บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 875 ลางบอกเหตุของความโกลาหลครั้งใหญ่
บทที่ 875 ลางบอกเหตุของความโกลาหลครั้งใหญ่
บทที่ 875 ลางบอกเหตุของความโกลาหลครั้งใหญ่
เพียะ! เพียะ! เพียะ!
เสียงแส้ที่ฟาดผ่านอากาศนั้นคมชัดและดังกึกก้องทั่วทั้งห้องโถง เหมือนกับเสียงของฟ้าร้อง ซึ่งสั่นสะเทือนแก้วหูของทุกคนจนพวกเขารู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง อีกทั้งยังทำให้เลือดลมในร่างกายปั่นป่วนอย่างยากจะควบคุม
นี่คือพลังของผู้เยี่ยมยุทธ์ในขอบเขตเซียนลึกลับ การโบยแส้แต่ละครั้งมีพลังแห่งกฎเกณฑ์ที่ลึกล้ำอยู่บางเบา ทำให้ผู้มีพลังด้อยกว่ารู้สึกราวกับว่าพวกเขาได้ยินเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดของสวรรค์ และแม้แต่จิตวิญญาณของทุกคนก็ได้รับผลกระทบไปด้วย
แต่เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ เสียงโหยหวนที่น่าสังเวชของเหมยลั่วเซียวนั้นน่าพรั่นพรึงยิ่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด ตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ที่น่าเกรงขามและสูงส่ง ที่เหล่าสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนได้แต่แหงนหน้ามอง มาตอนนี้…อีกฝ่ายกลับเป็นเหมือนนักโทษที่ถูกเฆี่ยนตี เสื้อผ้าทั่วทั้งร่างขาดวิ่น เนื้อหนังมังสาฉีกขาดออกจากกัน ในขณะที่ผมก็ยุ่งเหยิง และรอยแผลที่เต็มไปด้วยเลือดปรากฏทั่วทั้งร่าง ทำให้ตัวคนดูน่าสมเพชและน่าอนาถอย่างยิ่ง!
เขาพยายามดิ้นรนอย่างสุดความสามารถและใช้พลังทั้งหมดที่มีอยู่ แต่สุดท้ายมันก็ไร้ประโยชน์ ภายใต้การควบคุมของเหลียงปิง อีกฝ่ายไม่สามารถหลบหนีจากการถูกเฆี่ยนตีได้อย่างสิ้นเชิง!
ท่าทางของเหลียงปิงกลายเป็นเย็นชา กลิ่นอายของนางน่าเกรงขามอย่างที่สุด หญิงสาวใช้แส้สีดำสนิทได้อย่างยอดเยี่ยม จนสามารถปิดล้อมและกักขังบริเวณโดยรอบ ยิ่งกว่านั้น ไม่ว่าเหมยลั่วเซียวจะร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเพียงใด นางก็ยังคงเฉยเมย
ท่าทางที่เย็นชาและไร้อารมณ์ของนาง ทำให้ร่างกายของทุกคนที่อยู่ในบริเวณโดยรอบเย็นเยียบ ราวกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง!
ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีใครกล้าหยุดหญิงสาวคนนี้ แม้แต่อวี๋จงเสียก็ยืนตัวแข็งด้วยสีหน้าลำบากใจ เพราะตัวนางไม่กล้าที่จะช่วยเขาแม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม เนื่องจากความแตกต่างของพลังนั้นมีมากเกินไป และอวี๋จงเสียก็รู้ดีว่าแม้ว่าตนเองจะก้าวไปข้างหน้า ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากการถูกเฆี่ยนตีได้!
ในที่สุด บรรพบุรุษเฟยหลิงก็ไม่อาจทนดูต่อไปได้ เขาได้สั่งเวินหัวถิงว่าพอจะเกลี้ยกล่อมเฉินซีให้ปล่อยเหมยลั่วเซียวไปได้หรือไม่ เพราะไม่ว่าอย่างไร เหมยลั่วเซียวก็ถือเป็นผู้ยิ่งใหญ่จากภพเซียน และมีความเกี่ยวข้องกับนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง
นอกจากนี้ เหมยลั่วเซียวและคนอื่น ๆ ได้รับคำสั่งให้ลงมายังภพมนุษย์ในครั้งนี้ เพื่อช่วยนิกายกระบี่เก้าเรืองรองต้านทานศัตรูที่แข็งแกร่ง มันเกี่ยวข้องกับการจัดการของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในช่วงกลียุคของภพทั้งสาม ดังนั้นหากพวกเขาถูกทุบตีอย่างเลวร้าย ก็คงจะไม่มีหน้าอยู่ในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองแล้ว
หากเป็นสถานการณ์ตามปกติ เวินหัวถิงย่อมไม่กล้าเพิกเฉยต่อคำสั่งของบรรพบุรุษเฟยหลิง เขาจึงทำได้เพียงกล่าวกระแสปราณไปยังเฉินซี “เฉินซี ข้าคิดว่าเจ้าคงระบายความโกรธแค้นแล้ว ดังนั้นช่วยบอกให้แม่นางผู้นั้นหยุดที หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป มันจะเป็นอันตรายต่อนิกายเอา”
เฉินซีสังเกตพบว่า ทัศนคติของประมุขนิกายที่มีต่อเขานั้นเปลี่ยนไป และน้ำเสียงของประมุขนิกายก็แฝงถึงการปฏิบัติต่อเขาอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งแม้ว่าสิ่งนี้จะทำให้ชายหนุ่มประหลาดใจ แต่เขาก็เข้าใจมันได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเหลียงปิง!
“เอาล่ะ ท่านไว้ชีวิตเขาเถอะ” เฉินซีกล่าว
“หึ จะปล่อยมันไปอย่างนั้นหรือ? เหลียงปิงตอบกลับด้วยคำถาม
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่หญิงสาวก็หยุดโจมตีอย่างรวดเร็ว ทำให้เหมยลั่วเซียวรอดพ้นจากหายนะได้ในที่สุด ทว่าเสื้อผ้าทั้งหมดบนร่างกายของอีกฝ่ายแทบเป็นผ้าขี้ริ้วอยู่แล้ว ทำให้ตัวคนอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีรอยแผลจำนวนมากที่ลึกถึงกระดูก ปกคลุมทั่วร่างกายของเจ้าตัว ทำให้รูปลักษณ์ของเขาดูน่าสมเพชและน่าอนาถอย่างยิ่ง
เฉินซียักไหล่และกล่าวอย่างหมดหนทางว่า “ความโกรธของข้าได้ระบายออกไปแล้ว และถ้าเจ้ายังคงเฆี่ยนต่อไป มันจะคร่าชีวิตมนุษย์… โอ้ ไม่สิ ชีวิตเซียนต่างหาก”
“เจ้าคงกังวลว่าในอนาคตจะไม่มีที่ยืนอยู่ในนิกายกระมัง?” ดูเหมือนว่าเหลียงปิงจะคิดอะไรบางอย่างได้ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
นางกำลังกล่าวความจริง! เพราะหลังจากเรื่องนี้จบลง เหมยลั่วเซียว อวี๋จงเสีย และผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ที่อยู่ในภพเซียน จะต้องเกลียดเฉินซีเข้ากระดูกดำอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อเหลียงปิงจากไป สถานการณ์ของชายหนุ่มคงจะเลวร้ายยิ่ง
ในเวลานั้น แม้ว่าท่านประมุขนิกาย เลี่ยเผิง และคนอื่น ๆ จะมีความตั้งใจที่จะปกป้องเขา แต่ต่อให้พวกเขาเต็มใจ ทุกคนก็ไม่อาจทำอันใดได้ และนี่คือต้นตอที่แท้จริงของปัญหาทั้งหมด
มันเป็นสิ่งที่อันเวยกังวลก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน ตอนนี้เขาพอใจแล้ว แต่เฉินซีจะจัดการกับผลที่ตามมาอย่างไร?
ก่อนที่เขาจะทันได้กล่าว เหลียงปิงก็พลันกล่าวว่า “เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง”
ขณะกล่าว ฝ่ามือของหญิงสาวพลันพลิกหงาย ก่อนที่ตราคำสั่งจะปรากฏขึ้นมา จากนั้นนางก็สะบัดมันไปทางอวี๋จงเสีย และตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่ได้อธิบายแม้แต่คำเดียว
แต่เมื่ออวี๋จงเสียเห็นตราคำสั่งในมืออย่างชัดเจน ใบหน้าของหญิงสาวพลันซีดเผือด ในขณะที่ม่านตาของนางหดเล็กลงทันที ซึ่งเมื่อมองไปยังเหลียงปิงอีกครา หญิงสาวก็ไม่อาจยับยั้งความกลัวบนใบหน้าไว้ได้!
ราวกับเหลียงปิงเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าสยดสยอง ส่วนตราคำสั่งนั้นก็สื่อว่าอำนาจและความแข็งแกร่งของหญิงสาวผู้นี้น่ากลัวเพียงใด
ทันใดนั้น ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ตราคำสั่ง เพราะพวกเขาต้องการดูว่ามันเป็นวัตถุอาถรรพ์อันใดกัน จึงทำให้เซียนสวรรค์หวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้
ช่างน่าเสียดายที่ก่อนทุกคนจะได้เห็นมันชัด ๆ เหลียงปิงกลับคว้ามันคืนไป “ในเมื่อเจ้ารู้จักมัน เจ้าก็ควรเข้าใจว่าผู้ใดสามารถล่วงเกินได้และผู้ใดที่ไม่สามารถล่วงเกินได้”
อวี๋จงเสียมีสีหน้างุนงง ก่อนที่จะหัวเราะอย่างขมขื่น ในที่สุด นางก็ตระหนักได้ว่าคราวนี้พวกนางคงชนตอเข้าแล้ว และความหวังที่จะแก้แค้นในตลอดชีวิตของพวกนางก็ริบหรี่ยิ่ง…
มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่สังเกตเห็นได้อย่างราง ๆ ว่าตราคำสั่งนั้นธรรมดามาก แต่สิ่งเดียวที่ไม่ธรรมดาก็คือลวดลายซึ่งจารึกด้วยลายมือไว้บนพื้นผิว และตัวอักษร ‘เหลียง’ โบราณที่แสดงถึงตระกูลเหลียง
เห็นได้ชัดว่าตราคำสั่งนี้แสดงถึงอำนาจของตระกูลเหลียงในภพเซียน และทำให้เฉินซีเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า เมื่อเทียบกับนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ตระกูลเหลียงนั้นยิ่งใหญ่กว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
มิฉะนั้นด้วยตัวตนของอวี๋จงเสีย ในฐานะทูตของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองที่มาจากภพเซียน นางคงไม่หวาดกลัวต่อตราคำสั่งดังกล่าวถึงเพียงนี้
หลังจากนั้น อวี๋จงเสียก็ไม่มีหน้าที่จะอยู่อีกต่อไป นางจึงหันหลังกลับ พร้อมกับพาเหมยลั่วเซียวจากไปด้วยสีหน้าสลดใจและหวาดกลัว ทำให้ทุกคนในห้องโถงล้วนตกใจ เนื่องจากเหลียงปิงสามารถทรมานเซียนสวรรค์สองคนได้ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?
ส่วนบรรพบุรุษเฟยหลิงสะบัดแขนเสื้อ และรวบรวมเหล่าศิษย์เสเพลทั้งหมดจากภพเซียนที่นอนกองอยู่บนพื้น แล้วจึงไล่ตามอวี๋จงเสียไป
มันช่วยไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาจะเสียหน้า แต่อวี๋จงเสียและคนอื่น ๆ ยังคงเป็นทูตที่มาจากภพเซียน ดังนั้นบรรพบุรุษเฟยหลิงจึงไม่อาจละเลยพวกเขาได้
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ทั้งห้องโถงได้กลับมาเงียบสนิทอีกครั้ง
ในขณะที่สายตาซึ่งมองเฉินซีของเวินหัวถิงกับเลี่ยเผิงก็เปลี่ยนไป ดูจะมีทั้งความชื่นชมและความเหลือเชื่อ แต่เนื่องจากเหลียงปิงอยู่ที่นี่ ทั้งสองคนจึงไม่คิดจะถามอะไร
เฉินซีไม่ได้อธิบายตัวตนของเหลียงปิง เพราะหากไม่มีเหตุมิคาดฝันเกิดขึ้น เหลียงปิงก็จะจากไปทันทีที่เขามอบเคล็ดวิชาธรรมเทพไร้ขอบเขตให้กับนาง ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งใด
เลี่ยเผิงจากไปในช่วงเวลาต่อมา เนื่องจากเขาต้องมุ่งหน้าไปยังสถานที่ลับซึ่งอยู่ข้างนอกนิกาย เพื่อพาทุกคนจากยอดเขาจรัสตะวันตกกลับมาเมื่อทุกอย่างสงบลงแล้ว เพราะมันไม่ถูกต้องที่จะให้พวกเขาทั้งหมดต้องทนทุกข์กับความอยุติธรรมอยู่ทางด้านนอกนิกายต่อไป
เมื่อเหล่าศิษย์ชั้นยอดที่อยู่ด้านนอกห้องโถงสังเกตเห็นว่า ประมุขนิกายมีเรื่องจะพูดคุยกับเฉินซี พวกเขาก็เลือกที่จะจากไปเช่นกัน พวกเขาตื่นเต้นมาก และรู้ว่าอีกไม่นาน ข่าวการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของเฉินซี จะทำให้คนทั้งนิกายตกตะลึง!
ส่วนเรื่องที่เผชิญหน้ากับแขกผู้มีเกียรติจากภพเซียน มันจะถูกปิดผนึกไว้ ถึงอย่างไร มันก็เป็นเรื่องที่น่าขายหน้าเกินไป และหากมันถูกแพร่งพรายออกไป มันจะเป็นผลร้ายต่อชื่อเสียงของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง
…
“ท่านประมุข ข้าจำได้ว่าผู้คนจากภพเซียนไม่สามารถลงมายังภพมนุษย์ได้ใช่หรือไม่? เหตุใดเหมยชิงหยวนและคนอื่น ๆ จึงมาปรากฏตัวในนิกายของเรา” ภายในห้องโถงที่กว้างขวาง เฉินซีกล่าวถึงคำถามที่เขาเก็บไว้ในใจมาเป็นเวลานาน
ดูเหมือนเวินหัวถิงจะคาดการณ์ออกว่าเขาจะถามเรื่องนี้ ดังนั้นเจ้าตัวจึงอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทันที
ในช่วงเวลาหนึ่งปีกว่าที่เฉินซีจากไป ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพได้ปรากฏตัวคราแล้วคราเล่าในแดนภวังค์ทมิฬ ทำให้ผู้มีอำนาจจากนิกายต่าง ๆ ในโลกกังวล และเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม ยิ่งกว่านั้น มีการต่อสู้ครั้งใหญ่เกิดขึ้นแทบจะทุกหนทุกแห่งของแดนภวังค์ทมิฬ
อาจกล่าวได้ว่า แดนภวังค์ทมิฬในปัจจุบันอยู่ในสภาพคลื่นใต้น้ำกำลังก่อตัวและพายุกำลังใกล้เข้ามา ทุกอย่างดูจะเป็นลางบอกเหตุถึงกลียุคของภพทั้งสาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จากต่างพิภพเก้าคนได้ปรากฏตัวทางตอนใต้ของแดนภวังค์ทมิฬอย่างต่อเนื่อง และบนเทือกเขาที่ไม่มีใครอยู่ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลีหั่วสองหมื่นห้าพันลี้ พวกเขาได้นำกองทัพต่างพิภพนับไม่ถ้วนเข้ายึดเมืองและดินแดน นอกจากนี้ พวกเขาไม่เพียงแต่ยึดครองเมืองหลีหั่วเท่านั้น ไฟสงครามยังส่งผลกระทบต่อตำหนักสำนึกสวรรค์ที่อยู่ใกล้เคียงอีกด้วย
ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ตำหนักสำนึกสวรรค์ที่มีอำนาจทัดเทียมกับนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิบ ได้ถูกกองทัพต่างพิภพเข้ายึดครอง นิกายถูกล้างบาง มรดกเต๋าของมันถูกทำลาย และเหตุการณ์นี้ทำให้โลกสั่นสะเทือนอย่างแท้จริง
สิ่งนี้ทำให้สถานการณ์ในแดนภวังค์ทมิฬทั้งหมดเริ่มตึงเครียด ทำให้นิกายใหญ่ทั้งหมดเริ่มเคลื่อนไหวหลังจากได้ทราบข่าว พวกเขาเริ่มขยายอาณาเขตของตนโดยไม่มีการยับยั้ง รับสมัครศิษย์จำนวนมาก หรือปิดประตูนิกายของตนและปลีกวิเวกเข้าสู่ภูเขาลึก
ในขณะเดียวกัน กองกำลังและนิกายขนาดเล็กเหล่านั้นรู้ว่าพวกเขานั้นไร้พลังที่จะต่อต้านกองทัพเผ่าพันธุ์ต่างพิภพ ดังนั้นพวกเขาจึงขอความคุ้มครองจากนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิบ และนิกายอสูรทั้งหก
สรุปแล้วแดนภวังค์ทมิฬกำลังอยู่ในช่วงโกลาหล กองกำลังต่างหลบหนีและเคลื่อนไหวไปทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬ ในขณะที่การต่อสู้อันน่าสยดสยองก็สามารถพบเห็นได้ทุกที่ ทำให้โลกปกคลุมไปด้วยฝนเลือดและสายลมที่พัดกระหน่ำ
ในสถานการณ์ที่พายุกำลังใกล้เข้ามา ผู้ยิ่งใหญ่ในภพเซียนไม่อาจนิ่งเฉยได้ เนื่องจากแดนภวังค์ทมิฬเป็นโลกใบใหญ่ที่อยู่ใกล้กับภพเซียนมากที่สุด ดังนั้นเมื่อมันล่มสลาย ก็จะนำมาซึ่งภัยคุกคามต่อภพเซียนจนมิอาจคาดเดา!
ดังนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา มหาอำนาจทั้งหมด เช่น นิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิบและนิกายอสูรทั้งหก ต่างยินดีต้อนรับทูตเซียนจากนิกายของตน
ตัวอย่างเช่น เหมยลั่วเซียว อวี๋จงเสียและคนอื่น ๆ เป็นทูตจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในภพเซียน
ในเวลานี้ เฉินซีก็ได้เข้าใจทุกอย่างในที่สุด จากนั้นคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันแน่นอย่างช่วยไม่ได้ ชายหนุ่มไม่เคยคิดเลยว่าในเวลาเพียงหนึ่งปี สถานการณ์ในแดนภวังค์ทมิฬจะเลวร้ายถึงเพียงนี้
ถ้าเขาจำไม่ผิด พื้นที่ในรัศมีสองหมื่นห้าพันลี้รอบเมืองหลีหั่วที่ถูกครอบครองโดยจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จากต่างพิภพทั้งเก้า คือสถานที่ที่ตนหลบหนีจากนรกขุมที่เก้า!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หัวใจของเขาก็ดิ่งวูบ เพราะเมื่อนานมาแล้ว ในขณะที่เขายังอยู่ในนรกขุมที่เก้า ตัวเขาทราบอย่างชัดเจนว่า เหตุผลที่ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเหล่านั้นได้ทะลวงผ่านกำแพงมิติและโจมตีนรกขุมที่เก้า เพื่อทำให้นรกขุมที่เก้าเป็นฐานที่มั่น เพื่อที่พวกมันจะได้เตรียมการปิดล้อมแดนภวังค์ทมิฬทั้งหมด!
เพราะแม้แต่กฎแห่งเต๋าสวรรค์ก็ไม่มีอยู่ในนรกขุมที่เก้า ดังนั้นมันจึงเป็นสถานที่ยอดเยี่ยมในการซ่อนตัวสำหรับเผ่าพันธุ์ต่างพิภพ และตอนนี้ดูเหมือนว่าเผ่าพันธุ์ต่างพิภพจะบรรลุเป้าหมายอย่างเห็นได้ชัด!
“ว่าแต่ท่านประมุข ตำหนักสำนึกสวรรค์ถูกทำลายแล้วจริง ๆ หรือ?” เฉินซีคิดถึงซูชิงเยียน หญิงงามไร้ที่เปรียบจากราชวงศ์ซ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขา และนางก็ได้เข้าร่วมกับตำหนักสำนึกสวรรค์
เวินหัวถิงถอนหายใจ “ฐานที่มั่นของมันได้ถูกทำลายแล้ว แม้ว่าหลายคนจะโชคดีพอจะหลบหนีได้ แต่ไม่มีทางที่ตำหนักสำนึกสวรรค์จะฟื้นฟูความรุ่งโรจน์เช่นในอดีตขึ้นมาใหม่”
กองกำลังของตำหนักสำนึกสวรรค์อยู่ในระดับเดียวกับนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง แต่ยักษ์ใหญ่ดังกล่าวได้ถูกทำลายล้างในหนึ่งเดือน จึงทำให้เวินหัวถิงซึ่งเป็นประมุขของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองรู้สึกกดดันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“เมื่อสวรรค์แสดงจิตสังหาร ดวงดาวย่อมเคลื่อนคล้อย เมื่อโลกแสดงจิตสังหาร มังกรและอสรพิษจะโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน และเมื่อมนุษย์แสดงจิตสังหาร โลกจะพลิกกลับตาลปัตร เป็นเพียงเหตุการณ์เล็ก ๆ แดนภวังค์ทมิฬจะไม่เข้าสู่ความโกลาหลครั้งใหญ่ในตอนนี้ แต่เมื่อเต๋าแห่งสวรรค์เปลี่ยนแปลงไป มันจะเป็นลางบอกเหตุของความโกลาหลครั้งใหญ่อย่างแท้จริง” ทันใดนั้น เสียงของหม้อใบจิ๋วได้ดังขึ้นในหูของเฉินซี