บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 874 เฆี่ยนตีเซียนสวรรค์
บทที่ 874 เฆี่ยนตีเซียนสวรรค์
บทที่ 874 เฆี่ยนตีเซียนสวรรค์
“จะพาตัวเฉินซีไปหรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เวินหัวถิงถึงกับขมวดคิ้ว พลางจ้องมองไปที่บรรพบุรุษเฟยหลิง
เขารู้ดีว่าหากเฉินซีถูกพาตัวไป ชะตากรรมที่ชายหนุ่มต้องเผชิญ จะต้องประสบกับหายนะอย่างแน่นอน และคงไม่เพียงแค่ต้องทนทุกข์กับความอัปยศอดสูเท่านั้น บางทีชายหนุ่มอาจถูกทรมานจนตายด้วยซ้ำ!
แต่เหมยลั่วเซียวเป็นที่นับถือของผู้คน และแม้แต่ประมุขนิกายเช่นเขาก็ไม่สามารถกล่าวห้ามได้ ดังนั้นจึงได้แต่หวังว่าบรรพบุรุษเฟยหลิงจะยุติเรื่องนี้
เฟยหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ “สหายเต๋าเหมย เฉินซีเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้า และเขาถือเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ มีศักดิ์สูงมากในนิกาย หากหลีกเลี่ยงได้ เขาจะไม่กระทำการเช่นนี้เด็ดขาด…”
ทว่าก่อนเฟยหลิงจะทันได้กล่าวจบ เหมยลั่วเซียวกลับขัดจังหวะเสียก่อน เจ้าตัวกล่าวอย่างเย็นชาว่า “สหายเต๋าเฟยหลิง มันก็แค่ศิษย์คนหนึ่ง หรือเจ้าต้องการสร้างความบาดหมางระหว่างเราเพียงเพราะเรื่องนี้?”
น้ำเสียงของเขามีเจตนาคุกคามอย่างเห็นได้ชัด
ขณะเดียวกัน อวี๋จงเสียก็กล่าวเช่นกันว่า “ไม่ว่าพรสวรรค์ของเขาจะดีเพียงใด แต่อุปนิสัยของเขานั้นน่ารังเกียจและไร้ยางอายยิ่ง ศิษย์เช่นนี้จะนำหายนะมาสู่นิกายกระบี่เก้าเรืองรองไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้นเหตุใดถึงไม่ขับไล่เขาโดยเร็วที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนผู้นี้นำหายนะมาสู่นิกายในภายภาคหน้า”
นางมีรูปลักษณ์ที่งดงามและมีท่าทางที่สง่างาม แต่ทัศนคติของนางกลับขวานผ่าซาก ราวกับมองเฉินซีเป็นหายนะ ทำให้เวินหัวถิงและศิษย์ทุกคนถึงกับขมวดคิ้ว เพราะพวกเขาไม่พอใจอย่างมาก!
นี่มันเรื่องไร้สาระ! หากไม่ใช่เพราะเหล่าศิษย์เจ้าสำอางจากภพเซียนที่เอาแต่ใจ หยิ่งยโส กระทำเรื่องอยุติธรรมมากมาย แม้กระทั่งใช้กำลังจับคนบนยอดเขาจรัสตะวันตกที่เกี่ยวข้องกับเฉินซี มิเช่นนั้นพวกเขาจะถูกชายหนุ่มทุบตีได้อย่างไร?
ไม่ต้องกล่าวถึงอุปนิสัยของเฉินซีซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของทุกคนในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง …ถ้าชายหนุ่มถูกกล่าวหาว่าเป็นคนไร้ยางอาย เช่นนั้นก็คงไม่มีคนดีอยู่ในโลกนี้แล้ว!
เห็นได้ชัดว่าอวี๋จงเสียเข้าข้างเหมยชิงหยวนและคนอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ถึงพวกเขาจะรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน ทว่าแม้กระทั่งสถานะอย่างเฟยหลิงก็ทำได้แต่ต้องทน แต่ก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน เพราะเหมยลั่วเซียวกับอวี๋จงเสียเป็นเซียนสวรรค์ที่แท้จริง อีกทั้งพวกเขายังเป็นทูตที่ถูกส่งมายังภพมนุษย์โดยนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในภพเซียน ดังนั้นพวกเขาจึงมีฐานะที่สูงส่งอย่างยิ่ง ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่อาจล่วงเกินได้
“ใช่แล้ว! ไอ้เด็กนี่ไม่เพียงน่ารังเกียจ แต่ยังต่ำช้ายิ่งนัก!” เหมยชิงหยวนคุกเข่าลงบนพื้น ในขณะที่เขาร้องออกมาอย่างน่าสังเวช
“สหายเต๋าเฟยหลิง ความลังเลจะนำไปสู่ปัญหา เด็กคนนี้ดื้อรั้นและเหมือนเนื้อร้าย เหตุใดถึงไม่ส่งเขาให้พี่เหมยจัดการ เพราะการกำจัดเขาโดยเร็วที่สุดน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า” อวี๋จงเสียกล่าวด้วยความมั่นใจและสุขุม นางมีสีหน้าเฉยเมย ในขณะที่กล่าวคำราวกับตัดสินโทษตายให้เฉินซีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เถียงยังไม่จบไม่สิ้นไม่วายใส่ร้ายผู้อื่น! ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าหญิงเลวอย่างเจ้าเหตุใดจึงบ่มเพาะจนบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์ได้?” จู่ ๆ เฉินซีก็กล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา เขาจ้องตรงไปที่อวี๋จงเสีย ยิ่งกว่านั้น น้ำเสียงของชายหนุ่มยังสงบนิ่ง และคำพูดของเขาก็ร้ายกาจยิ่งนัก!
เพียะ!
ขณะที่กล่าว เฉินซีก็ตบหน้าเหมยชิงหยวนอีกครั้ง ครั้งนี้เขาตบเหมยชิงหยวนจนอีกฝ่ายปากแตก ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด จากนั้นร่างกายของเจ้าตัวก็เริ่มชักกระตุกราวกับเป็นโรคลมชักและแทบจะหมดสติไป
ช่างเอาแต่ใจ!
เอาแต่ใจอย่างไร้ที่เปรียบ!
ผู้ใดจะจินตนาการได้ว่า เฉินซีจะดูถูกเซียนสวรรค์ว่าเป็นหญิงเลวในสถานการณ์เช่นนี้กัน? และเขายังฉวยโอกาสตบเหมยชิงหยวนอีกด้วย?
นี่ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าเซียนสวรรค์ทั้งสองนี้!
ทันใดนั้น ไม่ว่าจะเป็นเวินหัวถิง เลี่ยเผิง เฟยหลิง หรือศิษย์ที่อยู่ด้านนอกห้องโถง พวกเขาต่างจ้องมองด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง แม้พวกเขาจะรับรู้อยู่แล้วว่า การกระทำของเฉินซีนั้นเลวร้าย แต่ในใจของพวกเขากลับรู้สึกพึงพอใจโดยไม่ทราบสาเหตุ…
“เจ้ากล่าวอันใด!? สารเลวน้อย เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” อวี๋จงเสียระเบิดความโกรธทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนที่หญิงสาวจะสะบัดแขนเสื้อออกไป ทำให้ปราณเซียนสีทองที่สว่างไสวพุ่งออกมา และสาดออกไปอย่างรุนแรง!
ในฐานะเซียนสวรรค์ นางบ่มเพาะมาเป็นเวลาเนิ่นนาน จนกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ซึ่งในภพมนุษย์คงไม่มีใครกล้าล่วงเกินนางเป็นแน่ รวมถึงยังได้รับความเคารพโดยถ้วนทั่ว ดังนั้นเมื่อมีผู้น้อยมาปรามาสว่าเป็นหญิงเลวเช่นนี้ นางจะทนได้อย่างไร?
ดังนั้นหญิงสาวจึงลงมือด้วยโทสะ! ทำให้ปราณเซียนสีทองสว่างไสวสาดออกไปอย่างรุนแรง โดยมันถูกห่อหุ้มด้วยพลังแห่งกฎที่ดูเหมือนอสูรวิญญาณ ทั้งยังมีตาข่ายฟ้าที่หมายจะกักขังเฉินซีเอาไว้ ด้วยอวี๋จงเสียคิดจะสั่งสอนบทเรียนที่ชายหนุ่มจะไม่อาจลืมเลือนไปตลอดชีวิต!
ม่านตาของทุกคนหดลงทันที และพวกเขาเกือบอุทานออกมาด้วยความตกใจ เนื่องจากผู้เป็นเซียนสวรรค์ได้โจมตีด้วยแรงโทสะอย่างกะทันหัน และเฉินซีอาจจะประสบภัยพิบัติได้!
เพียะ!
แต่ในขณะนี้เอง แส้สีดำสนิทและเย็นยะเยือกพลันปรากฏขึ้นมาอย่างไร้ร่องรอย และแส้ที่ว่าก็ตวัดออกไปก่อนจะเข้าทำลายปราณเซียนสีทองที่แผ่ขยายออกไปอย่างง่ายดาย
แต่นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุด! เพราะพลังแส้ไม่ลดลงแม้แต่น้อย ทันใดนั้น มันก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าอวี๋จงเสีย และก่อนที่นางจะทันได้ตอบโต้ แส้ดังกล่าวก็ฟาดเข้าใส่ใบหน้าขาวสวยราวกับหยกของหญิงสาวอย่างรุนแรง!
เสียง ‘เพียะ’ ดังขึ้น พร้อมกับรอยแผลที่เต็มไปด้วยเลือดปรากฏบนใบหน้าของอวี๋จงเสีย ผิวหนังและเนื้อของนางปริแตก มันลึกจนมองเห็นกระดูก ทำให้ดูน่ากลัวและน่าสยดสยองอย่างยิ่ง
อวี๋จงเสียตกตะลึงทันที นางถึงกับลืมความเจ็บปวด ในขณะที่กอบกุมใบหน้าที่ได้รับบาดเจ็บและร่างกายสั่นเทา “มีคนกล้าลอบทำร้ายข้าหรือ?”
ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น ดวงตาของทุกคนรวมถึงเหมยลั่วเซียวต่างจดจ้อง ขณะที่พวกเขาเผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา ว่าเซียนสวรรค์จะถูกเฆี่ยนตีบนใบหน้าได้อย่างไร?
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ท่ามกลางความเงียบงันที่แปลกประหลาดนี้ เสียงฝีเท้าที่มั่นคงและชัดเจนดังก้องออกมา จากนั้นร่างที่เพรียวบางและสง่างามได้ปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคน
นางมีผมสีทองหยักศกที่ถูกมัดเป็นมวยไว้ตรงท้ายทอย มีรูปลักษณ์ที่เย็นชาและงดงาม ริมฝีปากสีแดงน่าเย้ายวนใจ หน้าผากสีขาวหยก และเสื้อผ้ารัดรูปของเจ้าตัวก็เผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งบนร่างที่ดูเย้ายวนเสียจนชวนให้วิญญาณของผู้พบเห็นปั่นป่วน
คนผู้นี้คือเหลียงปิงนั่นเอง!
ตั้งแต่เข้ามาในห้องโถง นางมักจะทำตัวไม่เป็นจุดเด่นและยืนอยู่ทางด้านข้างเสมอ ทำให้ทุกคนเข้าใจผิดว่านางเป็นผู้ติดตามหรือสาวใช้ของเฉินซี แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของหญิงสาวจะงดงามจนแทบหยุดหายใจ แต่ก็ไม่มีใครสนใจนางอยู่ดี
แต่เมื่อนางปรากฏตัวในระยะสายตาของพวกเขาในเวลานี้ ทุกคนจึงตระหนักได้ว่า หญิงสาวผู้เย็นชาและงดงามคนนี้ ไม่ใช่แค่สาวใช้ที่มีดีแค่ใบหน้างดงาม แต่ยังเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ปิดบังตัวตนอีกด้วย!
ทุกคนรู้สึกว่าจิตใจของพวกเขามึนงงเล็กน้อย เฉินซีไปหาผู้เยี่ยมยุทธ์ที่สามารถเฆี่ยนตีใบหน้าเซียนสวรรค์ได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวเช่นนี้มาจากไหน? ยิ่งกว่านั้น เซียนสวรรค์แทบไม่มีโอกาสได้หลบเลยด้วยซ้ำ!
การบ่มเพาะของนางจะสูงส่งเพียงใดกัน?
มีเพียงเวินหัวถิงกับเลี่ยเผิงเท่านั้นที่จ้องมองกันและกัน ซึ่งพวกเขาทั้งสองต่างก็เข้าใจ “ไม่แปลกใจเลยที่เฉินซีนั้นสงบมาก ที่แท้เขาก็มีคนที่พึ่งพาได้!”
“เจ้ากล้าลอบโจมตีข้า! เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” ในขณะเดียวกัน ในที่สุดอวี๋จงเสียก็หายจากอาการตกใจ ใบหน้างดงามของนางพลันกลายเป็นดุร้าย ในขณะที่ดวงตาของหญิงสาวลุกโชนด้วยเปลวเพลิงแห่งความพิโรธ
ร่างของนางสว่างวาบ ในขณะที่มือขยับไหว ใช้ปราณเซียนจำนวนมหาศาลและพลังของกฎเพื่อใช้ศาสตร์เซียนที่น่าสะพรึงกลัว เข้าโจมตีเหลียงปิงอย่างรุนแรง!
นางไม่ได้ตระหนักเลยว่าแม้จะเป็นการลอบโจมตี แต่ด้วยการบ่มเพาะในขอบเขตเซียนสวรรค์ จะมีใครบ้างในภพมนุษย์ที่สามารถลอบโจมตีนางสำเร็จได้? และคนที่สามารถทำสิ่งนี้ได้ ย่อมมีระดับการบ่มเพาะที่ไม่ต่ำกว่านาง!!
น่าเสียดายที่ตอนนี้หญิงสาวถูกครอบงำด้วยความโกรธ อวี๋จงเสียจึงคิดเพียงว่าเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อ จึงทำให้ตนเองถูกแส้ที่น่าอัปยศอดสูเช่นนี้ฟาดใส่!
“เจ้าเป็นเพียงเซียนสวรรค์ตัวเล็ก ๆ แต่กลับกล้าแยกเขี้ยวต่อหน้าข้าหรือ?”
เหลียงปิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมยและเย็นชา จากนั้นข้อมือของนางพลันตวัดออก ก่อนที่แส้สีดำสนิทและเย็นยะเยือกจะพลันพุ่งออกมา มันแยกอากาศออกจากกัน ในขณะที่กวาดออกไป และสลายการโจมตีของอวี๋จงเสียอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียง ‘เพียะ’ ดังก้อง เนื่องจากมันฟาดเข้าที่ใบหน้าของอวี๋จงเสียอีกครั้ง ทำให้นางกระเด็นไปกลางอากาศและเกือบจะล้มกองกับพื้น
การโจมตีนี้เรียบง่ายและดูธรรมดา แต่กลับเฆี่ยนเซียนสวรรค์จนกระเด็นไปไกล ดังนั้น พลังที่แฝงอยู่ในการโจมตีครั้งนี้จะน่าสะพรึงกลัวเพียงใด?
ทุกคนตกใจกลัว แม้แต่บรรพบุรุษเฟยหลิงก็เผยสีหน้าตกใจ การโจมตีในครั้งนี้ทำอย่างตรงไปตรงมา และไม่มีเล่ห์เหลี่ยมหรือฉวยโอกาสใด ๆ แต่มันยังคงเฆี่ยนอวี๋จงเสียจนปลิวกระเด็น สิ่งนี้จึงพิสูจน์ได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า หญิงสาวผู้เย็นชาและงดงามคนนี้แข็งแกร่งกว่าอวี๋จงเสียเป็นอย่างมาก!
ตุบ!
ขณะเดียวกัน อวี๋จงเสียซวนเซจนเกือบจะกลิ้งลงไปที่พื้น นางกระอักเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า รอยแผลที่เต็มไปด้วยเลือดและน่าสยดสยองปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาวอย่างชัดเจน
เวลานี้ สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นหวาดกลัว ขณะที่ร้องออกมาเสียงแหลม “เจ้าเป็นใครกันแน่? ในภพมนุษย์ไม่ควรมีผู้เยี่ยมยุทธ์เช่นเจ้าอยู่!”
เหมยลั่วเซียวเผยสีหน้าจริงจัง จ้องมองไปยังเฉินซี ราวกับเขาต้องการรู้ตัวตนที่แท้จริงของชายหนุ่ม เนื่องจากตัวตนที่สามารถเอาชนะเซียนสวรรค์ได้อย่างง่ายดายนั้น ย่อมมีชาติกำเนิดที่ไม่ธรรมดา!
สายตาของทุกคนในห้องโถงจับจ้องไปทางเหลียงปิงอย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งมีทั้งตกใจ สงสัย ไม่เชื่อ และอื่น ๆ อยู่ในดวงตาของพวกเขา
แม้แต่เหมยชิงหยวนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็ตระหนักว่าสถานการณ์เลวร้ายเสียแล้ว และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปมา ก่อนที่เจ้าตัวจะเลือกหุบปากสนิทอย่างเชื่อฟัง
ทว่าเหลียงปิงไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ จากนั้นนางก็เดินไปทางด้านข้างของเฉินซี ก่อนจะกอดอก เผยท่าทีเย็นชาและสงบนิ่ง ราวกับราชินีผู้เย่อหยิ่งที่มีกลิ่นอายน่าเกรงขาม!
“เจ้าหยุดเห่าทำไมเล่า?” เฉินซีตบเหมยชิงหยวนอีกครั้ง ทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายบวมปูดจนดูเหมือนหัวหมู ชนิดที่ว่าใบหน้ายับเยินเกินกว่าจะจดจำได้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะส่งเสียงร้องโหยหวนอันน่าสังเวชราวกับหมูถูกเชือดออกมา
ไม่ใช่ว่าเขาจงใจทำให้อีกฝ่ายอับอาย แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้เขาโกรธเป็นอย่างมาก และถ้าไม่ใช่เพราะเหลียงปิงกลับมาพร้อมกับตน ตัวเฉินซีอาจจะเสียชีวิตไปแล้วก็เป็นได้!
ดังนั้น ในเมื่อสามารถยืมพลังของเหลียงปิงได้ แล้วเขาจะปรานีต่อเหมยชิงหยวนได้อย่างไร? ชายหนุ่มตบเหมยชิงหยวนครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตบจนอีกฝ่ายสิ้นสติ และหยุดมือไปด้วยความไม่พอใจ
สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงก็คือ เหมยชิงหยวนไม่ได้สลบจากการถูกตบ แต่เขาโกรธจนสิ้นสติ…
ในระหว่างการกระทำทั้งหมดนี้ ใบหน้าของเหมยลั่วเซียวกระตุกอย่างรุนแรง จนในที่สุด เจ้าตัวก็ไม่อาจยับยั้งความโกรธในใจได้อีกต่อไป และคำรามใส่เฟยหลิงผ่านกระแสปราณว่า “สหายเต๋าเฟยหลิง มีศัตรูจากภายนอกที่ก่อปัญหาในนิกายตอนนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่สำแดงเดชค่ายกลสังหารคุ้มนิกาย? นี่เจ้ากำลังรออะไรอยู่?”
ค่ายกลสังหารคุ้มนิกายของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองนั้น เพียงพอที่จะจัดการตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย และมันจะไม่สำแดงเดช เว้นแต่จะเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของนิกาย
ในขณะนี้ เหมยลั่วเซียวตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า ความแข็งแกร่งของพวกเขามิอาจเทียบได้กับเหลียงปิง ดังนั้นเขาจึงกล่าวผ่านกระแสปราณไปยังเฟยหลิง โดยหมายมั่นที่จะใช้ค่ายกลสังหารคุ้มนิกายเพื่อกักขังและสังหารหญิงสาว
แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเฟยหลิงจะไม่กล่าวด้วยซ้ำ อีกทั้งสตรีผู้เย็นชาที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็ดูจะสังเกตเห็นความตั้งใจที่ว่า ทำให้สายตาของนางกวาดมองมายังเขาดูราวกับสายฟ้าเย็นเยียบ
“ข้าลืมบอกเจ้าไป ตัวข้าได้บ่มเพาะเคล็ดเทพใต้พิภพกำเนิดวิญญาณ แม้ว่าจะส่งเสียงผ่านกระแสปราณ แต่ผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำกว่าข้า ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากการตรวจจับของข้าได้!” เหลียงปิงกล่าวอย่างเย็นชา ขณะที่นางกล่าว ข้อมือของหญิงสาวก็ตวัดออกไป ก่อนที่แส้สีดำสนิทและเย็นยะเยือกจะพุ่งทะลุท้องฟ้า ราวกับแส้อันทรงพลังที่ถืออยู่ในมือของเทพอสูร ซึ่งแผ่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่น่าเกรงขามอย่างไม่มีใครเทียบได้ออกมา ในขณะที่ฟาดไปยังเหมยลั่วเซียวอย่างดุดัน!