพียงกระแสพลังของไม้บรรทัดหยั่งรู้สวรรค์อยู่”
“ของปลอมหรือ?” เฉินซีชะงักไป
“ใช่แล้ว ไม่เพียงตระกูลเหลียงเท่านั้น ตระกูลอื่น ๆ อย่าง หลัว อิน และตระกูลกู่ก็เช่นกัน” เถิงหลานอธิบายอย่างใจเย็นยิ่งนัก “สมบัติศักดิ์สิทธิ์โกลาหลทั้งสี่ได้จากไปนานแล้วหลังจากที่พิภพยันต์อักขระถูกสร้างขึ้น ตระกูลใหญ่ทั้งสี่เพียงเก็บรักษากระแสพลังที่พวกมันหลงเหลือไว้เท่านั้น”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ เถิงหลานก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “อย่างไรเสีย ความแข็งแกร่งของตระกูลใหญ่ทั้งสี่ก็ไม่ได้มากพอจะเก็บรักษาสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถสร้างโลกขึ้นมาเช่นนั้นได้อยู่แล้ว เพราะมันรังแต่จะนำภัยพิบัติมาสู่ตัวเท่านั้น”
ชายหนุ่มถึงได้เพิ่งเข้าใจในตอนนี้
“เรามาถึงแล้ว” จังหวะนั้นเอง เหลียงปิงที่เดินนำอยู่ทางด้านหน้าก็หยุดฝีเท้าลง
เฉินซีจึงเงยหน้าขึ้น รู้สึกไหววูบภายในใจทันทีเมื่อได้เห็นภาพของเจดีย์ต้าเหยี่ยน
ภายในการมองเห็นนั้น เขาเห็นเจดีย์สัมฤทธิ์ตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้า ทั่วทั้งตัวเจดีย์สะท้อนแสงอ่อนโยนออกมา ปลดปล่อยกระแสปราณมงคลและกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์
กระแสปราณมงคลและกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่ยพร้อมกับอักขระยันต์ ราวกับงอกปีกกระพือบินไปรอบ ๆ เจดีย์ และทิ้งร่องรอยลึกล้ำไม่อาจอธิบายได้เอาไว้
แค่เงยหน้ามองมันจากไกล ๆ เฉินซีก็เกิดความรู้สึกเหมือนจะถูกมันดูดวิญญาณเข้าไปแล้ว ราวกับว่าเจดีย์สัมฤทธิ์ตรงหน้าเป็นต้นอักขระยันต์ เป็นศูนย์รวมของเต๋าแห่งยันต์อักขระ ทำให้ใจคนตกตะลึงอย่างบอกไม่ถูก
ถึงขนาดได้ยินเสียงคล้ายบทสวดใสกระจ่างราวกับเสียงจากธรรมชาติดังมาจากข้างใน เหมือนมหาเต๋ากำลังส่งเสียงพึมพำ คล้ายเซียนส่งเสียงสรรเสริญ เต็มไปด้วยกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งใหญ่ และโบราณคละเคล้าไปด้วยกัน
นี่คือเจดีย์ต้าเหยี่ยน ใจกลางแห่งพิภพยันต์อักขระ!
ตอนนี้ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายต่างพากันล้อมรอบเจดีย์ต้าเหยี่ยนแล้ว และต่างเงยหน้ามองเจดีย์ด้วยสีหน้าตื่นตะลึงที่ยากจะควบคุม
“ตามข่าวลือว่าไว้ ที่ยอดเจดีย์ต้าเหยี่ยนมีเคล็ดวิชาอันลึกล้ำสะท้านไปทั่วทั้งสามภพอยู่ มันมีอำนาจสะท้านฟ้าสะเทือนดิน หากมีใครได้บ่มเพาะ แม้จะไม่สามารถขึ้นเป็นเซียนสวรรค์ได้ในทันที อย่างน้อยก็ได้รับประโยชน์นับไม่ถ้วน!”
“ไม่รู้ว่ามันคือวิชาอะไรกันแน่ เป็นศาสตร์เต๋าหรือ? พลังอิทธิฤทธิ์? หรือจะเป็นวิชาอีกประเภทไปเลย?”
“ใครจะไปรู้ แต่ถึงขนาดที่สามารถทำให้คนจากภพเซียนมาถึงที่นี่ได้ ย่อมไม่ใช่วิชาธรรมดาแน่ ไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นสิ่งตกทอดมาจากมหาเทพเต๋าก็เป็นได้!”
“มหาเทพเต๋า? เป็นไปไม่ได้หรอก! หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกตัวตนระดับสูงจากโลกอื่นก็คงเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน แล้วเราจะมีโอกาสได้มันมาหรือ?”
“ก็แค่ข่าวลือเท่านั้น และถึงจะไม่ใช่ตามนั้น มันก็คงไม่ต่างกันมากนัก”
ฝูงชนรอบข้างคุยกันหนาหู ไม่ว่ามองไปทางใดก็มีแต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี ส่วนผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายามีรวมอยู่ไม่เท่าไร
“ไปกันเถอะ เจดีย์ต้าเหยี่ยนจะเปิดวันพรุ่งนี้แล้ว” เหลียงปิงหยุดยืนมองเจดีย์ต้าเหยี่ยนชั่วครู่หนึ่ง ก่อนหันหลังแล้วเอ่ยคำ
แต่ในจังหวะนั้นเอง มีคนกลุ่มหนึ่งแหวกฝูงชนแล้วเดินเข้ามา โดยผู้ที่เดินนำหน้ามาคือหลัวจื่อเซวียน ตัวยังไม่มาถึงแต่เสียงมาถึงก่อนแล้ว “เหลียงปิง เจ้าตัดสินใจใหม่หรือยัง?”
ทางด้านหลังเขามีคนติดตามมาอีกสิบคน ซึ่งนอกจากหนานซิ่วชง เหวินเหรินเยี่ย ฉู่เซียว เฉาเหอ และคนอื่น ๆ แล้ว ยังมีชายหนุ่มหญิงสาวอีกอย่างละคน มีชายชุดดำ ชายชราอีกคน และมีหญิงวัยกลางคนมาอีกคนหนึ่งด้วย
คนหนึ่งสวมชุดนักรบเต๋าสีแดงเพลิง ผิวขาวดั่งหยก ในมือถือพัดหยกไว้ ท่าทางดูสบายไร้การยับยั้ง อีกคนหนึ่งเป็นหญิงงามที่มีเรือนผมสลวยพลิ้วสยายราวกับน้ำตก มีท่าทางสูงส่ง นัยน์ตาแฝงแววอบอุ่นและอ่อนโยน
“สองคนนี้คนหนึ่งชื่อ กู่หลิวสุ่ย ผู้สืบทอดตระกูลกู่ อีกคนคืออินผิง ผู้สืบทอดตระกูลอิน” เถิงหลานส่งกระแสปราณหาเฉินซี
เฉินซีจึงเข้าใจ เขาลากสายตาผ่านทั้งสองคนนั้นไปหยุดอยู่ที่สามคนด้านหลัง จากนั้นก็หรี่ตาเล็กน้อย
หนึ่งในนั้นคือชายในชุดดำดูลึกลับ กับชายชราที่ดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรงในชุดสีม่วง และคนสุดท้ายคือหญิงวัยกลางคนที่สวมชุดสีเขียวธรรมดาทว่าหน้าตางดงาม
แต่น่าตกใจนัก ที่กลิ่นอายน่าเกรงขามของชายชรากับหญิงงามผู้นั้นดูยิ่งใหญ่กว่ามหาสมุทรเสียอีก ถึงชนิดที่ว่าแค่ถูกกวาดตามองครั้งเดียวก็ทำให้ตัวสั่นเทาอย่างยากจะควบคุมแล้ว
หรือก็คือสองคนนี้อย่างน้อยก็มีความแข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าชายลึกลับในชุดดำผู้นั้นเลยทีเดียว!
“นั่นคือกู่จิ่วเจินกับอินปี้อวิ้น พวกเขาล้วนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับ ช่วงหลังมานี้พลังของตระกูลกู่กับตระกูลอินเสื่อมถอยลง ในขณะที่ตระกูลอินได้เสียเจดีย์สยบพิภพไป ดังนั้นจึงไม่อาจต่อต้านตระกูลเหลียงของข้าและตระกูลหลัวได้” เถิงหลานใช้กระแสปราณอธิบายอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงเจือแววเคร่งเครียดเล็กน้อย “แต่แม้ว่าอูฐจะตัวผอมเพียงใดก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า หากร่วมมือกับตระกูลหลัวแล้วพวกเขาย่อมถือเป็นปัญหาไม่มากก็น้อย”
เฉินซีค่อย ๆ ทำความเข้าใจคำพูดของเถิงหลาน ความกดดันภายในใจยิ่งเพิ่มพูน เพราะแค่ขอบเขตเซียนลึกลับสามคนก็ทำให้เขาใจเต้นแรงได้แล้ว
‘ดูท่าสถานการณ์ของเหลียงปิงจะย่ำแย่จริง ๆ’ …เฉินซีลอบถอนใจอยู่ภายในใจ
เมื่อหลัวจื่อเซวียนและคนอื่น ๆ มาปรากฏตัวขึ้น ก็ได้เกิดความวุ่นวายทันที ทุกคนรู้ว่ากลุ่มคนตรงหน้าเป็นผู้สืบทอดของสามจากสี่ตระกูลใหญ่ อันประกอบด้วย หลัว กู่ และอิน อีกทั้งยังมีคนจำเหลียงปิงได้เช่นกัน!
หรือก็คือตระกูลใหญ่ทั้งสี่ได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ทุกคนจึงอดประหลาดใจไม่ได้
“เช่นนั้นเราก็รอดูก่อน!” จังหวะนั้นเอง เหลียงปิงได้ปฏิเสธหลัวจื่อเซวียนไปตามตรงอีกครั้ง นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับเถิงหลานและเฉินซี
“เหลียงปิง ตอนนี้ใกล้จะเกิดกลียุคขึ้นในสามภพ หากเจ้ายังไม่คิดจะรับรู้ถึงความผิดพลาดของตน เช่นนั้นรากฐานที่สั่งสมมานานหลายปีในพิภพยันต์อักขระของตระกูลเหลียงคงได้ล่มจมในมือเจ้าเป็นแน่ ต่อไปพิภพยันต์อักขระก็จะเหลือเพียงสามตระกูลใหญ่ของเราเท่านั้น!” หลัวจื่อเซวียนตะโกนลั่นด้วยใบหน้าเคร่งขรึม แต่เหลียงปิงยังคงนิ่ง ซึ่งยิ่งทำให้เขาโกรธเกรี้ยวเข้าไปอีก
การแต่งงานกับเหลียงปิงไม่ใช่สิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำให้ได้ แต่เพราะอยากได้ไม้บรรทัดหยั่งรู้สวรรค์ที่นางถือครอง เพราะนั่นจะเพิ่มโอกาสยามเข้าไปในเจดีย์ต้าเหยี่ยน และช่วยให้ครอบครองเคล็ดวิชาลึกล้ำได้ง่ายขึ้น!
เหลียงปิงยังคงสีหน้าไร้อารมณ์ไว้ นางไม่หันมามองด้วยซ้ำ และใช้การกระทำเป็นเครื่องบ่งบอกความคิด
นัยน์ตาของหลัวจื่อเซวียนพลันฉายจิตสังหาร เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ทุกคน เราไปเถอะ ค่อยไปจัดการนางคนนี้ตอนเข้าเจดีย์ต้าเหยี่ยนวันพรุ่งนี้!”
คนอื่น ๆ พยักหน้ารับอย่างเงียบเชียบ
แม้กระทั่งหนานซิ่วชง เหวินเหรินเยี่ย และคุณชายคนอื่น ๆ จากภพเซียนยังไม่คิดจะทำสิ่งใด เพราะรู้ว่าในสถานการณ์นี้ พวกเขายังมีโอกาสให้ต้องพึ่งหลัวจื่อเซวียนอีกมาก
จากนั้นคนทั้งสองกลุ่มก็จากไป
ทุกคนเหลือบมองหน้ากัน เรื่องเมื่อครู่ทำให้รู้สึกเหมือนการต่อสู้กำลังจะปะทุอย่างไรอย่างนั้น เป็นลมพายุที่อยู่ตรงเส้นขอบฟ้า ทุกคนรู้ดีว่าการเดินทางเข้าเจดีย์ต้าเหยี่ยนในวันพรุ่งนี้คงไม่ง่ายดายแล้ว…