บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 86 ปิดด่านบ่มเพาะ
บทที่ 86 ปิดด่านบ่มเพาะ
บทที่ 86 ปิดด่านบ่มเพาะ
ภายในถ้ำบนเทือกเขาวงจันทรา
เฉินซีนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่ง และใต้เบาะรองนั่งคือจุดที่ใกล้กับเส้นชีพจรวิญญาณชั้นยอดที่มีปราณวิญญาณเข้มข้นซึ่งช่วยในการชำระล้างจิตใจให้สงบลงมากที่สุด
เขาหยิบแผ่นหยกเคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์ออกมาและทบทวนอย่างละเอียดอีกครั้ง
ฟุ่บ!
ขวดหยกสีขาวใบหนึ่งปรากฏบนพื้นต่อหน้าเขา ทันทีที่จุกเปิดออก ปราณวิญญาณหนาแน่นได้แผ่กระจายออกมา ภายในนั้นมีวารีวิญญาณบรรจุอยู่สองพันห้าร้อยจิน
ก่อนหน้านี้เฉินซีได้ดูดซับวารีวิญญาณห้าร้อยจินก็สามารถก้าวข้ามจากขอบเขตก่อกำเนิดไปสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นหนึ่งดาราได้ นอกจากนี้รากฐานของเขายังแข็งแกร่งและมั่นคง
หลังจากเฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงหยิบขวดหยกออกมาอีกสองขวด มันมีสีดำและสีเขียวอย่างละขวด สิ่งของเหล่านี้ได้มาจากศพของราชามังกรทมิฬและราชาอีกาทมิฬ พวกมันบรรจุวารีวิญญาณปริมาณถึงสองพันจินและสามหมื่นสองพันห้าร้อยจิน!
“สามหมื่นสองพันห้าร้อยจิน? เพื่อที่จะบรรลุขอบเขตเคหาทองคำ ดูเหมือนว่าราชาอีกาทมิฬไม่เพียงแต่เตรียมโอสถลาภวิญญาณโลหิต เขายังเตรียมวารีวิญญาณให้เพียงพอ แต่สิ่งเหล่านี้กลับมีประโยชน์แก่ข้าในตอนนี้แล้ว…” เฉินซีถอนลมหายใจเบา ๆ และรู้สึกยินดีอยู่ภายในใจ
‘จงเปิด!’ หลังจากจัดวางขวดหยกทั้งสามทีละขวด เฉินซีก็สั่งการอยู่ในใจ ทันใดนั้น วารีวิญญาณก็พวยพุ่งออกมาจากขวดหยกสีขาว จากนั้นเขาก็กลืนมันเข้าไป
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
วารีวิญญาณที่อุดมไปด้วยปราณวิญญาณ ดูเหมือนกระแสน้ำที่ไหลผ่านเส้นชีพจรในร่างกายของชายหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นปราณแท้ที่โปร่งใสราวกับผลึกน้ำแข็ง ก่อนที่จะหลั่งไหลเข้าสู่จุดตันเถียน
ภายในตำหนักอินทนิลของเขามีพื้นที่เวิ้งว้างกว้างใหญ่
ควบคู่ไปกับการไหลทะลักของปราณแท้ ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่แห้งเหือดเมื่อนานมาแล้ว กลับกลายเป็นดั่งสัตว์ร้ายตัวน้อยที่หิวโหยและเริ่มดูดซับมันอย่างบ้าคลั่ง
พื้นผิวของทะเลสาบเพิ่มขึ้นทีละน้อย
ผ่านไปราวสองชั่วยาม ทะเลสาบอันยิ่งใหญ่ภายในตำหนักอินทนิลก็อยู่ในจุดอิ่มตัว ดาวสลัวที่ล่องลอยอยู่เหนือทะเลสาบในตำหนักอินทนิลก็ส่องประกายระยิบระยับ ดูงดงามยิ่ง
เปรี้ยง!
เฉินซียังไม่ได้หยุดโคจรเคล็ดวิชาการบ่มเพาะ เขายังคงโคจรเคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์ขั้นที่สองต่อไป ทะเลสาบอันยิ่งใหญ่ภายในตำหนักอินทนิลเริ่มหมุนอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับเสียงสนั่นราวกับฟ้าร้อง
มันหมุนเหมือนกับกังหันด้วยความเร็วที่เร่งขึ้นเรื่อย ๆ แรงดึงดูดที่พุ่งเข้าหามันก็น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก วารีวิญญาณที่บรรจุอยู่ในขวดหยกสีขาวนั้น ถูกดูดซึมและไหลเวียนอยู่ในเส้นลมปราณของเขาในชั่วพริบตา ด้วยเหตุนี้ ทะเลสาบอันยิ่งใหญ่ในตำหนักอินทนิลจึงขยายออกและลึกขึ้นเรื่อย ๆ!
ปัง!
บนท้องฟ้าเหนือทะเลสาบใหญ่ในตำหนักอินทนิลเกิดเสียงดังก้องกังวาน ดวงดาราอีกดวงก็ปรากฏออกมาอย่างกะทันหัน โดยแยกตัวออกมาจากดาวดวงก่อนหน้านี้ ดวงดาราทั้งสองเผชิญหน้ากันจากระยะไกล ด้วยวารีวิญญาณที่หลั่งไหลเข้ามาเพื่อขยายขนาดของทะเลสาบอันยิ่งใหญ่ภายในตำหนักอินทนิล ดาวดวงใหม่นี้ค่อย ๆ เปล่งประกายขึ้นทีละน้อย จากแสงสลัวกลายเป็นประกายระยิบระยับ!
‘การบ่มเพาะของข้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสองดาราแล้ว!’ เฉินซียังคงดูดซับวารีวิญญาณอันเข้มข้นที่บรรจุอยู่ภายในขวดหยกสีขาวและไม่คิดที่จะหยุดเลยแม้แต่น้อย
เมื่อบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสองดารา วารีวิญญาณที่บรรจุอยู่ภายในขวดหยกสีขาวสองพันห้าร้อยจิน ก็ได้ถูกดูดซับไปแล้วถึงหนึ่งพันห้าร้อยจิน ความก้าวหน้าของเฉินซีทำให้ความเร็วในการดูดซับของทะเลสาบในตำหนักอินทนิลของเขารวดเร็วยิ่งขึ้น และวารีวิญญาณที่เหลืออยู่หนึ่งพันจิน ภายในขวดหยกสีขาวก็หายไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม
ฟิ้วว! ฟิ้ววว!
ทะเลสาบในตำหนักอินทนิลยังคงขยายตัวและลึกขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเมื่อก่อนอย่างน้อยสิบเท่า หรืออาจถึงหนึ่งร้อยเท่า และยังคงรักษาระดับความเร็วเช่นนี้ไว้
ซ่าาา!
ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเพียงใด วารีวิญญาณที่บรรจุอยู่ในขวดสีหยกขาวก็ถูกดูดซึมจนหมดเกลี้ยง จากนั้นวารีวิญญาณในขวดหยกสีดำที่อยู่ด้านข้างก็ไหลเข้าสู่ปากของเฉินซีอย่างต่อเนื่อง
เวลาค่อย ๆ ดำเนินผ่านไป
ดวงตาของเฉินซียังคงปิดสนิทด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง เขายังไม่มีความคิดที่จะหยุดโคจรเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของเขาเลยแม้แต่น้อย
สิ่งนี้ไม่อาจล่าช้าได้
หลังจากที่เขารู้แจ้งในเต๋าแห่งสายลมอย่างถ่องแท้ ดวงวิญญาณของเฉินซีก็ได้บรรลุไปสู่ขั้นใหม่และสามารถใช้ญาณสัมผัสในระดับที่ทัดเทียมกับของผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำซึ่งถูกเรียกว่า ‘ญาณจิต’
สิ่งสำคัญที่สุด การรู้แจ้งในเต๋าแห่งสวรรค์ของเฉินซีในตอนนี้ ได้ล้ำหน้าผู้บ่มเพาะในระดับเดียวกันและยังเหนือล้ำกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั่วไปอีกด้วย
เพียงอาศัยดวงวิญญาณอันทรงพลังที่อยู่ในขั้นญาณจิต และความเข้าใจอันยอดเยี่ยมในเต๋าแห่งการรู้แจ้ง เฉินซีก็สามารถบ่มเพาะจนบรรลุขอบเขตเคหาทองคำในรวดเดียวโดยไม่ต้องหยุดกลางคัน
แต่เงื่อนไขในเบื้องต้นคือต้องมีวารีวิญญาณเพียงพอที่จะเกื้อหนุนความรุดหน้าในการบ่มเพาะของเขา
ผู้บ่มเพาะบางคนที่ไม่สามารถก้าวหน้าและติดอยู่ที่คอขวดเป็นเวลาเนิ่นนานเป็นเพราะขาดแคลนวารีวิญญาณ หรือไม่ก็คือจิตวิญญาณของพวกเขายังไม่แข็งแกร่งพอ หากปราศจากจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งสำหรับการควบคุม พลังที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจะทำให้ล้มตายจากการระเบิดโดยมิอาจหลีกเลี่ยง
ก็เป็นเหมือนคนทั่วไปที่ครอบครองปราณแท้ที่สามารถเคลื่อนขุนเขา แต่ไม่ได้มีจิตวิญญาณที่เท่าเทียมเช่นเดียวกัน
หากคนผู้นั้นไม่อาจควบคุมปราณแท้ในร่างได้ย่อมมีผลลัพธ์คือจะต้องตายจากการระเบิดที่เกิดจากความปั่นป่วนของปราณแท้
นอกจากนี้ ดวงวิญญาณยังเป็นแกนกลางสำหรับควบคุมสมบัติวิเศษในการต่อสู้ ซึ่งเรียกว่าระดับการควบคุม แม้ว่าปราณแท้จะทรงพลังสักเพียงใด แต่การมีดวงวิญญาณที่อ่อนแอกว่าจะทำให้ไม่สามารถควบคุมสมบัติวิเศษได้อย่างเชี่ยวชาญราวกับแขนขา ดังนั้นพลังในการต่อสู้ของคนผู้นั้นย่อมอ่อนแอไปโดยปริยาย ถึงแม้ว่าปราณแท้ของคนผู้นั้นจะมีระดับทั่วไป แต่เมื่อครอบครองดวงวิญญาณที่ทรงพลัง ย่อมสามารถใช้สมบัติวิเศษได้อย่างเต็มที่ และพลังในการต่อสู้ของคนผู้นั้นก็จะเพิ่มพูนด้วยเหตุนี้
สรุปแล้ว การใช้ดวงวิญญาณเป็นสิ่งที่ลึกล้ำอย่างยิ่งเพราะมันส่งผลเกี่ยวเนื่องกับปราณแท้ ขอบเขตการบ่มเพาะ ความเข้าใจในมหาเต๋า การสร้างยันต์อักขระ การปรับแต่งอุปกรณ์หรือการฝึกสัตว์อสูร
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาดวงวิญญาณนั้นนับเป็นเรื่องที่ยากมาก
เพราะมีเพียงสามวิธีในการบ่มเพาะดวงวิญญาณ
ประการแรกคือ อาศัยเคล็ดวิชาจินตภาพ
ประการที่สองคือ อาศัยการรู้แจ้งในมหาเต๋า
ประการที่สามคือ ขัดเกลาเจตจำนงและดวงวิญญาณผ่านการต่อสู้จริง
อย่างไรก็ตาม ในโลกแห่งการบ่มเพาะ เคล็ดวิชาจินตภาพเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่ง มีเพียงขุมพลังยิ่งใหญ่ที่มีรากฐานอันลึกซึ้งถึงจะมีในครอบครองเท่านั้น ในขณะที่การเข้าใจในมหาเต๋า การจะได้พบเจอนั้น ขึ้นอยู่กับชะตาลิขิตเท่านั้น
ดังนั้นจึงเหลือเพียงใช้วิธีต่อสู้เพื่อขัดเกลาเจตจำนงเท่านั้น แม้จะเป็นวิธีธรรมดาที่ง่ายสุด แต่การบ่มเพาะวิญญาณด้วยวิธีเช่นนี้ก็ค่อนข้างอันตรายและเชื่องช้ายิ่งนัก
เป็นเพราะเฉินซีได้ครอบครองรูปปั้นฝูซี ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องสนใจปัญหาเหล่านี้
เมื่อตอนที่เขาอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ เขาได้บรรลุขั้นญาณตระหนักรู้ ทำให้ต่อมาการรู้แจ้งในเต๋าของเขาก้าวหน้าอย่างน่าตกตะลึง ในตอนนี้เขาบรรลุเต๋าแห่งสายลมอย่างถ่องแท้ ซึ่งย่อมเป็นประโยชน์ต่อดวงวิญญาณของเขายิ่งนัก
กอปรกับการเข้าถึงจินตภาพของรูปปั้นฝูซีทั้งกลางวันและกลางคืน ดวงวิญญาณของเขาก็พัฒนาขึ้นตลอดเวลา ซึ่งไม่เหมือนกับผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ที่มักจะเจอกับทางตันในการบ่มเพาะจนไม่อาจก้าวหน้าได้
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา เขาใช้เวลาทั้งหมดไปกับการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นทักษะการต่อสู้หรือจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ พวกมันก็ได้รับการขัดเกลาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความแข็งแกร่งของดวงจิตแห่งเต๋าและเจตจำนงอันทรงพลังของเขา ทำให้ดวงวิญญาณถูกขัดเกลาจนล้ำเลิศ
จินตภาพ!
การรู้แจ้งในเต๋า!
ขัดเกลาเจตจำนงท่ามกลางการต่อสู้จริง!!
สิ่งเหล่านี้ได้วางรากฐานที่หนาแน่นและทรงพลังในการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่จิตวิญญาณของเฉินซีแล้ว ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ตัวเขาจะเหนือล้ำกว่าผู้บ่มเพาะคนอื่นในระดับเดียวกันอย่างไม่อาจเทียบเคียง
…
หนึ่งเดือนผ่านไป
ในช่วงเวลานี้เฉินซีอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะตลอดเวลา ส่วนตู้ชิงซีและคนอื่น ๆ ก็หายบาดเจ็บแล้ว
ราชาเต่าเฒ่าและราชาจิ้งจอกเก้าหางดื่มชาและสุราอย่างมีความสุขและผ่อนคลายดูเหมือนพวกมันต้องการลงหลักปักฐานบนเทือกเขาวงจันทราและมักอยู่ในป่าสนสีครามที่ไหล่เขาตลอดทั้งวัน
มู่ขุยใช้โอกาสนี้เพื่อขอคำชี้แนะในด้านการบ่มเพาะจากราชาอสูรทั้งสองอยู่บ่อย ๆ และด้วยความเคารพที่มีต่อเฉินซี ราชาอสูรทั้งสองจึงถ่ายทอดความรู้และคอยชี้แนะมู่ขุยอย่างทุ่มเทครั้งแล้วครั้งเล่า
มู่ขุยรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่งราวกับอยู่กำลังฝันอยู่ทุกวัน และแม้แต่ก้าวเดินก็รู้สึกเหมือนกำลังเหยียบก้อนเมฆ
อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้ามู่ขุยก็เริ่มประสบปัญหาเพราะว่าเทือกเขาวงจันทราเริ่มคึกคักขึ้นทุกวัน
“เอ๊ะ นั่นมันสหายเต๋าวัวคราม เจ้าก็มาเยี่ยมเยียนท่านผู้อาวุโสเฉินซีด้วยหรือ?”
“ฮ่า ๆ คางคกเฒ่า เจ้าก็มาด้วยจริง ๆ ข้าจำได้ว่าภูเขาหยกสันโดษของเจ้าอยู่ห่างไกลจากที่นี่ถึงสองหมื่นลี้ ด้วยระดับการบ่มเพาะของเจ้า ยังต้องวิ่งทะยานมาอย่างน้อยครึ่งเดือนใช่หรือไม่”
“ถูกต้อง! ไอหยา! เจ้านำหยกวิญญาณเก้าประการมาด้วย!”
“เฮ้อ… ของขวัญชิ้นนี้ของข้ายังไม่นับว่าดีเลิศนัก เทือกเขาวงจันทราในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว หากไม่ได้นำสมบัติอันล้ำค่ายิ่งติดตัวมา การเสียหน้าย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้!”
ใกล้กับเทือกเขาวงจันทรา มีอสูรจำนวนมากถือของขวัญต่าง ๆ มาเป็นกลุ่ม กลุ่มละสองถึงห้าตน มุ่งขึ้นสู่เทือกเขาวงจันทราราวกับคลื่นยักษ์ถาโถมใส่ ภาพที่เห็นมันช่างคึกคักยิ่งนัก
ตั้งแต่เฉินซีฆ่าราชาวานรทมิฬแห่งถ้ำวารีกระซิบ ราชาเหยี่ยวสายฟ้าแห่งเทือกเขาสัมฤทธิ์ ราชามังกรทมิฬแห่งทะเลสาบจันทร์ฉาย และราชาอีกาทมิฬแห่งหุบเขาจันทราโหยหวน ชื่อเสียงของชายหนุ่มก็เลื่องลือไปทั่ว และกลายเป็นผู้มีอิทธิพลอันดับหนึ่งภายในระยะพื้นที่สองพันห้าร้อยลี้ของส่วนลึกเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเหล่าอสูรทั้งหลายได้ทราบว่าราชาเต่าเฒ่ากับราชาจิ้งจอกเก้าหางก็กลายเป็นสหายของเฉินซีเช่นกัน ชื่อเสียงของเฉินซีก็ยิ่งเหมือนดวงอาทิตย์ในยามเที่ยงทำให้เหล่าอสูรรู้สึกเกรงกลัวและนับถือจากใจของพวกมัน
เทือกเขาวงจันทราที่เฉินซีอาศัยอยู่ ได้กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในหัวใจของเหล่าสัตว์อสูรที่อยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาไปแล้ว จึงทำให้มีอสูรมากหน้าหลายตาต่างก็เดินทางมาเพื่อแสดงความเคารพ เหตุการณ์ที่ใหญ่โตเช่นนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน
“ผู้อาวุโสเฉินซี ยังคงอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะหรือไม่”
“ใช่แล้ว ประการแรก เรามาที่นี่เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสทั้งสองคน นั่นคือราชาเต่าเฒ่ากับราชาจิ้งจอกเก้าหาง และประการที่สอง เพื่อเข้าพบผู้อาวุโสเฉินซี สหายเต๋ามู่ขุย โปรดอย่าทำให้พวกเราทุกคนต้องผิดหวัง”
ในทุก ๆ วัน อสูรทุกตัวที่เดินขึ้นมาบนเทือกเขาวงจันทราจะยื่นคำขอต้องการเข้าพบเฉินซีเพื่อแสดงความเคารพ มู่ขุยถูกพวกมันถามซ้ำไปซ้ำมาจนหูชา และได้แต่ตอบแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ผู้อาวุโสเฉินซียังคงอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะ”
เมื่อเขาถูกต้อนให้จนมุม เขาจะหันเหไปเรื่องอื่น “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าผู้อาวุโสเฉินซีจะออกมาเมื่อใด แต่พวกเจ้าไม่เห็นหรือว่าแม้แต่ราชาเสวียนจิงและราชาชิงชิวยังคงต้องรั้งรอ? เหตุใดพวกเจ้าไม่ไปถามราชาทั้งสองดูเสียล่ะ”
ถึงกระนั้น มู่ขุยก็ยังคงยุ่งยิ่งนัก เขาต้องทักทายสหายเต๋าตนอื่น ๆ จากนั้นจัดงานเลี้ยงรับรองให้แก่พวกมัน ได้ดื่มกินและร้องรำอย่างมีความสุข ในท้ายที่สุด หลังจากที่ส่งพวกมันกลับไป มู่ขุยก็ยังคงต้องแบกของขวัญต่าง ๆ ไปเก็บ เขาวิ่งไปมาทั้งวันจนหัวหมุน
มู่ขุยรู้สึกโล่งใจมาก หลังจากที่ราชาจิ้งจอกเก้าหางจัดแจงอสูรจิ้งจอกสวยกว่าหนึ่งร้อยตัวที่อยู่ภายใต้บัญชาให้มาเป็นบริวารคอยช่วยงาน
‘ข้าสงสัยว่าผู้อาวุโสเฉินซีจะปิดด่านบ่มเพาะไปอีกนานแค่ไหน? หากเขายังไม่ออกมา ไอ้อสูรพวกนี้คงรั้งอยู่ในเทือกเขาวงจันทราไปตลอดและไม่คิดที่จะออกไป’ มู่ขุยนั่งขัดสมาธิอยู่บนโต๊ะภายในป่าสนที่อยู่บนไหล่เขา เขาดื่มสุราชั้นดีและบ่นพึมพำกับตัวเอง พื้นที่โล่งที่อยู่ใกล้เคียงมีขนาดราวสองลี้ต่างก็แออัดไปด้วยบรรดาอสูรมาสักระยะแล้ว บ้างก็เพิ่งมาถึง บ้างก็อยู่มาหลายวัน และพวกมันทั้งหมดกำลังรอคอยที่จะพบกับเฉินซี
“ไม่คาดคิดเลยว่าเฉินซีจะได้รับการตอบรับอย่างดีขนาดนี้” ต้วนมู่เจ๋อกล่าวด้วยความชื่นชม
“ฮ่า ๆ ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน เขาราวกับเป็นราชาแห่งขุนเขา อีกทั้งสุราจากลิงก็อร่อยยิ่งนัก” ซ่งหลินกล่าวด้วยแววตาที่ง่วงซึมในขณะโอบกอดเหยือกสุรา
ตู้ชิงซีไม่ได้กล่าวอันใด แต่ในใจของนางกลับรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งโดยไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด
เปรี้ยง!
ในเวลานี้เองที่ประตูถ้ำที่ถูกปิดตลอดหนึ่งเดือนก็เปิดออกอย่างช้า ๆ
ฟิ้วว!
ในเวลานี้เสียงทั้งหมดได้เงียบลง และในความเงียบงัน สายตาของผู้คนต่างก็จดจ้องไปยังที่พำนักอย่างพร้อมเพรียง
ท่าทางพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและการตั้งตารอที่ไม่อาจปกปิด
ภายใต้ความสนใจของเหล่าอสูร เงาร่างหนึ่งค่อย ๆ ก้าวออกมาจากถ้ำ