บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 881 บรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพี
บทที่ 881 บรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพี
บทที่ 881 บรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพี
แสงทองแห่งพลังธรรมเทพปกคลุมผืนฟ้าและแผ่นดิน จนย้อมโลกให้กลายเป็นสีทอง
ท่ามกลางฉากที่กว้างใหญ่และเจิดจรัสนี้ สายฟ้าลงทัณฑ์ระลอกสุดท้ายที่อยู่ในเมฆลงทัณฑ์ได้ควบแน่นเป็นรูปเป็นร่าง มันทั้งเก่าแก่ เรียบง่าย และยังให้ความรู้สึกยับยั้งชั่งใจที่ล้ำลึก
มันเป็นเพียงสายฟ้าลงทัณฑ์ แต่กลับเปล่งพลังของสวรรค์อันน่าสะพรึงกลัวออกมา เป็นกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่อาจล่วงเกินได้!
ฟิ้ว!
สายฟ้าลงทัณฑ์ยังไม่ได้ฟาดลงมา แต่พลังที่วูบวาบอยู่ภายในนั้นกลับทำลายบริเวณโดยรอบ จนทำให้เกิดพื้นที่สุญญากาศขึ้น!
แต่เมื่อกลิ่นอายนี้สัมผัสกับแสงทองแห่งพลังธรรมเทพที่มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง แม้ว่าอานุภาพของมันจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่อำนาจสังหารและทำลายล้างของมันก็ลดลงไปอย่างมาก ทำให้มันทั้งบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่
การเปลี่ยนแปลงนี้ดูเหมือนจะเล็กน้อย แต่มันกลับทำให้สายฟ้าลงทัณฑ์สูญเสียอำนาจในการพิพากษาไป!
เฉินซีถูกปกคลุมแสงทองแห่งพลังธรรมเทพ และเมื่อเห็นฉากนี้ ริมฝีปากของเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน “นึกไว้ไม่ผิด หากข้าไม่ใช้เคล็ดวิชาธรรมเทพไร้ขอบเขต สายฟ้าลงทัณฑ์ระลอกสุดท้ายนี้จะสะสมพลังจนถึงขีดสุด และจะกลายเป็นสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งการพิพากษาที่มีอำนาจทำลายล้างโลกอย่างแน่นอน!”
“ไม่ว่าการบ่มเพาะของข้าในเวลานั้นจะท้าทายสวรรค์อย่างไรก็ตาม แม้ว่าข้าจะบรรลุขอบเขตเซียนทองคำแล้ว ข้าก็ไม่อาจหลบหนีความตายได้”
โชคดีที่ต้นกล้านี้ถูกกำจัดก่อนที่มันจะเติบโต
ชู่ว!
ในชั่วพริบตาต่อมา เสื้อผ้าของเฉินซีกระพือพัดขณะที่เขาทะยานออกไป จากนั้นชายหนุ่มก็เหยียดแขนออก ร่างของเขาเปล่งประกายแสงสีทอง และอักขระยันต์มากมายได้ระเบิดมาจากร่างชายหนุ่ม
อักขระยันต์เหล่านี้มีทั้งอยู่ในรูปแบบของโครงสร้างอักขระยันต์ สัญลักษณ์หรือค่ายกล และประกอบด้วยความลึกล้ำของมหาเต๋าแห่งเบญจธาตุ หยินหยาง ดารา อัสนี วายุ และอื่น ๆ ซึ่งพวกมันเป็นเหมือนกงล้อศักดิ์สิทธิ์ที่หมุนรอบตัวเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อมองจากระยะไกล ดูเหมือนชายหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นมหาสมุทรแห่งอักขระยันต์ อักขระยันต์ที่ลึกล้ำและหนาแน่นโบยบินไปรอบ ๆ ในขณะที่ขบวนแถวของพวกมันก็เคลื่อนผ่านท้องฟ้า ราวกับพวกมันกำลังอนุมานถึงความลึกล้ำอันไร้ขอบเขตของเต๋าแห่งสวรรค์
ในเวลานี้เอง สายฟ้าลงทัณฑ์ระลอกสุดท้ายได้ฟาดลงมาจากเมฆลงทัณฑ์พอดิบพอดี!
ทันใดนั้น เสียงฟ้าร้องที่สั่นสะเทือนไปถึงสวรรค์ทั้งเก้าและก้องกังวานไปถึงนรกก็ดังสนั่นไปทั่วทั้งโลกา จนสั่นคลอนภูเขาและทำให้ก้อนหินแตกเป็นเสี่ยง ๆ ต้นไม้แตกเป็นเศษเล็กชิ้นน้อย และหัวใจของผู้บ่มเพาะมากมายก็รู้สึกเหมือนถูกค้อนขนาดใหญ่ฟาดอย่างรุนแรง ทำให้ร่างกายของพวกเขาไม่สามารถหยุดสั่นไหวได้
สายฟ้าลงทัณฑ์ระลอกสุดท้ายนี้น่ากลัวมาก จนทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน และสีหน้าของทุกคนซีดเซียว
แต่เมื่อสายฟ้าลงทัณฑ์ฟาดลงมายังมหาสมุทรของอักขระยันต์ที่เฉินซีก่อขึ้น มันก็เหมือนกับวัวดินลงทะเลคือเพียงเกิดวงคลื่น จากนั้นอำนาจทำลายล้างของมันก็ถูกสลายโดยอักขระยันต์ และถูกสัญลักษณ์อักขระผนึกไว้ ก่อนจะถูกกลืนกินโดยค่ายกลยันต์อักขระ ทำให้มันตกอยู่ในความเงียบงัน
เหตุการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ทำให้ทุกคนตกใจจนแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง!
ก่อนหน้านี้ เฉินซีได้ทำลายสายฟ้าลงทัณฑ์ครั้งที่แปดด้วยการฟันกระบี่เพียงครั้งเดียว
ถึงกระนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับสายฟ้าลงทัณฑ์ระลอกที่เก้า เขากลับไม่ได้ใช้กระบี่ของตนเองแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเพียงเหยียดแขนออกไป และกลายร่างเป็นอักขระยันต์นับไม่ถ้วน ก่อนที่จะปะทะกับทัณฑ์สวรรค์อย่างเปิดเผย…
ช่างเย่อหยิ่งและเอาแต่ใจเสียจริง!
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดก็คือ สายฟ้าลงทัณฑ์ครั้งสุดท้ายดูเหมือนกระแสน้ำที่ไหลกลับคืนสู่มหาสมุทร มันไม่ได้สร้างอันตรายใด ๆ ต่อเฉินซี ก่อนที่จะหายตัวไปอย่างไร้สุ้มเสียง!
ทุกคนต่างอึ้งจนพูดไม่ออกเป็นเวลานาน เพราะไม่ว่าจะพวกเขาเค้นสมองคิดสักเพียงใด ทุกคนก็ไม่เข้าใจว่าเฉินซีทำทั้งหมดนี้ได้อย่างไร
สิ่งนี้สอดคล้องกับคำโบราณที่ว่า ผู้คนต่างอุทานด้วยความชื่นชมเมื่อเห็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่คนคนหนึ่งได้รับ แต่จะมีใครรู้บ้างว่าเขาต้องทุ่มเทและตรากตรำเพียงใด จึงจะบรรลุสิ่งนี้ได้?
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เมฆลงทัณฑ์ก็สลายไป เผยให้เห็นท้องฟ้าที่สดใส และท้องฟ้ายามราตรีที่มืดมิดไร้ขอบเขตก็เคลื่อนตัวออกไปดั่งอาชาฝีเท้าดี
ทุกสิ่งในโลกกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
การพิชิตทัณฑ์สวรรค์อัสนีครามเพื่อบรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพีของเฉินซี ถูกรูดม่านปิดฉากลงเช่นนี้ และไม่สามารถมองเห็นร่างของเขาบนท้องฟ้าได้อีกต่อไป
แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องลงมาพร้อมสายลมเย็นสดชื่นที่พัดโชยมาอย่างแผ่วเบา
ทุกคนจ้องมองอย่างว่างเปล่าเป็นเวลานาน ก่อนจะตื่นขึ้นจากความฝัน พวกเขากลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง สีหน้าที่ตกใจของทุกคนค่อย ๆ เผยให้เห็นถึงความตื่นเต้นเล็กน้อย
“เขาทำสำเร็จ!”
“ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก! วิธีพิชิตทัณฑ์เช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน! และอาจไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถรับมือกับทัณฑ์สวรรค์ได้เหมือนกับผู้อาวุโสเฉินซี!”
“ใช่แล้ว! เหตุการณ์เมื่อครู่ทำเอาข้าหวาดกลัวจนแทบบ้า ข้าสงสัยว่าผู้อาวุโสเฉินซีทำสำเร็จได้อย่างไร เหตุใดเขาถึงแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้”
“พวกเจ้าทุกคนคุยกันต่อไปเถิด ข้าจะเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ เพราะข้าได้รู้แจ้งจากการพิชิตทัณฑ์สวรรค์ครั้งนี้ และข้าต้องใช้สมาธิเพื่อทำความเข้าใจมันสักระยะหนึ่ง บางทีข้าอาจจะทะลวงไปสู่อีกขอบเขตก็เป็นได้”
ยอดเขาจรัสตะวันตกในเวลานี้เต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครม ในขณะที่ทุกคนพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา และเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่พวกเขาได้เห็น ทุกคนก็พากันอุทานด้วยความชื่นชม
“ในเมื่อเฉินซีเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ ดังนั้นเราก็ควรกลับเช่นกัน อย่าได้รบกวนการบ่มเพาะของเขาเลย” เวินหัวถิงออกคำสั่ง
“ใช่แล้ว เขาเพิ่งบรรลุขอบเขตเซียนปฐพี และความแข็งแกร่งของเขาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีเพียงบ่มเพาะอย่างมีสมาธิเท่านั้น จึงสามารถเข้าใจแก่นแท้ที่ลึกล้ำของขอบเขตเซียนปฐพีได้”
เลี่ยเผิงและคนอื่น ๆ ต่างผงกศีรษะ พวกเขาล้วนมีประสบการณ์บรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพีมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจดีว่า การบรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพีนั้นมีความหมายต่อผู้บ่มเพาะมากปานใด
ทุกคนแยกย้ายกันไป และยอดเขาจรัสตะวันตกก็กลับคืนสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว
…
ณ โลกแห่งดารา
เฉินซีกำลังนั่งสมาธิ ในขณะที่ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยปราณเซียน
ภายในแดนฮุ่นตุ้นของเขา ดวงดาวนับไม่ถ้วนกำลังเคลื่อนคล้อยราวกับกระแสน้ำและหมุนเวียนไปในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาวอันกว้างใหญ่ ฤดูกาลทั้งสี่สลับสับเปลี่ยนกันบนโลก ในขณะที่ปราณเซียนได้เปลี่ยนรูปเป็นภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ ดอกไม้ และแม้แต่พลังงานหรือแร่ธาตุชนิดต่าง ๆ
มันไม่เหมือนแต่ก่อน เพราะมีสิ่งมีชีวิตมากมายได้ถือกำเนิดขึ้นในแดนฮุ่นตุ้นของเขา!
วิหค พยัคฆ์ เสือดาว หมี วานร มัจฉา อสรพิษ… มีสัตว์หลากหลายรูปร่างและขนาด ซึ่งพวกมันดูเหมือนจะอยู่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ แดนฮุ่นตุ้นของเขามีกาลเวลา การหมุนเวียนของมหาเต๋า และการสลับสับเปลี่ยนระหว่างทุกสิ่งในโลก
เมื่อเทียบกับแต่ก่อน แดนฮุ่นตุ้นของเขาสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น มันเคยอุดมไปด้วยพลัง แต่ปราศจากสิ่งมีชีวิต ทำให้มันสงบสุขเหมือนสรวงสวรรค์ของเซียน
แต่ในขณะนี้ได้มีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ ทำให้โลกทั้งใบมีความหมายสำหรับการดำรงอยู่!
“เปิดโลกกว้าง และตีความสรรพสิ่งในโลก โลกสลับหมุนเวียนไปตามใจข้า!” จิตสำนึกของเฉินซีได้แทรกซึมไปทั่วทั้งแดนฮุ่นตุ้น เหมือนกับจ้าวแห่งการรังสรรค์สุงสูดที่มองลงมายังผลงานชิ้นเอก ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเลือดเนื้อเขา และสามารถควบคุมทุกสิ่งได้ตามใจปรารถนา
ในชั่วพริบตาต่อมา แดนฮุ่นตุ้นทั้งหมดเริ่มหมุนเวียนภายใต้การควบคุมของเขา ทำให้อักขระยันต์ที่หนาแน่นสั่นไหวซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสภาพแวดล้อมของโลก และในขณะที่มันหมุนเวียน มันก็สร้างกระแสพลังพิภพที่แข็งแกร่งขึ้น
ครืน!
แดนฮุ่นตุ้นเกิดการสั่นสะเทือน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดอีกครั้ง ปราณเซียนไหลเวียน เมฆสีดอกกุหลาบลอยขึ้น ภูเขาผุดขึ้นมาบนโลก ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ขึ้นลงสลับกัน และทุกสิ่งในโลกอาบไล้ด้วยปราณเซียนมากมาย
มันคือปราณเซียนแท้จริงที่แก่นแท้ของเขาได้เปลี่ยนสภาพไป และปริมาณของมันก็น้อยกว่าเมื่อก่อนหลายพันเท่า แต่คุณภาพกับอำนาจ…กลับเพิ่มขึ้นในทำนองเดียวกันหลายพันเท่า!!
ยิ่งไปกว่านั้น ต้นอ่อนเงาทมิฬที่อยู่ใจกลางแดนฮุ่นตุ้นก็ได้ปลดปล่อยปราณเซียนออกมาไม่หยุด เขาแค่ต้องบ่มเพาะไปทีละขั้น และปราณเซียนก็จะสะสมอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการไปถึงจุดที่ตัวเขาเคยครอบครองอยู่ จึงไม่ใช่เรื่องยากเลย
นี่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นภายในโลกของแดนฮุ่นต้น
หากชายหนุ่มดูโดยรวมแล้ว แดนฮุ่นตุ้นของเขาขยายตัวมากกว่าเดิมถึงสิบเท่า และมันก็เหมือนกับโลกเล็ก ๆ ที่กลายเป็นโลกใบใหญ่
หากนำแดนฮุ่นตุ้นของชายหนุ่มมาเปรียบเทียบกับเซียนปฐพีคนอื่น ๆ มันจะทำให้พวกเขาตกใจอ้าปากค้างจนขากรรไกรแทบหล่นลงถึงพื้น ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่มีเหตุผลอื่น เพราะแดนฮุ่นตุ้นของชายหนุ่มใหญ่โตเกินไป …ขนาดของมันยิ่งกว่าคนที่มีการบ่มเพาะในขอบเขตเดียวกันถึงร้อยเท่า!
สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการสะสมของเฉินซีนั้นลึกล้ำเพียงใด
ปัจจุบัน แดนฮุ่นตุ้นของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหนึ่งบางคนมีรัศมีเพียงสองร้อยห้าสิบลี้ ถึงแม้จะเป็นลูกหลานของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จิ้งจอกเก้าหางอย่างเสวี่ยเหยียน แต่แดนฮุ่นตุ้นของนางก็มีรัศมีเพียงสองพันห้าร้อยลี้เท่านั้น และไม่อาจเทียบกับเฉินซีได้อย่างสิ้นเชิง
ขอบเขตเซียนปฐพีแบ่งออกเป็นเก้าระดับ การบรรลุสู่ระดับที่หนึ่ง เปรียบเสมือนก้าวสำคัญของการเปลี่ยนแปลงจากมนุษย์ไปสู่ความเป็นเซียน ซึ่งไม่อาจถูกจัดอันดับในหมู่ผู้บ่มเพาะอีกต่อไป และความหมายของมันก็ยิ่งใหญ่จนเกินจินตนาการของผู้บ่มเพาะอย่างแน่นอน
การที่บรรลุสู่ขอบเขตนี้ได้หมายความว่าคนผู้หนึ่งมีพรสวรรค์พอที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็นเซียนสวรรค์ และไม่ว่าจะเป็นพลัง ปราณเซียน ญาณเทวะอมตะ หรืออายุขัย สิ่งเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง หลังจากที่ผู้เยี่ยมยุทธ์สามารถพิชิตทัณฑ์สวรรค์ได้ทุกครั้ง!
“ช่างวิเศษอะไรอย่างนี้! นี่เป็นความล้ำลึกของขอบเขตเซียนปฐพีหรือ?” เฉินซีสังเกตเห็นว่าความล้ำลึกของมหาเต๋าทั้งหมดที่เขาได้รู้แจ้งนั้นดูจะได้รับการชำระล้าง พวกมันยิ่งควบแน่นมากขึ้น และเปล่งประกายด้วยกลิ่นอายแห่งสวรรค์ออกมา
เขารู้ดีว่าทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าระลอกที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีต้องประสบนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่การขัดเกลาปราณเซียน จิตวิญญาณ และอายุขัยของผู้เยี่ยมยุทธ์เท่านั้น แต่มันยังมีประโยชน์มากมายมหาศาลต่อความล้ำลึกของมหาเต๋าที่ผู้เยี่ยมยุทธ์รู้แจ้งด้วย
เช่นเดียวกับตอนนี้ ชายหนุ่มสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ความล้ำลึกของมหาเต๋าของเขาเริ่มควบแน่นและเปล่งประกาย ซึ่งดูเหมือนว่าพวกมันกำลังอยู่ในขั้นตอนของการก่อรูปร่าง
เมื่อความลึกล้ำของมหาเต๋านี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนมีตัวตนที่จับต้องได้ พวกมันจะไม่ถูกเรียกว่าเต๋ารู้แจ้ง แต่จะเรียกว่ากฎ!
“เมื่อครั้งที่ข้ายังเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา ข้าสามารถสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้าได้ ตอนนี้ข้าได้บรรลุขอบเขตเซียนปฐพีแล้ว ข้าสงสัยว่าข้าจะเอาชนะคู่ต่อสู้ระดับใดได้กัน…?” เฉินซีกำหมัดแน่น ในขณะที่ความแน่วแน่แวบผ่านเข้ามาในดวงตาของชายนุ่ม
ชายหนุ่มรู้ว่าช่องว่างระหว่างตนเองกับปิงซื่อเทียนถูกดึงเข้ามาใกล้กันมากขึ้น และหากตัวเขาสงบใจบ่มเพาะต่อไป ช่องว่างนี้จะเล็กลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งแซงหน้าปิงซื่อเทียนไปโดยสิ้นเชิง!
“เมื่อข้าควบคุมการบ่มเพาะของข้าได้อย่างสมบูรณ์ ข้าจะเข้าไปในถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตอีกครั้ง และข้าจะออกเดินทางไปที่ตระกูลไป๋เมื่อท่านน้าไป๋ได้กลับมาแล้ว…” เฉินซีครุ่นคิดเงียบ ๆ เป็นเวลานาน จากนั้นเขาจึงหายใจเข้าลึก ๆ และหยุดคิดก่อนจะรวบรวมสมาธิ
เขาเพิ่งบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีได้ไม่นาน ดังนั้นชายหนุ่มจึงต้องทำความคุ้นเคยกับพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันนี้ เพราะเมื่อนั้นเขาจึงจะสามารถใช้พลังนี้ได้อย่างสมบูรณ์!
…
ณ ภูเขากระแสสวรรค์
นี่คือสถานที่ที่หนึ่งในนิกายเซียนอันยิ่งใหญ่ นิกายวิถีกระแสสวรรค์ตั้งรกรากอยู่มาตั้งแต่ยุคบรรพกาลจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมรดกเต๋าของมันยังคงเป็นนิรันดร์และรุ่งเรือง โดยมันในตอนนี้ได้ครอบครองตำแหน่งสูงสุดและครอบครองกองกำลังมหึมาในบรรดานิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิบอย่างมั่นคง
ฟิ้ว!
ในวันนี้ แผ่นหยกได้พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติจำนวนมาก เพื่อไปยังยอดเขาเซียนนภาที่อยู่บนภูเขากระแสสวรรค์
“ธรรมเทพไร้ขอบเขต เต๋ารู้แจ้งแห่งกระบี่รังสรรค์ บรรลุขอบเขตเซียนปฐพี… จะเกิดเรื่องบังเอิญเช่นนี้ได้อย่างไร? ดวงดาวที่ปรากฏในเวลากลางวัน คือวันที่เจ้าเด็กนั่นได้พิชิตทัณฑ์สวรรค์เพื่อกลายเป็นเซียนปฐพี ต้องมีเงื่อนงำบางอย่างอยู่ในเรื่องนี้แน่”
ปิงซื่อเทียนที่สวมเสื้อผ้าสีเขียว เส้นผมเคลียบ่า เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาและเงียบสงบ ขณะค่อย ๆ วางแผ่นหยกในมือลง แววอำมหิตได้ฉายชัดอยู่ที่หว่างคิ้วของเขา
เขาลุกยืน และเดินไปมาอยู่ในห้องโถงที่ว่างเปล่าโดยเอามือไพล่หลังไว้ ซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จู่ ๆ เขาก็หยุดเคลื่อนไหว เงาเย็นยะเยือกพลันวาบผ่านใบหน้าอันหล่อเหลา และเขาก็พึมพำว่า “ซิ่วอี้ ยิ่งเจ้าเด็กนี้แข็งแกร่งมากเท่าใด ความสำเร็จก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้นกระมัง? เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจะเข้าใจอย่างแน่นอนว่าใครในโลกนี้คู่ควรกับเจ้า!”
ในฝ่ามือของเขา แผ่นหยกค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นธุลี และลอยละล่องออกมาจากระหว่างนิ้ว ราวกับพิสูจน์ว่าสภาพจิตใจในปัจจุบันของปิงซื่อเทียนไม่ได้สงบอย่างที่เห็นภายนอก!