บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 868 จินตนาการจนเตลิด
บทที่ 868 จินตนาการจนเตลิด
บทที่ 868 จินตนาการจนเตลิด
ฟิ้ว!
ลำแสงสีเงินส่องประกายระยิบระยับพุ่งผ่านท้องฟ้า ในชั่วพริบตาต่อมา มันได้พุ่งเข้าสู่จักรวาลที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันไร้ขอบเขตและหายวับไป
เหลียงปิงบังคับกระสวยสีเงิน พร้อมกับตรวจสอบแผนที่ดวงดาวในมือ จากนั้นนางก็มุ่งไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง โดยจุดหมายคือการพาเฉินซีกลับไปยังแดนภวังค์ทมิฬ
แผนที่ดวงดาวถือเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก เพราะมันระบุเส้นทางระหว่างโลกทั้งสามพันแห่งที่อยู่บนท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาวในจักรวาลทั้งหมด ดังนั้นมูลค่าของมันจึงน่าทึ่งอย่างยิ่ง และนับเป็นสมบัติที่ประเมินค่ามิได้
…แม้แต่ในภพเซียน คนทั่วไปก็ไม่สามารถครอบครองได้ และแม้ว่าพวกเขาจะสามารถครอบครอง แต่มันมักจะระบุเส้นทางที่นำไปสู่ภพไม่กี่แห่ง ซึ่งไม่สมบูรณ์อย่างยิ่ง
ในทางกลับกัน แผนที่ดวงดาวที่หลียางให้กับเหลียงปิงนั้นเป็นแผนที่ดวงดาวฉบับสมบูรณ์ มันไม่เพียงระบุเส้นทางไปยังโลกทั้งสามพันแห่งเท่านั้น แต่ยังระบุเส้นทางไปยังมิติหรือพื้นที่ลึกลับอันแปลกประหลาดและหายากอีกด้วย ซึ่งพื้นที่เหล่านั้นเป็นสถานที่ที่ผู้คนในภพเซียนไม่ค่อยก้าวเข้าไป
จากการคาดคะเนของเหลียงปิง เพียงแค่มูลค่าของแผนที่ดวงดาวชิ้นนี้ที่นางครอบครองอยู่ ก็สามารถทำให้เหล่าเซียนมากมายคลุ้มคลั่งได้แล้ว!
ถึงอย่างไร การสามารถครอบครองแผนที่ดวงดาวเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าบุคคลนั้นครอบครองเส้นทางไปยังพื้นที่มากมายที่สามารถสำรวจได้ และความมั่นคั่งมหาศาลที่สามารถขุดค้นนี้คือสิ่งล่อใจซึ่งไร้ที่เปรียบสำหรับเหล่าเซียนแห่งกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ
แน่นอนว่ามีเพียงตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์หรือสูงกว่าเท่านั้น ที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในจักรวาล และผู้บ่มเพาะธรรมดาไม่สามารถบรรลุสิ่งนี้ได้อย่างสิ้นเชิง
“อาหลี… มอบสิ่งล้ำค่านี้ให้แก่ข้าอย่างง่ายดายเลยหรือ?”
เมื่อนางนึกถึงท่าทางที่ไม่แยแสของหลียาง ยามที่หญิงสาวโยนแผนที่ดวงดาวนี้ให้อย่างไม่ใส่ใจ เหลียงปิงก็อดไม่ได้ที่จะมึนงงเล็กน้อยและรู้สึกเหลือเชื่อ
นางมั่นใจมากว่า หากตนกลับไปที่ตระกูลเหลียงในภพเซียน แค่มีแผนที่ดวงดาวนี้อยู่ในมือ ก็สามารถทำให้ตนเองได้รับการสนับสนุนมากมายอย่างง่ายดาย แม้ว่าผู้อาวุโสเหล่านั้นจะไม่อาจทนเห็นนางได้อยู่เสมอ แต่พวกเขาก็ยังต้องปิดปากอย่างเชื่อฟัง ด้วยวิธีนี้ ตนจะก้าวเดินสู่หนทางการกุมอำนาจสูงสุดในตระกูลของนาง!
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เหลียงปิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน พร้อมทั้งมองไปยังเฉินซีด้วยความอิจฉาและกล่าวในใจว่า ‘ข้าไม่รู้ว่าชายคนนี้เข้าร่วมเขาเทพพยากรณ์ได้อย่างไร วาสนานี้ช่างท้าทายสวรรค์เสียจริง…’
เมื่อสังเกตเห็นการจ้องมองของเหลียงปิง เฉินซีก็หันกลับมามองเช่นกัน
ร่างของเหลียงปิงสูงเพรียว ผมสีทองนุ่มสลวยของนางถูกม้วนเป็นมวยไว้ตรงท้ายทอย ซึ่งเผยให้เห็นใบหน้างาม หน้าผากอันขาวใส จมูกโด่งเป็นสัน กอปรกับริมฝีปากสีแดงอวบอิ่มและเย้ายวน ทำให้ความงามของหญิงสาวเป็นธรรมชาติและไม่มีใครเทียบได้
การแต่งกายของนางยังคงเหมือนเดิม สวมชุดท่อนบนที่รัดรูปและสง่างาม ซึ่งขับเน้นส่วนโค้งอันน่าดึงดูดใจ อีกทั้งยังเผยให้เห็นหน้าอกขาวผ่องดุจเกล็ดหิมะราง ๆ ในขณะที่หญิงสาวสวมกระโปรงสั้นที่เผยให้เห็นต้นขาที่ไร้ที่ติและขาวราวกับงาช้าง ซึ่งร้อนแรงเป็นอย่างมาก ยิ่งกว่านั้น แม้แต่รองเท้าที่หญิงสาวสวมก็ยังแหลมคมและแวววาวเหมือนสว่าน
สรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า รูปร่าง หรือเสื้อผ้า หญิงสาวที่งดงามและเย็นชาคนนี้ตรงหน้าเขา ช่างเย้ายวนและเร่าร้อนยิ่ง ดังนั้นแม้ว่าเฉินซีจะคลุกคลีกับนางมานานแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกหายใจไม่ออกทุกครั้งที่มองไปที่อีกฝ่าย
‘หากใครสามารถตบแต่งกับนางได้ แค่เก็บรักษานางไว้ที่บ้านในฐานะ ‘เครื่องประดับ’ ก็คงจะดีต่อสายตาไม่น้อย…’ เฉินซีลอบถอนหายใจ
เหลียงปิงถูกอีกฝ่ายจ้องมองจนรู้สึกอึดอัด และคิดในใจว่า ‘หรือชายคนนี้จะมีจิตอกุศลต่อข้าจริง ๆ?’
เป็นเรื่องปกติที่นางจะคิดเช่นนี้ เพราะหลียางเคยกล่าวถ้อยคำที่น่าสงสัยและเย้าแหย่ต่อหน้านางกับเฉินซีมากกว่าหนึ่งครั้ง จึงทำให้หญิงสาวอดสงสัยไม่ได้
นางถึงกับคิดด้วยซ้ำว่า ตนเองควรจะทุบตีเฉินซีอย่างดุดันหรือเลือกที่จะเพิกเฉยต่อชายหนุ่ม หากเฉินซีมีจิตอกุศลต่อนางจริง ๆ
‘หากข้าไม่สนใจเขา เขาจะคิดว่าข้ายอมรับโดยปริยายหรือไม่?’
ความคิดแปลก ๆ เกิดขึ้นในใจของนางมากมาย ซึ่งแม้แต่เหลียงปิงเองก็ตกตะลึงในตัวเอง แต่สีหน้าของนางยังคงเย็นชาและสงบนิ่ง หญิงสาวแสร้งทำเป็นสงบ ขณะที่นางหันกลับมาและกล่าวว่า “เจ้ามีอันใดหรือ?”
“อ้อ ไม่มีอันใด” เฉินซีถอนสายตาออกและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าแค่คิดว่าการพาข้ากลับไปที่แดนภวังค์ทมิฬ จะทำให้สิ่งต่าง ๆ ในพิภพยันต์อักขระล่าช้าหรือไม่”
“เจดีย์ต้าเหยี่ยนได้รับการซ่อมแซมแล้ว ดังนั้นปัญหาใหญ่จะไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้น” เหลียงปิงตอบกลับ แต่นางกลับระแวดระวังอยู่ในใจ ‘เหตุใดจู่ ๆ ชายคนนี้ถึงแสดงความกังวลต่อข้า?’
เฉินซีไม่ได้ตระหนักถึงความคิดต่าง ๆ ในใจของเหลียงปิง และเขากล่าวอย่างครุ่นคิด “ฮ่า ๆ เช่นนั้นก็ดียิ่ง แดนภวังค์ทมิฬเป็นภพขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้กับภพเซียนมากที่สุด และเจ้าอาจยังไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน ข้าจะพาเจ้าไปชมหลังจากที่เราไปถึงแล้ว”
หัวใจของเหลียงปิงสั่นไหว ‘เขาตั้งใจจะใช้สิ่งนี้เพื่อเกี้ยวพาข้าอย่างนั้นหรือ?’
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ นางก็รู้สึกเขินอายอย่างอดไม่ได้ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองเฉินซีอย่างเย็นชา ในขณะที่คิดในใจ ‘เรารู้จักกันแค่ช่วงสั้น ๆ แต่เขายังกล้าเกี้ยวใส่ข้า เขาช่างบ้าบิ่นยิ่ง และมากด้วยตัณหาโดยแท้!’
ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘ผู้พูดไม่มีเจตนา แต่ผู้ฟังกลับมีเจตนา’
เมื่อความคิดหยั่งรากลึกลงไปในใจ ความคิดของคนผู้นั้นก็จะเตลิด หลังจากได้ยินบางสิ่งที่เขากล่าว …เห็นได้ชัดว่าเหลียงปิงในตอนนี้กำลังเข้าใจเฉินซีผิด และมีแนวโน้มที่จะเข้าใจผิดมากขึ้น
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย เมื่อถูกเหลียงปิงจ้องมองมา แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่สามารถคาดเดาความคิดในใจของนาง แต่เขาก็ยังรู้สึกคลุมเครือว่า วันนี้เหลียงปิงดูจะผิดปกติเล็กน้อย…
ในไม่ช้า ชายหนุ่มก็สลัดความคิดนี้ออกจากหัว แล้วถามว่า “อีกนานแค่ไหนกว่าจะไปถึงแดนภวังค์ทมิฬ”
ริมฝีปากสีแดงอวบอิ่มของเหลียงปิงกระตุกวูบ เมื่อนางได้ยินสิ่งนี้ และความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงก็เกิดขึ้นในใจ ‘เขาถามด้วยซ้ำว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน? ชายคนนี้ต้องการเกี้ยวพาข้ามากขนาดนี้เลยหรือ?’
“หนึ่งเดือน” นางตอบอย่างฉุนเฉียว ท่าทีตามปกติของราชินีผู้สุขุมและน่าเกรงขามได้เลือนหายไปแล้ว
“ช้าขนาดนั้นเชียวหรือ?” เฉินซีประหลาดใจ เขาจำได้ว่าตอนที่ศิษย์พี่หลียางพาเขามาที่พิภพยันต์อักขระ ระยะเวลาที่นางใช้คือสองวันเท่านั้น
‘นี่เขายังบ่นว่ามันช้าอีกหรือ?’
‘ชายคนนี้เสียสติจนบ้าไปแล้วหรือ?’
เปลือกตาของเหลียงปิงกระตุก และนางกำลังจะคลุ้มคลั่ง หญิงสาวไม่ต้องการอะไรมากไปกว่ายกรองเท้าส้นแหลมของนางขึ้นและกระทืบไอ้สารเลวนี้อย่างเดือดดาล เพื่อบรรเทาความโกรธในใจ…
นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นจึงข่มความอับอายและความโกรธในใจอย่างแข็งขัน ก่อนจะกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “นี่คือขีดจำกัดของกระสวยแสงเงินแล้ว”
เฉินซีมองไปที่เหลียงปิงด้วยความประหลาดใจ และกล่าวด้วยความกังวลว่า “ท่าทางของท่านผิดปกติเล็กน้อย ท่านไม่สบายหรือ?”
“ไม่สบาย?”
‘ทำไมข้าถึงไม่สบาย’
‘เขาแสร้งทำเป็นห่วงข้าด้วยซ้ำ! เขาช่างน่ารังเกียจเสียจริง!’
เหลียงปิงรู้สึกขยะแขยงจริง ๆ แต่นางก็ยับยั้งตัวเองอยู่นาน ก่อนจะกล่าวอย่างหมดหนทาง “ก็ได้ ตราบใดที่ข้าตกลงไปกับเจ้าเพื่อชมแดนภวังค์ทมิฬก็พอ ใช่หรือไม่?”
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาจึงส่ายศีรษะพร้อมกล่าวว่า “ก็แค่ไปท่องเที่ยวและสัมผัสกับมัน หากท่านไม่สนใจ ก็ยังไม่สายที่จะพูดคุยถึงเรื่องนี้ในภายหลัง”
คราวนี้เหลียงปิงถึงกับกล่าวไม่ออก และนางอดไม่ได้ที่จะตะโกนในใจ ‘ให้ตายเถอะ! คนเช่นนี้ก็มีในโลกจริงหรือ!? เขานับว่าได้คืบจะเอาศอกโดยแท้ หรือข้าต้องคุกเข่าอ้อนวอนให้เขาเกี้ยวพาข้ากัน!?’
ในเวลานี้ นางบังเกิดความคิดที่จะฆ่าคน!
ท้ายที่สุด ในฐานะผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับและผู้สืบทอดตระกูลเหลียงในพิภพยันต์อักขระ นางใช้รูปลักษณ์ที่สง่างามและทรงพลังเพื่อจัดการกับทุกสิ่งเสมอมาจนถึงตอนนี้ และนางไม่เคยทำผิดต่อตัวเอง ทว่านางกลับทำในวันนี้…
เฉินซีสังเกตเห็นอย่างเฉียบขาดว่า อารมณ์ของเหลียงปิงดูจะไม่ค่อยดีนัก และเขาก็เลือกที่จะเงียบแทน
ในเวลาไม่นาน ชายหนุ่มก็หยุดคิดและเริ่มทำความเข้าใจธรรมเทพไร้ขอบเขต และสีหน้าของเขากลายเป็นตั้งอกตั้งใจ ในขณะที่ตัวคนดูจะมีความสุขและพอใจกับตัวเอง
ปราณดวงใจ แก่นดวงใจ วิญญาณดวงใจ และทารกดวงใจ สิ่งเหล่านี้คือขอบเขตที่ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ของพลังดวงใจ ตามคำชี้แนะของหลียาง ตราบใดที่พลังดวงใจของเขาบรรลุขอบเขตวิญญาณดวงใจ ก็พอที่จะจัดการกับการตรวจจับของเต๋าแห่งสวรรค์ และทำให้ตัวเขาบรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพี โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกมองเป็น ‘สิ่งแปลกปลอม’ และต้องทนทุกข์ทรมานจากการทำลายล้างของสายฟ้าศักดิ์สิทธ์แห่งการพิพากษา
เมื่อเดินทางออกจากชั้นที่สิบของเจดีย์ต้าเหยี่ยน เฉินซีสังเกตเห็นว่าพลังธรรมเทพของเขามีจำนวนมหาศาลถึงหนึ่งล้านสามแสนหกหมื่นดวง ในขณะที่การบ่มเพาะแก่นดวงใจก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์
ราวกับว่าชีวิตได้รับการพัฒนา แข็งแกร่งขึ้น และเติบโตขึ้นภายในแก่นดวงใจ อีกทั้งมันยังได้ปลดปล่อยพลังชีวิตที่พลุ่งพล่าน ทำให้เกิดจังหวะที่ฟังดูเหมือนเสียงตีกลองของเทพอสูร
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดก็คือ ร่างจาง ๆ ปรากฏขึ้นเหนือแก่นดวงใจที่ดูเหมือนรังไหม ซึ่งไม่มีตัวตน เป็นดั่งภาพลวงตาและมองเห็นได้อย่างเลือนราง เฉินซีรับรู้ได้เพียงว่า จากโครงร่างของมันเป็นคนตัวเล็ก ๆ ซึ่งกำลังหลับตานั่งสมาธิเหนือแก่นดวงใจ
เฉินซีรู้ว่านั่นคือจิตวิญญาณของดวงใจของเขา! เมื่อร่างของวิญญาณดวงใจถูกควบแน่นเป็นมวลวัตถุ พลังดวงใจของเขาจะเลื่อนขั้นจากขอบเขตแก่นดวงใจไปสู่ขอบเขตวิญญาณดวงใจ
แต่กระบวนการนี้ไม่สามารถบรรลุได้ด้วยการสะสมพลังธรรมเทพเพียงอย่างเดียว และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากเคล็ดวิชาบ่มเพาะ มิฉะนั้น ด้วยพลังธรรมเทพที่เฉินซีสะสมไว้ เขาคงได้บรรลุสู่ขอบเขตวิญญาณดวงใจไปนานแล้ว
กล่าวง่าย ๆ ก็คือ พลังธรรมเทพนั้นเป็นเหมือนน้ำ ในขณะที่พลังดวงใจเป็นเหมือนสระน้ำ ปริมาตรของสระจะคงที่อยู่เสมอ ดังนั้นหากมีน้ำมากเกินก็จะล้นออกมาจากสระ และน้ำจะไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่
ในขณะที่การบ่มเพาะพลังดวงใจคือวิธีขยายขนาดและความลึกของสระน้ำ ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถกักเก็บน้ำได้มากขึ้น ทำให้เกิดผลมากขึ้น
แต่เคล็ดวิชาบ่มเพาะที่เกี่ยวข้องกับพลังดวงใจนั้นหายากมากในภพทั้งสาม และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพบในภพมนุษย์ แม้จะอยู่ในภพเซียน เคล็ดวิชาบ่มเพาะเช่นนี้ก็เป็นสมบัติล้ำค่าที่หายาก และต้องมีวาสนาจึงจะได้รับมาเท่านั้น
สิ่งนี้ทำให้ผู้ที่สามารถบรรลุขอบเขตวิญญาณดวงใจในภพมนุษย์ มีเพียงหนึ่งในพันล้านคน!
ในขณะเดียวกัน เคล็ดธรรมเทพไร้ขอบเขตที่เฉินซีได้รับจากชั้นที่สิบของเจดีย์ต้าเหยี่ยน ก็เป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะเช่นนั้น มันใช้พลังธรรมเทพเป็นรากฐานในการบ่มเพาะพลังดวงใจ และคุณค่าของมันก็ยิ่งใหญ่มาก จนแม้แต่เหล่าทวยเทพในภพทั้งสามก็ยังปรารถนาที่จะได้มันมา
เมื่อเห็นเฉินซีเงียบและจมอยู่ในห้วงความคิด เหลียงปิงที่อยู่ใกล้เคียงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางกังวลอย่างแท้จริงว่า เฉินซีจะไม่หยุดยั้งและยื่นคำขอที่อวดดีอื่น ๆ อีก
หนึ่งเดือนต่อมา ลำแสงสีเงินสว่างราวกับแสงดาวเย็นยะเยือก ก็พุ่งทะลุท้องฟ้าและเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬ
กลิ่นอายที่คุ้นเคยของเต๋าแห่งสวรรค์ ขุนเขาที่คุ้นเคย แม่น้ำ ทิวทัศน์ และปราณวิญญาณของฟ้าดิน… หลังจากแยกจากกันนานกว่าหนึ่งปี ในที่สุดเขาก็กลับมา ทำให้เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนได้ผ่านไปหลายชั่วอายุคน!
“ในที่สุดข้าก็กลับมาแล้ว” เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยอารมณ์ ทันใดนั้น ชายหนุ่มพลันคิดหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย เขาคิดถึงนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง หลิงไป๋ ไป๋คุย มู่ขุย ผู้อาวุโสของเขา คนของเผ่านรกขุมที่เก้า…
แน่นอนว่ายังมีชิงซิ่วอี้และปิงซื่อเทียน!