บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 866 ดัชนีเทพพยากรณ์
บทที่ 866 ดัชนีเทพพยากรณ์
บทที่ 866 ดัชนีเทพพยากรณ์
ชายชุดดำเงยหน้ามองท้องนภาแล้วหัวเราะเสียงดัง “มันก็นานมาแล้วที่ไม่มีใครกล้ากล่าวเช่นนี้กับข้า นังหนู เจ้าช่างอาจหาญนัก ทำให้ในใจข้าอดรู้สึกเวทนาเล็กน้อยไม่ได้”
หลังจากกล่าวเช่นนั้น ทั่วทั้งร่างของเขาก็พลุ่งพล่าน ชุดคลุมสีดำสะบัดไปมา ราวกับเมฆครึ้มเคลื่อนไหวไปมา มีความเร็วหาใดเปรียบ ก่อนจะพุ่งจากไป
เป้าหมายของเขาไม่ใช่หลียาง แต่เป็นเฉินซี!
บางที อีกฝ่ายอาจจะเคยเห็นแล้วเช่นกันว่า หากเฉินซีถูกจับก็สามารถข่มขู่หลียางได้ และอย่างน้อยก็คงทำให้หญิงสาวรู้สึกราวกับถูกผูกมัด เพื่อให้สามารถฉวยโอกาสลงมือก่อนได้
โครม!
แสงสีดำเป็นดั่งเสียงคำรามของพายุกลางทะเล มันส่งเสียงอึกทึกครึกโครม กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาทั้งเย็นเยือก รุนแรง และกระหายโลหิต ราวกับแหล่งกำเนิดของความชั่วร้ายระหว่างสวรรค์และโลก ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวราวกับตกลงไปในหุบเหวมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด
ระหว่างทางจากเมืองนกนางแอ่นแดงไปหมู่บ้านจินซางก่อนหน้านี้ เฉินซีเคยถูกชายชุดดำส่งจิตสังหารอันน่าสะพรึงมาจากการเพียงแค่ชำเลืองมอง ทำให้ชายหนุ่มสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง ราวกับตกลงไปในหุบเหวสีดำ ซึ่งถึงแม้จะดิ้นรนขัดขืนไปก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด
ตอนนี้ ชายชุดดำได้ปลดปล่อยพลังบ่มเพาะออกมา ก่อนจะพุ่งเข้าหา กลิ่นอายอันน่าสะพรึงนั้นทำให้เฉินซีรู้สึกอึดอัดเสียจนหายใจไม่ออก ทุกรูขุมขนคล้ายถูกกระบี่แหลมคมเชือดเฉือน ขณะที่วิญญาณครึ่งหนึ่งราวกับถูกแช่แข็งและจองจำเอาไว้
“อย่าประเมินตัวเองสูงนักเลย!”
ยามนี้ เสียงตะโกนสายหนึ่งดังขึ้น ชุดของหลียางพลิ้วไหว ส่งปราณเซียนออกจากฝ่ามือผ่านปลายนิ้ว ราวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์กำลังส่องแสงร่วมกัน มันสาดส่องไปทั่วโลก กลบการโจมตีของชายชุดดำได้อย่างง่ายดาย
ในเวลาเดียวกันนั้น เส้นผมของนางพลิ้วสะบัด หญิงสาวคว้ามันจากไกล ๆ เรียกกระบี่สะบั้นเต๋าที่อยู่ข้างศพของหลัวจ้านเป่ยซึ่งถึงแก่ความตาย ก่อนลอยมาอยู่ตรงหน้า
วิ้ง!
หลียางสูดหายใจเข้าออก ขณะที่กระบี่สะบั้นเต๋าเกิดการเปลี่ยนแปลง กลายเป็นจุดแสงสว่างสีทองขนาดเล็ก ที่ลอยมายังบริเวณปลายนิ้วของหญิงสาว
ในชั่วพริบตานั้น แสงสว่าง กระแสอากาศ และฝุ่นธุลีในชั้นแปดของเจดีย์ต้าเหยี่ยนราวกับหายไป พวกมันล้วนมารวมตัวกันบริเวณปลายนิ้ว ขณะที่ทุกสิ่งโดยรอบคล้ายจะล่มสลาย พังทลาย และพร้อมจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ได้ทุกเมื่อ!
“นางถึงกับหลอมกระบี่สะบั้นเต๋า แล้วหลอมรวมเป็นพลังไว้ที่นิ้วของตัวเอง! นี่มันเคล็ดวิชาใดกัน?”
เหลียงปิงตกตะลึง ต้องทราบก่อนว่า กระบี่สะบั้นเต๋าคือสมบัติที่ตกทอดของตระกูลหลัวมานาน จึงไม่มีทางนำไปเทียบกับสมบัติอมตะทั่วไปได้ แต่หลียางกลับหลอมมันได้อย่างง่ายดาย เคล็ดวิชาเช่นนั้นแม้แต่ในภพเซียน ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถทำได้
“เจ้า! นี่…นี่คือดัชนีเทพพยากรณ์ เจ้าคือเขาคนนั้น!?” ชายชุดดำหน้าถอดสี ราวกับว่าเมื่อเห็นจุดแสงบริเวณปลายนิ้ว เขาก็ไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป!
ขณะพูด ตัวคนเคลื่อนไหวอย่างไม่ลังเล สิบนิ้วราวกับกำลังไขว่คว้าดวงดาว ส่งแสงสุริยันสีทมิฬพุ่งเข้าหาหลียาง แต่การโจมตีของเขายังไม่ทันสำแดงอำนาจ มันก็ถูกกลืนกินด้วยพลังที่มองไม่เห็น ราวกับวัวดินจมลงทะเล หายไปอย่างไร้สุ้มเสียง ซึ่งดูแล้วน่าแปลกประหลาดยิ่งนัก
หรือกล่าวอีกอย่างก็คือ แม้มู่เจิงคนนี้จะพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วก็ตาม แต่อย่าว่าจะทำให้หลียางบาดเจ็บเลย แค่แตะต้องร่างของนางยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ!
“ศิษย์น้อง นี่คือดัชนีเทพพยากรณ์ หนึ่งในเคล็ดวิชาที่อาจารย์ของพวกเราไม่เคยถ่ายทอดมาก่อน เมื่อเจ้ากลายเป็นเซียนสวรรค์ ย่อมสามารถสื่อสารกับสวรรค์และโลกได้ สามารถรวมมหายันต์เทวะทั้งห้า หลอมรวมธาตุทั้งห้าเข้าสู่ร่าง สั่งสมพลังแห่งการวิวัฒนาการนับไม่ถ้วนด้วยหนึ่งนิ้ว เพียงโจมตีครั้งเดียว แม้จะเป็นภูตผีหรือทวยเทพตนใดก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้!”
หลียางกล่าวอย่างแผ่วเบา เมื่อสิ้นคำพูดสุดท้าย แสงสว่างบนปลายนิ้วพลันส่องสว่างวาบ คล้ายพรากความเจิดจ้าของโลกไป และทันทีที่สิ้นเสียงวิ้ง การโจมตีก็พุ่งออกไป หมายสังหารตรงหว่างคิ้วของชายชุดดำทันที!
ในตอนนี้ ราวกับเวลา มิติ และความว่างเปล่าถูกแช่แข็ง ทำให้สรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบสงัดที่อธิบายไม่ได้ ดังคำกล่าวว่าถึงที่สุดแล้วต้องพลิกกลับ เมื่อแสงสว่างเจิดจ้า มันได้กลับคืนสู่ความสงบนิ่ง ทำให้สรรพสิ่งเงียบงัน!
“บัดซบ!”
ชายชุดดำตระหนักได้ในที่สุดว่ามันทรงพลังแค่ไหน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง เผยให้เห็นถึงความแตกตื่นหวาดกลัว ก่อนจะเงยหน้ามองท้องนภาแล้วแผดเสียงร้องยาว พยายามล่าถอยอย่างไม่ลังเล
โพละ!
ทว่าอึดใจต่อมา ศีรษะของเขาคล้ายถูกทะลวงด้วยการโจมตีตรงหว่างคิ้ว ทั้งร่างกระเด็นออก ก่อนกระแทกกับพื้นดังโพละ
“ด้วยดัชนีเทพพยากรณ์ จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จากพิภพของข้าเคยพลาดท่าให้กับการโจมตีนี้ แต่ข้าคาดไม่ถึงว่า จะมีวันที่ข้ามู่เจิงจะเดินตามรอยจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์…”
สิ้นเสียงพึมพำ ทั่วทั้งร่างของชายชุดดำพลันกลายเป็นเถ้าธุลีปลิวว่อน ถึงแก่ความตายอย่างสมบูรณ์
เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนรวมถึงเฉินซีต่างตกตะลึงกับพลังของดัชนีนี้ จนถึงขั้นหลั่งเหงื่อเย็นออกมา การโจมตีดังกล่าวน่าสะพรึงกลัวเกินไป!
“น่าเสียดาย ด้วยความสามารถของข้า จึงทำได้เพียงฆ่าคนผู้นี้ด้วยการสละสมบัติล้ำค่าหนึ่งชิ้น หากศิษย์พี่สามใช้มัน พลังดัชนีย่อมห่างชั้น สามารถทำลายโลกหล้าด้วยหนึ่งดีดนิ้วได้อย่างง่ายดาย” หลียางส่ายหน้า ราวกับไม่พอใจต่อผลลัพธ์ของมัน
แต่ยามคำพูดเหล่านี้ลอยถึงหูเหลียงปิงและเถิงหลาน พวกเขาถึงกับพูดไม่ออก ไม่ทราบได้ว่าจะบรรยายความรู้สึกอย่างไร
…
ตอนนี้ ทุกคนที่ติดตามหลัวจื่อเซวียนไปเจดีย์ต้าเหยี่ยนต่างล่วงลับ รวมถึงยอดฝีมือระดับเซียนลึกล้ำสามคน คนต่างพิภพหนึ่งคน สามตระกูลใหญ่อย่างตระกูลกู่ ตระกูลอิน และตระกูลหลัวในพิภพยันต์อักขระกับกลุ่มคุณหนูคุณชายจากภพเซียนก็ด้วย
แน่นอนว่า คนอย่างหนานซิ่วชง เหวินเหรินเยี่ย และคนอื่นยังไม่ถึงแก่ความตาย เศษเสี้ยววิญญาณยังคงอยู่ในภพเซียน แต่ต่อให้ฟื้นคืนกลับมาได้ ความแข็งแกร่งของพวกเขาย่อมไม่ได้ดีเหมือนดังเดิม ต้องบ่มเพาะใหม่ ซึ่งสำหรับผู้บ่มเพาะบางคนแล้ว สิ่งนี้ทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็นเสียอีก!
ถึงอย่างไร ผู้บ่มเพาะต่างไล่ล่าวิถีสวรรค์ หรือก็คือหากวันหนึ่งการบ่มเพาะทั้งหมดที่ฝึกฝนอย่างลำบากต้องมาหายไป การสูญเสียที่ว่าย่อมยากจะประมาณผลลัพธ์ได้…
เพราะจากแต่ก่อนที่เคยกุมชะตาชีวิตผู้คนไว้ในกำมือ เคยได้รับความเคารพจากผู้อื่น เคยได้รับความมั่งคั่งเหลือคณานับ และได้รับการยกย่องให้เป็นตัวตนสูงส่ง มายามนี้…
การสูญเสียพลังบ่มเพาะทั้งหมดไป ย่อมหมายถึงสูญเสียทุกสิ่ง แล้วใครบ้างจะสามารถรับความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้?
หากเป็นผู้คนส่วนใหญ่ในโลกแห่งการบ่มเพาะ เมื่อพวกเขาสูญเสียการบ่มเพาะทั้งมวล และกลายเป็นคนธรรมดาไป คนพวกนั้นก็มักจะตายเสียก่อนที่จะหมดอายุขัยจริง ๆ เสียอีก เพราะพวกเขาไม่สามารถทนต่อความทรมานหลังจากสูญเสียพลังไปได้
ตอนที่รากฐานการบ่มเพาะของเฉินเทียนลี่ ผู้เป็นปู่ของเฉินซีเสียหาย …หากไม่ใช่เพราะมีเฉินซีและเฉินฮ่าวที่ต้องดูแล ชายชราก็คงจบชีวิตของตนเองไปนานแล้ว
“ศิษย์พี่ ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกล้ำอย่างหลัวจ้านเป่ยไม่น่าจะตายเช่นนี้ใช่หรือไม่?” พอเฉินซีคิดถึงพวกหนานซิ่วชง เขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ จึงเอ่ยถามขึ้นมา
สถานะของตัวตนขอบเขตเซียนลึกล้ำในภพเซียน ย่อมต้องสูงกว่าพวกลูกหลานคนในภพเซียนอย่างหนานซิ่วชงและเหวินเหรินเยี่ย จึงคงจะทิ้งเศษเสี้ยววิญญาณเอาไว้ เพื่อไม่ให้ตนเองล่วงลับอย่างสมบูรณ์
“เป็นไปไม่ได้ ศิษย์น้อง พวกเขาทำให้เจ้าขุ่นเคือง ข้าจึงไม่คิดปล่อยให้พวกเขามีชีวิตรอดไปได้” คิ้วและดวงตาของหลียางโค้งขึ้น เผยให้เห็นถึงเสน่ห์อันงดงาม
…เมื่อเผชิญหน้ากับเฉินซี นางมักมีพฤติกรรมเช่นนี้ ชอบที่จะหยอกล้อเขาอยู่เสมอ
เฉินซีเดาะลิ้นแล้วถามว่า “เกรงว่าเรื่องนี้จะทำได้ยากใช่หรือไม่?”
ในความเห็นของชายหนุ่ม เมื่อวิญญาณของเซียนลึกล้ำเหล่านี้เข้าสู่ภพเซียน พวกเขาย่อมฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ศิษย์พี่หลียางกลับบอกว่าพวกเขาตายอย่างสมบูรณ์แล้ว …เช่นนี้มันก็ย่อมหมายความว่าเคล็ดวิชานี้ทรงอำนาจยิ่ง!
“ในไม่ช้า เจ้าก็จะสามารถทำได้เช่นกัน” หลียางยิ้มแล้วกล่าวออกมา สายตาของนางใสกระจ่างราวกับน้ำ
“อาหลี ครั้งนี้ขอบคุณมากนะ” ตอนนี้ เหลียงปิงกับเถิงหลานเดินมาถึงแล้ว คนทั้งสองก้มศีรษะแล้วกล่าวเช่นนั้นออกมา ท่าทีจริงจังยิ่ง จนถึงขั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของความยำเกรง
ในตอนนี้ คนทั้งสองไม่กล้าปฏิบัติกับหลียางในฐานะอาหลีที่พวกเขารู้จักก่อนหน้านี้อีกต่อไป
“ด้วยความยินดี ขอเพียงพวกเจ้าไม่วางแผนทำอะไรกับข้าในอนาคตก็พอ” หลียางดูเฉยชา ขณะชำเลืองมองเหลียงปิง
สีหน้านี้ทำให้เหลียงปิงเขินอาย รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ซึ่งการที่ท่าทีเช่นนี้ปรากฏขึ้นกับหญิงสาวผู้งดงามทว่าเย็นเยือกดุจน้ำแข็ง นับว่าหาได้ยากนัก!
แน่นอนว่านางเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร เหตุผลที่ทำไมนางถึงฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฉินซี ระหว่างการเดินทางมาเจดีย์ต้าเหยี่ยนในครั้งนี้ ก็เพราะนางคิดที่จะพึ่งพลังของหลียางอย่างลับ ๆ เช่นกัน
เพราะถึงอย่างไร พลังของพวกหลัวจื่อเซวียนก็มีมากกว่า และคงเป็นการยากยิ่งที่นางกับเถิงหลานจะจัดการกับอีกฝ่ายได้ พวกเขาจึงทำได้เพียงเดิมพันทุกสิ่งกับเฉินซีในกรณีที่หมดหนทาง เพราะมันอาจทำให้พวกเขาได้รับโอกาสอีกครั้งก็ได้
หาไม่แล้ว ด้วยความภาคภูมิใจในฐานะเซียนลึกล้ำ นางย่อมไม่ให้ความสำคัญกับเฉินซี และอาจถึงขั้นส่งเถิงหลานไปติดตามอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลาด้วยซ้ำ
โชคดีที่นางเดิมพันถูกข้าง การปรากฏตัวของหลียางในช่วงสำคัญ ทำให้ผู้แพ้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสใกล้ตายอย่างนาง กลายเป็นผู้ชนะตอนท้ายในอึดใจเดียว
แต่หลังจากเป็นสักขีพยานต่อพลังของหลียางด้วยตาตัวเอง เหลียงปิงจึงมั่นใจว่าเป็นเพราะเฉินซี ที่ทำให้หลียางไม่กล่าวโทษ หาไม่แล้วนางคงไม่มั่นใจว่าตนเองจะถูกลงโทษด้วยหรือไม่
“ข้าสัญญาว่าจะไม่มีครั้งที่สองอย่างแน่นอน” เหลียงปิงสูดหายใจเข้า พลางกล่าวออกมาอย่างจริงจัง
เฉินซีมองดูทุกอย่างจากทางด้านข้าง เขาคาดเดาจากสิ่งที่เห็นได้ราง ๆ ขณะที่ในใจอดรู้สึกถึงบางอย่างไม่ได้ ไม่มีความเกลียดชังโดยเปล่าประโยชน์บนโลกใบนี้ อีกทั้งยังไม่มีความรักโดยเปล่าประโยชน์เช่นกัน
แน่นอน เขาไม่ได้รู้สึกไม่ดีต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะถึงอย่างไร นางกับเถิงหลานก็ช่วยเขาไว้มากในพิภพยันต์อักขระ เมื่อเทียบกันแล้ว เขาควรเป็นฝ่ายขอบคุณด้วยซ้ำ
“ไปกันเถอะ เจดีย์ต้าเหยี่ยนจะปิดอีกครั้ง ออกจากที่นี่กันก่อนดีกว่า” หลียางเอื้อมมือไปคว้ามือของเฉินซี นางเงยหน้าขึ้นมองเหลียงปิง แล้วกล่าวว่า “หากเจ้าอยากได้เคล็ดวิชาบนชั้นสิบ ก็จงมากับข้า”
หลังจากกล่าวเช่นนั้น แสงดารากระจ่างพลันสาดส่องไปทั่วทั้งร่างกาย นำพาเฉินซีหายไปในชั่วพริบตา
“ลุงหลาน พวกเราไปกันเถอะ” เหลียงปิงหันศีรษะ ชำเลืองมองเถิงหลาน
“รอเดี๋ยวก่อน คุณหนูใหญ่ อาหลีสามารถใช้ยันต์เทวะอสนีบาตทมิฬ ยันต์เทวะวิหคอมตะวายุ ยันต์เทวะวิญญาณอสูร ท่านคิดว่านางจะสามารถใช้ยันต์เทวะจักรพรรดิตะวันออกได้หรือไม่?” เถิงหลานพลันถามขึ้น
“เรื่องนี้… อาจจะเป็นไปได้มาก” เหลียงปิงลังเลสักพักก่อนตอบออกมา
“ข้าจึงสงสัยว่า อาหลีอาจมีหลายสิ่งข้องเกี่ยวกับพิภพแห่งนี้ และนั่นย่อมหมายความว่า เขาเทพพยากรณ์อาจมีความเชื่อมโยงบางอย่างกับพิภพยันต์อักขระของเรา”
เถิงหลานกล่าวต่อ “เขาเทพพยากรณ์คือหนึ่งในนิกายอันลึกลับที่สุดในสามภพ หากสามารถสานสัมพันธ์ได้ ต่อให้คุณหนูใหญ่กลับภพเซียนไป พวกเราก็อาจจะสามารยืนหยัด และปกครองที่แห่งนี้ได้อย่างภาคภูมิตลอดกาล”
เหลียงปิงตกตะลึง ดวงตาทอประกายเจิดจ้า เห็นได้ชัดว่าคิดอันใดออก แต่แล้วหญิงสาวกลับส่ายหน้าทันที และกล่าวว่า “ช่างเถอะ อย่าคาดหวังให้มากเลย เมื่อครู่เจ้าก็เห็นแล้ว อาหลีไม่ได้ให้ความสนใจสี่ตระกูลใหญ่แม้แต่นิดเดียว ต่อให้สานสัมพันธ์ไป พวกเราก็อาจไม่ได้สำคัญเท่ากับหนึ่งในหมื่นของเฉินซีในสายตาอีกฝ่ายก็เป็นได้”
ในน้ำเสียงแฝงด้วยความอิจฉาเล็กน้อย เพราะการที่มีศิษย์พี่มากฝีมือเช่นนั้น บนโลกกว้างใหญ่ใบนี้ มีที่ไหนบ้างที่ไม่อาจไปได้?