บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 867 การต่อสู้ของเต๋า
บทที่ 867 การต่อสู้ของเต๋า
บทที่ 867 การต่อสู้ของเต๋า
หลังจากที่เหลียงปิงกับเถิงหลานจากไปไม่นาน ท่ามกลางเสียงที่กึกก้อง เจดีย์ต้าเหยี่ยนที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายในนครหลวงสี่จักรพรรดิมาหลายปีก็ได้ปิดตัวลงอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน ผู้บ่มเพาะทั้งหมดภายในเจดีย์ก็ถูกเคลื่อนย้ายออกจากเจดีย์ด้วยพลังที่ไร้รูปร่างทันที
ทุกคนต่างตกตะลึง นี่ไม่เร็วไปหน่อยหรือ!? เพราะเวลาเพิ่งผ่านไปได้ไม่นานเอง!
“หรือว่ามีคนได้เคล็ดวิชาบ่มเพาะลึกลับบนชั้นที่สิบไปแล้ว?” มีคนกล่าวด้วยความสงสัย
“น่าจะ… ไม่ใช่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ แต่ช่วงเวลาที่เจดีย์ต้าเหยี่ยนเปิดครั้งนี้สั้นเกินไปจริง ๆ”
“พวกเจ้าทุกคนคิดว่าผู้ที่ได้รับเคล็ดวิชาบ่มเพาะลึกลับนั้นเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ของสี่ตระกูลใหญ่หรือไม่?”
“แน่นอน!”
“ว่าแต่พวกเขาอยู่ที่ใดกัน? เหตุใดจึงยังไม่มีใครออกมาจนถึงตอนนี้?”
ฝูงชนกล่าวคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา ขณะที่พวกเขารวมตัวกันอยู่บริเวณโดยรอบของเจดีย์ เพราะต้องการยืนยันว่าผู้โชคดีคนใดที่ได้รับเคล็ดวิชาบ่มเพาะลึกลับบนชั้นที่สิบในครั้งนี้ไป
น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้ข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จนกระทั่งม่านแห่งราตรีมาถึง และไม่อาจทำสิ่งใดได้ ทุกคนจึงได้แต่ทยอยแยกย้ายกันไปพร้อมกับความสงสัยที่อยู่ในใจ
เพียงเท่านี้ ม่านของการเดินทางสู่เจดีย์ต้าเหยี่ยนที่เกิดขึ้นทุก ๆ สามพันปีก็ถูกรูดปิดลง
แม้ว่าผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่จะไม่สามารถบรรลุความปรารถนาที่จะก้าวขึ้นสู่ชั้นที่สิบได้ แต่พวกเขาก็ได้รับสมบัติล้ำค่าที่ต้องการจากดวงแสงหมื่นสรรพสิ่ง ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้จึงไม่เสียเปล่า
ในคืนนั้น ณ ลานเล็ก ๆ ที่เงียบสงบและงดงามในนครหลวงสี่จักรพรรดิ…
เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าในพิภพยันต์อักขระ ก็เห็นดวงดาวที่มีขนาดเท่ากำปั้นนับไม่ถ้วนส่องแสงระยิบระยับ ซึ่งเปี่ยมล้นด้วยความกระจ่างใส อีกทั้งพวกมันยังส่องประกายที่ดูเหมือนลึกซึ้งและลึกล้ำออกมา
หลียางนั่งบนเก้าอี้หวายที่ทำจากไม้โบราณ ในขณะที่มือของนางยกคางขาวหยกขึ้น หญิงสาวยิ้มขณะมองไปทางเฉินซี ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารอันโอชะในระยะไกล ใบหน้าที่งดงามของนางเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
ในตอนนี้ นางเป็นเหมือนหญิงสาวที่อิสระและมีชีวิตชีวา ฉากที่นางอาบน้ำท่ามกลางม่านแห่งราตรีที่มีแสงดาวส่องลงมาก็งดงามยิ่ง มันงดงามเสียจนคนอื่น ๆ ไม่อาจละสายตา
ในเวลาไม่นาน กลิ่นหอมที่เย้ายวนพลันฟุ้งกระจายในอากาศ และมันก็กระตุ้นความอยากอาหาร
เฉินซีวางจานอาหารที่ปรุงอย่างพิถีพิถันหลายจานลงบนโต๊ะอย่างตื่นเต้น จากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิตรงหน้าหลียางและช่วยนางรินสุราเซียนหนึ่งจอก ก่อนจะส่งตะเกียบคู่หนึ่ง พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงที่มีร่องรอยของความคาดหวังว่า “ศิษย์พี่ ลองชิมดูสิขอรับ”
หลียางยิ้มและเผยให้เห็นฟันที่ขาวราวหิมะ นางงดงามและดูน่ามหัศจรรย์ ขณะที่พยักหน้าพลางกล่าวว่า “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ศิษย์น้องเล็กเตรียมอาหารอันโอชะให้ข้า ข้าย่อมรู้สึกปลาบปลื้มจากความโปรดปรานที่คาดไม่ถึงนี้อยู่แล้ว”
เฉินซีรินสุราให้ตัวเองหนึ่งจอก ก่อนจะยกจอกสุราขึ้นและกล่าวว่า “ข้าไม่รู้จะตอบแทนศิษย์พี่เช่นไรดี ดังนั้นข้าจึงทำได้เพียงแสดงน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ข้าจะดื่มสุราจอกนี้เพื่อเป็นการแสดงความเคารพแก่ท่าน”
ทันทีที่กล่าวจบ เฉินซีก็ดื่มสุราในจอกจนหมดเกลี้ยง
หลียางเม้มริมฝีปากสีแดงสดของนาง ก่อนจะดื่มสุราในจอกจนหมด จากนั้นหญิงสาวก็ลิ้มรสอาหารทั้งหมดบนโต๊ะที่ดึงดูดสายตาอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่นางจะถอนหายใจด้วยความพึงพอใจออกมา “ถ้าข้าสามารถผ่อนคลายได้ทุกวันเช่นนี้ ข้าก็ยินดีที่จะไม่กลับไปยังเขาเทพพยากรณ์”
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “ศิษย์พี่ หากท่านเหนื่อยล้านัก ก็ปล่อยตัวเองให้ได้พักบ้าง อย่าได้ฝืนตัวเองมากเกินไป”
หลียางวางตะเกียบลง และลูบคิ้วของนาง ก่อนที่จะกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าไม่เข้าใจหรอก ไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้า พระพุทธเจ้า หรือมหาเทพเต๋า ทุกคนในสามภพต่างปรารถนาที่จะคว้าโอกาสยามเกิดกลียุค เพื่อแสวงหาร่องรอยของโชคล้ำค่า …การต่อสู้ในระดับนี้ไม่อาจประมาทเลินเล่อแม้แต่น้อย น่าเสียดายที่ท่านอาจารย์ยังไม่กลับมา มิฉะนั้น…”
ขณะที่กล่าว ตัวนางพลันตกอยู่ในความเงียบ ดูเหมือนหญิงสาวกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
เฉินซีไม่รบกวนนางอีก เพียงนั่งอยู่เงียบ ๆ เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหลียาง และเนื่องจากการบ่มเพาะของพวกเขาแตกต่างกันเกินไป ชายหนุ่มจึงไม่สามารถทำอันใดได้
แน่นอนว่าเขาอยากรู้อยากเห็น แต่ชายหนุ่มก็ต้องอดกลั้นที่จะเอ่ยถาม เพราะตัวเขาเองก็มีปัญหามากพอแล้ว ดังนั้นหากไปให้ความสนใจกับสิ่งที่ไม่สามารถรับมือได้เหล่านี้ มันก็เห็นได้ชัดว่าตัวเขากำลังหาเรื่องใส่ตัวโดยไม่จำเป็น!
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลียางก็กลับมามีสติอีกครั้ง นางยิ้มอย่างขออภัยและกล่าวว่า “อภัยให้ข้าด้วย ศิษย์น้องเล็ก”
เฉินซียิ้ม ก่อนจะรินสุราให้แก่นาง จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ศิษย์พี่ แม้ว่าการบ่มเพาะของข้าจะตื้นเขิน แต่ข้าก็เข้าใจสิ่งหนึ่ง การบ่มเพาะคือการก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญและสังหารอย่างเด็ดขาด ยิ่งกว่านั้น ในระหว่างขั้นตอนนี้ ข้าต้องเข้าใจเต๋าแห่งสวรรค์และซื่อสัตย์ต่อหัวใจของข้า นั่นคือทั้งหมดที่จำเป็น”
ดวงตาของหลียางกลายเป็นเส้นโค้ง ขณะที่นางเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และมีเสน่ห์พร้อมกับกล่าวว่า “ถูกต้อง เฉกเช่นลาหัวโล้นของนิกายพุทธที่กล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากใจว่างเปล่า จิตใจจะมัวหมองได้อย่างไร? ฮ่า ๆ อย่าได้กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้เลย มันหายากที่ข้าจะได้เป็นอิสระ ดังนั้นเราสองคนควรดื่มให้กันและกัน ดื่มจนสาแก่ใจ!”
เฉินซีระเบิดเสียงหัวเราะ “ในเมื่อศิษย์พี่อารมณ์ดี เช่นนั้นศิษย์น้องคนนี้ก็จะร่วมดื่มกับท่านไปจนจบอย่างแน่นอน”
สายลมยามค่ำคืนพัดโชยมาอย่างแผ่วเบา แสงดาวพร่างพราย ภายในลานบ้านที่เงียบสงบ ศิษย์น้องและศิษย์พี่คู่นี้ได้พบกันในช่วงเวลาที่หาได้ยาก และพวกเขาต่างร่ำสุราจนเปี่ยมล้นด้วยความสุข
ทั้งคู่ต่างละเว้นที่จะไม่กล่าวถึงปัญหาใด ๆ ก็ตามไปโดยปริยาย
หลียางให้คำแนะนำแก่เฉินซีมากมาย เช่น วิธีหลีกเลี่ยงการตรวจจับของเต๋าสวรรค์ด้วยธรรมเทพไร้ขอบเขต วิธีบรรลุขอบเซียนปฐพีอย่างราบรื่น วิธีการใช้ยันต์เทวะจักรพรรดิตะวันออก ยันต์เทวะอสนีบาตทมิฬ ยันต์เทวะวิหคอมตะวายุ ยันต์เทวะวิญญาณอสูร และเคล็ดวิชาดัชนีเทพพยากรณ์
เฉินซีรับฟังจนจิตใจของเขาสั่นไหว ในขณะที่ห้วงความคิดของชายหนุ่มขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เขามักจะขอคำแนะนำด้วยเสียงทุ้มต่ำ และหลังจากที่หลียางอธิบาย ชายหนุ่มก็จะรู้แจ้งทันที
ในระหว่างขั้นตอนทั้งหมดนี้ ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจว่ายันต์เทวะทั้งสี่ที่เขาเพิ่งเรียนรู้นั้น แท้จริงแล้วเป็นวิชามรดกส่วนหนึ่งของเขาเทพพยากรณ์ และเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งนิกายฝูซีได้ถ่ายทอดให้แก่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่เพื่อสร้างพิภพยันต์อักขระ
เป็นเพราะเหตุนี้ ยันต์เทวะทั้งสี่นี้จึงกลายเป็นมรดกของตระกูลเหลียง ตระกูลกู่ ตระกูลอิน และตระกูลหลัว
ตามที่หลียางกล่าว จักรพรรดิตะวันออกไท่เจิน จักรพรรดิแห่งความมืดหยวนสวิน ราชินีวิหคอมตะอินเกอ และบรรพบุรุษอสูรหลัวซาง ไม่ใช่ศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์ และพวกเขาถือได้ว่าเป็นบริวารเต๋าที่คอยติดตามอยู่ด้านหลังของฝูซี
บริวารเต๋าเป็นคำโบราณที่แพร่หลายอย่างมากในยุคบรรพกาล ในเวลานั้น มีนิกายมากมายดุจต้นไม้ในป่า ในขณะที่มีผู้ยิ่งใหญ่มากมายในโลก และนอกจากศิษย์สายตรงของพวกเขาแล้ว ยังมีผู้ชื่นชมมากมายที่ติดตามไปด้วย
คนเหล่านี้ไม่มีสถานะเป็นศิษย์ แต่พวกเขาเต็มใจที่จะติดตามอยู่ด้านข้างของผู้ยิ่งใหญ่ และพวกเขามีคุณสมบัติที่จะยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อฟังผู้ยิ่งใหญ่สั่งสอนเกี่ยวกับเต๋า แต่พวกเขาไม่อาจได้รับคำชี้แนะจากผู้ยิ่งใหญ่เป็นการส่วนตัวได้
คนเหล่านี้เรียกว่าบริวารเต๋า
สิ่งนี้นอกจากจะทำให้เฉินซีประหลาดใจแล้ว ชายหนุ่มยังอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เนื่องจากนิกายของเขาน่าเกรงขามเพียงใด ผู้ยิ่งใหญ่เช่นจักรพรรดิตะวันออกไท่เจินที่สร้างพิภพยันต์อักขระนั้น แท้จริงแล้วกลับเป็นเพียงบริวารเต๋าที่อยู่เคียงข้างฝูซีเท่านั้น! …แล้วจะไม่ให้ชายหนุ่มตกตะลึงได้อย่างไร?
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีเข้าใจในที่สุดว่า ทำไมสีหน้ากับวาจาของหลียางจึงสุขมและดูแคลน เมื่อเผชิญหน้ากับหลัวจื่อเซวียนและคนอื่น ๆ …ที่แท้เป็นเพราะสถานะของพวกเขาที่ห่างกันคนละโยชน์!
ด้านหนึ่งเป็นศิษย์สายตรงของเขาเทพพยากรณ์ ในขณะที่อีกด้านหนึ่งเป็นลูกหลานของบริวารเต๋าที่คอยติดตามอยู่ที่ด้านข้างของฝูซี ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งเขาเทพพยากรณ์ ทั้งสองไม่สามารถเทียบกันได้เลย
แน่นอนว่ามีคนน้อยมากที่รู้เรื่องนี้ และแม้แต่ผู้สืบทอดตระกูลอย่างเหลียงปิงก็ไม่อาจล่วงรู้ความลับดังกล่าวได้
หากไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ ไม่ว่าจะกล้าหาญเพียงใด หลัวจื่อเซวียนก็ไม่กล้าอวดดีต่อหน้าหลียางแม้แต่น้อย
หลังจากที่เขาดื่มจนสาแก่ใจแล้ว จู่ ๆ เฉินซีก็นึกถึงบางอย่างออก และเอ่ยถามออกไปว่า “ศิษย์พี่ เป็นไปได้หรือไม่ว่า มีบางสิ่งที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ ถึงความแตกต่างระหว่าง ‘คนต่างพิภพ’ กับ ‘กบฏนอกพิภพ’”
หลียางกล่าวอย่างสบาย ๆ ว่า “ตัวตนที่ผู้คนในภพทั้งสามมองว่าเป็นกบฏนอกพิภพ ก็คือพวกกบฏที่ถูกเนรเทศออกจากสามภพเมื่อหลายปีก่อน ตัวอย่างเช่น จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เสวียนเฉินที่เจ้าพบในเหวเงาทมิฬ และจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ชื่อเยียนที่ถูกผนึกไว้ในนรกขุมที่เก้า พวกเขาล้วนเคยเป็นส่วนหนึ่งของทั้งสามภพมาก่อน”
เฉินซีสร่างเมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”
หลียางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนนางจะกล่าวออกมาอย่างเรียบง่าย แต่ก็น่าตกใจว่า “ไม่มีสิ่งใดอื่น นอกจากการต่อสู้ของเต๋า ผู้แพ้เป็นฝ่ายผิดเสมอ และในที่สุดพวกเขาก็ถูกถือว่าเป็นกบฏโดยเต๋าสวรรค์ของภพทั้งสามในที่สุด”
“การต่อสู้ของเต๋า?”
เฉินซีเข้าใจบางสิ่งอย่างคลุมเครือ แต่เมื่อเขาคิดอย่างรอบคอบแล้ว การต่อสู้ดังกล่าวมีความหมายมากเกินไป และชายหนุ่มไม่สามารถเข้าใจมันได้อย่างเต็มที่ด้วยความรู้ในปัจจุบัน
เขาทำได้เพียงแค่คิดว่ามันคงเหมือนกับนิกายเซียนและนิกายอสูรที่เป็นเหมือนน้ำกับไฟ ซึ่งพวกเขาจะไม่หยุดต่อสู้จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะพินาศ และพวกเขาก็มีท่าทีไม่เป็นมิตรมาตั้งแต่สมัยโบราณ
แต่การต่อสู้เต๋าอย่างที่หลียางกล่าวถึงนั้น เป็นความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับทั้งสามภพ ซึ่งความขัดแย้งในระดับนั้นไม่ง่ายเลย เช่นการต่อสู้ระหว่างนิกายเซียนและนิกายอสูรที่เขานึกถึง
“ส่วนพวกเผ่าพันธุ์ต่างพิภพที่แท้จริง คือสิ่งมีชีวิตที่ท่องไปในดินแดนนอกภพทั้งสาม ตอนที่ภพทั้งสามเพิ่งถือกำเนิดขึ้น สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เหมือนกับสัตว์อสูรจักรวาลที่เจ้าเคยเห็น แต่พวกมันมีสติปัญญา”
หลียางดูจะไม่เต็มใจที่จะกล่าวถึงเผ่าพันธุ์ต่างพิภพอีก ก่อนที่นางจะเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ศิษย์น้องเล็ก ข้าจะออกเดินทางแต่เช้าตรู่ในวันพรุ่งนี้ ในขณะที่เหลียงปิงจะส่งเจ้ากลับแดนภวังค์ทมิฬด้วยตัวเอง เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าเพียงแค่ต้องถ่ายทอดธรรมเทพไร้ขอบเขตให้แก่นาง”
เฉินซีตกตะลึง “นี่คือเงื่อนไขการแลกเปลี่ยนหรือ?”
หลียางหัวเราะเบา ๆ ขณะที่นางส่ายหัว “ไม่ใช่ พิภพยันต์อักขระถูกสร้างขึ้นที่สนามรบแนวหน้าของทั้งสามภพ และหากต้องการให้มันดำรงอยู่ต่อไป ก็ต้องใช้ความแข็งแกร่งที่ทรงพลังอย่างยิ่งเพื่อรักษาไว้ เหลียงปิงนั้นเหมาะสมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ตราบใดที่นางเข้าใจธรรมเทพไร้ขอบเขต นางจะสามารถใช้พลังของเจดีย์ต้าเหยี่ยน เพื่อควบคุมพิภพยันต์อักขระได้อย่างไร้ที่ติ”
ทันใดนั้นเฉินซีก็เข้าใจว่า เหตุใดหลัวจื่อเซวียนและคนอื่น ๆ ถึงให้ความสำคัญกับธรรมเทพไร้ขอบเขต ปรากฏว่ามันเกี่ยวข้องกับการต่อสู้เพื่อควบคุมพิภพยันต์อักขระนั่นเอง!
เมื่อการสนทนาดำเนินมาถึงจุดนี้ สนธยาได้เลือนหายไป ในขณะที่รุ่งอรุณได้มาถึง และมันก็เป็นช่วงเวลาก่อนรุ่งสาง
หลียางยืนขึ้น ในขณะที่ดวงตาสดใสของนางจ้องมองไปทางเฉินซี จากนั้นจึงกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก ตั้งแต่ตอนที่เจ้าได้รับชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ชะตากรรมของเจ้าก็ถูกปกปิดโดยชะตาสวรรค์ เดิมทีข้าไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ของเจ้า แต่ภพทั้งสามกำลังจะเกิดกลียุค ดังนั้นข้าจึงทำได้เพียงตัดสินใจอย่างไม่ฉลาดและส่งเจ้าไปที่พิภพยันต์อักขระ ในอนาคตเจ้าต้องถนอมตัวให้ดี และอย่าฝากความหวังไว้กับคนอื่น!”
เฉินซีเองก็ลุกขึ้นยืนเช่นกันและพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ศิษย์พี่อย่าได้กังวล ตอนที่ข้าเพิ่งเริ่มบ่มเพาะเมื่อหลายปีก่อน ผู้อาวุโสจี้อวี๋เคยเตือนข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ และข้าก็จำมันไว้ในใจเสมอ”
“อาจารย์ลุงจี้อวี๋…” หลียางตกตะลึง จากนั้นนางจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ประเสริฐมาก”
ขณะที่นางกล่าว หญิงสาวพลันหันกลับไปมองภายในลานบ้าน และกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เหลียงปิง อย่าได้เสียเวลา พาศิษย์น้องเล็กของข้าไปได้แล้ว และข้าหวังว่าเจ้าจะจำสิ่งที่ข้ากล่าวได้”
เฉินซีหันกลับมาและเห็นว่าเหลียงปิงได้เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เย็นชาอย่างเช่นเคย แต่เมื่อนางเผชิญหน้ากับหลียาง คิ้วของเจ้าตัวกลับแสดงความกลัวที่ไม่สามารถควบคุมได้ออกมา
ทว่านางก็ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น
ทันใดนั้น หลียางก็โน้มตัวไปที่ข้างหูของเฉินซี กล่าวด้วยเสียงอันไพเราะ พร้อมกับหัวเราะคิกคักเบา ๆ ว่า “ยังจำสิ่งที่ข้าบอกเจ้าตอนที่เจ้าเพิ่งมาถึงพิภพยันต์อักขระได้หรือไม่? ข้าจะให้ทุกอย่างที่เจ้าต้องการ หากเจ้าสามารถกุมหัวใจนางได้”