บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 865 ท่าทางสง่างามหาใครเปรียบ
บทที่ 865 ท่าทางสง่างามหาใครเปรียบ
บทที่ 865 ท่าทางสง่างามหาใครเปรียบ
ตู้ม!
หลัวจ้านเป่ยถือกระบี่สะบั้นเต๋าพร้อมทั้งส่งปราณกระบี่ซึ่งอาบไปด้วยกระแสพลังที่ส่องประกายสว่างทรงอำนาจให้พวยพุ่ง
อินปี้อวิ้นเห็นดังนั้นก็โจมตีโดยไม่ลังเล นางหยิบสมบัติวิเศษทรงเหมือนเจดีย์ขึ้นมาก่อนจะก้าวเข้าสู่สนามรบ ด้วยหวังว่าจะช่วยเหลือหลัวจ้านเป่ยต้านทานศัตรูด้วยกัน
เพราะนางรู้ดีว่าฝีมือของหญิงสาวตรงหน้าน่าเกรงขามนัก หากพวกนางแยกกันต่อสู้เพียงลำพัง คงไม่อาจเอาชนะได้
แต่นางเพิ่งจะเคลื่อนไหว หลียางก็ปลดปล่อยอักขระยันต์อันงามสง่าและกว้างขวางหมุนเวียนออกมา มันได้แปรเปลี่ยนเป็นยันต์เทวะลึกลับครอบร่างของนางไว้ ทำให้ไม่อาจขยับได้
“ยันต์เทวะวิหคอมตะวายุ! เป็นไปได้อย่างไร!?” ใบหน้างามของอินปี้อวิ้นซีดขาว เพราะยันต์เทวะนี้เป็นวิชาลับที่ส่งต่อกันมาในตระกูลอินของนาง นางจะไม่รู้ได้หรือ?
นางพยายามดิ้นสุดกำลัง แต่ก็ไร้ผล ราวกับตนเองถูกดูดเข้าสู่ใจกลางพายุ รอบข้างมีแต่ลมพัดหวีดหวิวเย็นยะเยือก ลมแรงเหล่านี้มีกระแสปราณของกฎผสานเข้าด้วยกัน ถึงนางมีปีกก็ไม่อาจหลบหนีไปได้
ครืน!
หลียางที่อยู่อีกด้านก็เข้าต่อสู้พร้อมหลัวจ้านเป่ยที่ถือกระบี่สะบั้นเต๋า นางไม่ได้ใช้ของพิเศษอะไร เพียงพลิกฝ่ามือขาวแล้ว อักขระยันต์ลึกล้ำนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมา
อักขระยันต์เหล่านี้หนาแน่นมากเสียจนเหมือนกับพายุหลายลูกเข้าปะทะกันและเกิดเป็นยันต์เทวะพฤกษาคราม หรือยันต์เทวะผสานธาตุ มันพิเศษไม่เหมือนใคร คล้ายเป็นศูนย์รวมของเต๋ายันต์อักขระ
จังหวะนั้นเองที่เฉินซีสังเกตเห็นว่าอำนาจของยันต์เทวะสามารถนำมาใช้เช่นนี้ได้ด้วย!
แต่เขารู้ข้อจำกัดของตนเองดี รู้ดีว่าจะทำเช่นศิษย์พี่หญิงหลียางด้วยพลังบ่มเพาะในปัจจุบันได้นั้นยากเย็นยิ่ง เหตุผลก็ไม่ได้มีอะไร เป็นเพราะโครงสร้างของยันต์เทวะมีความซับซ้อนเกินไปนั่นเอง
หลายปีก่อนตอนที่อยู่ในโลกแห่งดารา แค่สลักอักขระยันต์ห้ามหายันต์เทวะบนยันต์ศัสตรา ก็ใช้เวลาในชีวิตเขาไปตั้งยี่สิบห้าปีแล้ว ซึ่งนี่เป็นแค่การสลักอักขระยันต์เท่านั้น นอกจากอักขระยันต์แล้ว ยันต์เทวะของแท้ยังมีกลิ่นอายเต๋าที่สั่งสมอำนาจจากใต้หล้าอยู่ด้วยซึ่งเชื่อมกับเซียนแห่งโลก
ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าการทำความเข้าใจยันต์เทวะได้อย่างแท้จริงไม่ใช่เรื่องง่าย
ด้วยพลังบ่มเพาะเต๋าแห่งยันต์อักขระในตอนนี้ของเขาแล้ว ชายหนุ่มย่อมสามารถสร้างยันต์เทวะขึ้นมาได้มากมายหลายขั้นตอน เช่น สามารถทำให้มันมีกลิ่นอายเต๋า สั่งสมอำนาจแห่งใต้หล้า เช่นนี้ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรสำหรับเขา แต่ก็ยังไม่สามารถดึงพลังที่แท้จริงของยันต์เทวะออกมาได้
สาเหตุเพราะมันไม่ได้เชื่อมต่อกับเซียนแห่งโลกหล้า พลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ยังสัมผัสถึงการมีอยู่ของเซียนได้ยากยิ่ง เว้นเสียแต่จะมีพลังบ่มเพาะสูงกว่านี้ ดังนั้นจึงยังไม่สามารถใช้ยันเทวะที่มีอำนาจสูงและสามารถกำจัดผู้อยู่ขอบเขตเซียนลึกลับด้วยการพลิกฝ่ามืออย่างหลียางได้
แต่ถึงจะใช้ไม่ได้ เฉินซีก็ยังคอยสังเกต การต่อสู้ระหว่างศิษย์พี่หญิงหลียางกับหลัวจ้านเป่ยช่วยเปิดหูเปิดตาให้เขาได้ นับว่าได้รับประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับหน้าต่างตรงหน้าถูกเปิดออกให้เขาได้เห็นโลกที่แตกต่าง
‘ศิษย์พี่หญิงคงจะแสดงทั้งหมดนี้ให้ข้าดู ไม่เช่นนั้นด้วยฝีมือของนางอย่างตอนบดขยี้กู่จิ่วเจินเมื่อก่อนหน้านี้ มีหรือหลัวเจิ้นเป่ยยังจะรอดพ้นมาจนถึงตอนนี้ได้?’ เฉินซีตกอยู่ในภวังค์ความคิด ละทิ้งความคิดเรื่องอื่นแล้วมองสังเกตการณ์ด้วยใจสงบ
เขารู้ดีว่าการได้รับชมการต่อสู้ระดับนี้มีคุณค่าแค่ไหน นับว่าเป็นประโยชน์ต่อหนทางในการบ่มเพาะพลังในภายภาคหน้าเป็นอย่างยิ่ง
เพราะอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีเช่นเขา ที่มีโอกาสได้เห็นหลียางแสดงความลึกล้ำเต๋ายันตร์อักขระด้วยตาตนเอง
คนที่น่าสงสารที่สุดคงไม่พ้นหลัวเจิ้นเป่ย ทันทีที่เริ่มการต่อสู้ เขาก็เห็นแล้วว่าฝีมือของตนกับหลียางนั้นแตกต่างกันมากเกินไป ตัวเขาถูกจูงจมูกไปได้ทั่ว เหมือนหนอนที่ร่วงลงใยรังแมงมุม ไม่ต้องกล่าวถึงสังหารศัตรู แค่จะหนีให้พ้นก็ยากแล้ว!
ถึงขนาดที่หลียางเผยท่าทางสบายอารมณ์เหมือนกำลังเดินเล่นในสวน ขณะที่หลัวเจิ้นเป่ยรู้สึกเหมือนตนเองกลายเป็นลิงตัวหนึ่ง ได้แต่กระโดดขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่เหลือความสง่างามของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับอยู่เลย!
มันเป็นความรู้สึกที่ทำเขาแทบกระอักเลือด แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ความหวาดกลัวในหัวใจกลับมีมากกว่า เขาเลิกคิดไปนานแล้วว่าจะมีโอกาสได้ชิงเคล็ดวิชาจากชั้นสิบมาหรือไม่ ได้แต่คิดว่าจะหนีเอาตัวรอดอย่างไรแทน!
เพราะคู่ต่อสู้น่ากลัวเกินไปแล้ว ถึงขนาดไม่อาจประเมินได้ว่าอีกฝ่ายมีพลังบ่มเพาะอยู่ขั้นไหน แข็งแกร่งขนาดทำให้กำลังใจในการสู้ของเขาพังทลายลงทีละนิด
จะทำอย่างไรดี? หลัวเจิ้นเป่ยเต็มไปด้วยความกังวลในหัวใจ เขาเหลือบมองไปทางด้านข้างก็เห็นว่าชายชุดดำกำลังส่งสายตาเย็นชามองมาจากที่ไกล ไม่คิดจะเข้าช่วยเหลือแม้แต่น้อย เป็นตอนนั้นเองที่เจ้าตัวร้องขึ้นมาด้วยความโกรธว่า “พี่มู่! ไม่คิดจะลงมือหน่อยหรือ? รออะไรอยู่เล่า!?”
ชายชุดดำมีนามว่ามู่เจิง เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่หลัวเจิ้นเป่ยบังเอิญรู้จัก เจอกันครั้งแรกก็ได้เป็นสหายกัน และด้วยความที่อีกฝ่ายมีพลังสูงส่ง หลัวเจิ้นเป่ยจึงเชิญอีกฝ่ายมาเข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้ด้วย
ก่อนหน้านี้ท่าทีของมู่เจิงไม่เลวเลย ทำให้เขารู้สึกชื่นชมมาก แต่ตอนนี้ท่าทีไม่ไยดีของอีกฝ่ายกลับทำให้เขาโกรธเกรี้ยวอยู่ในใจ รู้สึกเหมือนถูกทรยศอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าโง่ คนต่างพิภพเช่นข้าจะสามารถช่วยเหลือเจ้าด้วยความจริงใจและสุดกำลังได้หรือ?” หลียางถอนหายใจเบา
“ว่าไงนะ? คนต่างพิภพ!?” เป็นตอนนั้นเอง ไม่เพียงหลัวเจิ้นเป่ยที่ตกตะลึงไป กระทั่งดวงตาของอินปี้อวิ้น เหลียงปิง เถิงหลาน เฉินซีและคนอื่น ๆ ก็ฉายแววไม่อยากเชื่อออกมาเช่นกัน
คนต่างพิภพเป็นคำเรียกที่ทุกคนในสามพิภพใช้เรียกผู้ที่อยู่นอกภพทั้งสาม อย่างคำกล่าวที่ว่า ผู้ไม่ได้อยู่เผ่าพันธุ์เดียวกันย่อมมีจิตคิดร้าย ในเมื่อยังมีสามภพอยู่ จิตคิดต่อสู้กับคนต่างพิภพจึงไม่เคยดับมอด ทั้งสองฝ่ายเกิดเป็นความปรปักษ์ไม่อาจเข้ากันได้ ที่ทำได้คือใช้เลือดและเปลวเพลิงแก้ปัญหาเท่านั้น ไม่มีหนทางอื่นอีก
จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ทุกคนมีท่าทางเช่นนั้นเมื่อได้ยินว่าแท้จริงแล้วชายชุดดำเป็นคนต่างพิภพ
ชายชุดดำยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงแม้จะถูกหลียางเปิดเผยตัวตนไปแล้ว นัยน์ตามืดมน ใบหน้าถูกซ่อนไว้ใต้ผ้าปิดสีดำ ทำให้ดูลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
“เอาเถิด สิ่งที่ควรรู้ข้าก็บอกไปแล้ว เจ้าตายอย่างสงบได้แล้วล่ะ” หลียางเอ่ยเสียงเบา จากนั้นการโจมตีก็เริ่มรุนแรงและรวดเร็วขึ้น
“ไม่นะ! ข้าช่วยเจ้ารับมือกับคนต่างพิภพได้!” หลัวจ้านเป่ยคำรามลั่น ในจังหวะเป็นตายเช่นนี้ แม้กระทั่งผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับก็ไม่ต่างอะไรไปจากคนเดินดินธรรมดา
“คุ้มค่าหรือ?” หลียางถามกลับเสียงนิ่ง ประโยคเดียวของนางคือประโยคประหารหลัวจ้านเป่ย!
พริบตาต่อมา อาภรณ์นางพลิ้วพัด ร่างของหญิงสาวพลันปรากฏผ่านหลัวจ้านเป่ยไปราวกับแสงดาวเย็นยะเยือกที่ตามมาด้วยเลือดสีทองเมื่อนางบั่นศีรษะคน
ฟู่!
เลือดสด ๆ พุ่งออกจากร่างไร้ชีวิตของหลัวเจิ้นเป่ย เซียนลึกลับอีกคนก็ต้องจบชีวิตลงด้วยเงื้อมือของหลียางเช่นนี้
“เจ้า…” น้ำเสียงอินปี้อวิ้นสั่นสะท้าน จนถึงตอนนี้นางยังไม่อาจทำลายกรงขังยันต์เทวะวิหคอมตะวายุออกมาได้เลย เมื่อได้เห็นการตายของหลัวเจิ้นเป่ยเช่นนี้แล้ว ความหวาดผวาในใจก็ยิ่งพุ่งสูง
“ข้าบอกแล้ว วันนี้ไม่มีใครรอดไปได้ทั้งนั้น” หลียางว่าด้วยน้ำเสียงและสีหน้าสงบ
“ข้าจะสู้สุดใจ…” อินปี้อวิ้นผมเผ้ายุ่งเหยิง ร้องเสียงดังขึ้น ทว่ายังไม่ทันจบประโยคทั้งร่างก็ถูกบดขยี้จนแหลกด้วยยันต์เทวะวิหคอมตะวายุจนแทบจำเค้าเดิมไม่ได้
“อยากลากข้าลงไปด้วยอย่างนั้นหรือ? ยังห่างชั้นกันเกินไป” หลียางส่ายหน้า
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้?” หลัวจื่อเซวียนร่างสะท้านด้วยความกลัวอยู่ในสนามรบ ร่างกายเขากระตุกไม่หยุด ล้มกองอยู่กับพื้นอย่างหมดพลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวแล้วไม่อยากเชื่อ
เดิมทีเขามาที่นี่ด้วยท่าทางดุดัน อีกนิดก็จับตัวเฉินซีมาได้ และคงชิงเอาเคล็ดวิชาบ่มเพาะจากชั้นสิบมาได้แล้วแท้ ๆ แต่เพราะหญิงสาวเพียงคนเดียวถึงได้พลิกสถานการณ์ได้เช่นนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับถึงสามต้องตายตกไปตามกัน ในขณะที่ชายชุดดำคนนั้นก็กลายเป็นคนต่างพิภพไปเสียได้ ความจริงเช่นนี้เขาไม่อาจยอมรับได้!
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้พบกับความตายอย่างกล้าหาญ” หลียางมองไปทางหลัวจื่อเซวียน น้ำเสียงนางไม่ได้มีเค้าข่มขู่แต่อย่างไร ทำให้ดูเหมือนว่ากำลังขอให้อีกฝ่ายทำการปลิดชีพตนเองเช่นนี้นับเป็นการมอบรางวัลสูงส่งให้ ท่าทางสง่างามของนางส่งผลให้เฉินซีชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
ตุบ!
หลัวจื่อเซวียนกลัวจนปัสสาวะราดกางเกง เขาคุกเข่าลงกับพื้นแล้วก้มกราบไม่หยุด “ได้โปรด…ได้โปรดปล่อยข้าไปด้วย… ข้าเป็นผู้สืบทอดตระกูลหลัว เพราะงั้น…”
ฉัวะ!
ตัวคนยังพูดไม่ทันจบประโยค ศีรษะก็ถูกบั่นเหมือนลูกแตงโม ก่อนที่ร่างจะล้มลงกับพื้น ตั้งแต่ต้นจนจบตัวเขายังไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดหญิงสาวตรงหน้าถึงโหดเหี้ยมได้เช่นนี้
เฉินซีไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนี้ผิดแปลกแต่ประการใด เพราะหากเป็นเขาคงไม่เสียเวลาแล้วลงมือสังหารหลัวจื่อเซวียนทันทีเช่นกัน แต่เมื่อเหลียงปิงและเถิงหลานเห็นภาพนี้ก็ถึงกับใจสะดุ้งทีเดียว
หากคิดดูให้ดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหลัวจื่อเซวียน หลัวจ้านเป่ย กู่จิ่วเจินหรืออินปี้อวิ้น ทั้งอำนาจและพละกำลังที่คนเหล่านี้มีก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขาสองคนเลย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหลียาง ทุกคนที่ว่ามากลับเหมือนจะถูกสังหารตอนไหนก็ได้ ท่าทีที่มองศัตรูเหมือนไม่มีค่าอะไรเช่นนั้นทำให้น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ตอนนี้พวกเขามั่นใจแล้วอย่างหนึ่งคือ อาหลีที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คิด!
ส่วนเหลียงปิงยิ่งตกตะลึงกว่าใคร เพราะนางรู้ดีว่าอาหลีมาจากเขาเทพพยากรณ์อันลึกลับ มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีฝีมือสะท้านฟ้าระดับนี้ได้
หญิงสาวผู้มีเบื้องหลังและมีฝีมือล้ำลึกเช่นนี้ย่อมไม่กลัวคำขู่จากสี่ตระกูลใหญ่อย่างแน่นอน
“เจ้าดูการแสดงไปแล้ว ยังไม่คิดจะเผยตัวตนที่แท้จริงอีกหรือ?” หลังลงมือสังหารหลัวจื่อเซวียนและคนอื่น ๆ ไปแล้ว หลียางทำท่าทีเหมือนเพิ่งทำเรื่องปกติธรรมดาไป อึดใจต่อมาสายตาก็ลากไปหยุดอยู่ที่ชายชุดดำนามมู่เจิง
“ฮ่า ๆ! เป็นการแสดงที่ไม่เลวเลย ก่อนหน้านี้กำลังคิดอยู่เลยว่าจะจัดการเขาอย่างไรดี ตอนนี้เจ้าลงมือให้แล้ว ได้เห็นพวกเจ้าฆ่ากันเองเช่นนี้ นับว่าแก้ปัญหาข้าได้มากทีเดียว” ชายชุดดำระเบิดหัวเราะลั่น มันเป็นน้ำเสียงที่แหบพร่าและฟังดูมืดมน “ส่วนเรื่องตัวตนของข้านั้น พวกเจ้าตายไปก็ได้เห็นเอง”
ว่าจบ กลิ่นอายดุดันพลันแปรเปลี่ยน ทั่วทั้งร่างของอีกฝ่ายมีแสงสีดำส่องประกายออกมาราวกับเป็นปราณปีศาจ แข็งแกร่งกว่าเดิมมากถึงสองเท่า!
“คิดว่าจะสามารถเอาชนะข้าที่นี่ได้อย่างนั้นหรือ?” หลียางยังคงท่าทีสงบนิ่งไว้แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “จุดประสงค์ในการมาเจดีย์ต้าเหยี่ยนของเจ้าคงเป็นการมาดูสถานการณ์จริงภายในเจดีย์ หากทำลายมันได้ก็คงสมประสงค์ แต่น่าเสียดายที่เจ้ามันก็เป็นเพียงพวกกบฏนอกพิภพ ไม่ได้เข้าใจอะไรในพิภพยันต์อักขระแท้ ๆ แต่กลับเสนอหน้าเข้ามาในพิภพยันต์อักขระได้ ต้องบอกว่ากล้าหาญคนชมเชยหรือเรียกว่าไม่ฉลาดดีเล่า?”
น้ำเสียงนางเผยแววรังเกียจเดียดฉันท์อยู่ในที
กบฏนอกพิภพ!
คนต่างพิภพ!
มันเป็นสองคำที่หลียางใช้แตกต่างกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เฉินซีสัมผัสได้เลือนรางว่าคงจะมีความแตกต่างกันอย่างแน่นอน!