บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 884 การต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่ว
บทที่ 884 การต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่ว
บทที่ 884 การต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่ว
ชายในอาภรณ์สีดำจู่โจมอย่างกะทันหัน นิ้วของเขาประหนึ่งกระบี่ห้าเล่มที่รุนแรงและปราดเปรียวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ อีกทั้งพวกมันยังถูกปกคลุมด้วยรัศมีสีดำสนิทที่เยียบเย็น และมีกลิ่นอายที่ชั่วร้าย ราวกับตะขอจากขุมนรกหมายมั่นจะกลืนกินเฉินซีด้วยแรงผลักดันที่น่าสะพรึง
เฉินซีในตอนนี้ถูกกักขังและไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ แม้ว่าเขาจะฟื้นฟูพลังฝีมือจนถึงจุดสูงสุด แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีนี้ได้อย่างเต็มที่อยู่ดี!
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก พลังทำลายของกรงเล็บนี้ไม่ต่างอะไรกับอำนาจยามเหลียงปิงสำแดงพลัง ซึ่งอยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับ และมันน่ากลัวยิ่งกว่านั้นเสียอีก!
ม่านตาของเฉินซีหดลงทันที แต่เขาไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวใด ๆ ชายหนุ่มกลับดูสงบนิ่งเป็นอย่างมากแทน ราวกับคาดไว้แล้วว่าชายคนนั้นจะโจมตีอย่างโหดเหี้ยมในทันใด
แม้ว่าทุกอย่างนี้ราวกับจะเกิดขึ้นอย่างยาวนาน แต่ทั้งหมดกลับเกิดขึ้นในชั่วพริบตา และความเร็วของมันก็ไม่สามารถวัดได้ด้วยกฎของภพมนุษย์
วูบ!
เมื่อเฉินซีกำลังจะถูกกรงเล็บเกี่ยวกระชาก ทันใดนั้น ร่างหนึ่งก็ลอยขึ้นจากภายในกลีบดอกบัวสีทองสุกใส จากนั้นมันก็ระเบิดการโจมตีนี้ออกไปอย่างง่ายดายด้วยการสะบัดแขนเสื้อ
พลังโจมตีทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง พร้อมกับระเบิดคลื่นพลังผันผวนที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งแผ่กระจายไปทั่วทั้งบริเวณโดยรอบ และมันได้ทำลายค่ายกลโบราณขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นอยู่โดยรอบจนหมด
ในเวลาเดียวกัน เฉินซีก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาเบาขึ้น เมื่อพลังยับยั้งที่ห่อหุ้มตัวหายไป ทำให้ชายหนุ่มปลิวไปตามแรงลม
“บัดซบ! ผู้ใดกัน!? ถึงบังอาจสอดมือเข้ามาในขณะที่บิดาผู้นี้กำลังจะฆ่าคน!” ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกฟุ้งกระจายอยู่ท่ามกลางอากาศ เสียงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวและความตกใจของชายในชุดสีดำดังก้องออกมา
“มารบงกช หลังจากไม่ได้พบกันมาหลายปี เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วหรือไร?” เสียงที่ชัดเจนและไพเราะดุจระฆังดังก้องกังวานออกไป ซึ่งทำให้ผู้อื่นรู้สึกแปลก ๆ ราวกับพวกเขาได้ยินท่วงทำนองที่ลึกซึ้งของมหาเต๋า
พร้อมกับเสียงนี้ ร่างสูงใหญ่ได้แยกฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกออกจากกัน ก่อนปรากฏตัวต่อหน้าชายอาภรณ์สีดำ เขาสวมชุดคลุมสีเขียว มีผมยาวถึงบั้นเอว และมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา ขณะที่ใบหน้าดูผ่อนคลายและเงียบสงบ
เขาดูเป็นสุภาพบุรุษผู้ถ่อมตัวแต่อบอุ่นดุจหยก เผยให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ ไร้ที่ติ ใจกว้าง และไม่แยแส ทำให้คนอื่นอดไม่ได้ที่จะสงบนิ่งเมื่อได้สบตา
นอกจากจะมีลักษณะที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับชายหนุ่มที่สวมอาภรณ์สีดำแล้ว รูปร่างหน้าตาของพวกเขาก็เหมือนกันทุกประการ เพราะมันคือเต๋าบงกช!
ก่อนหน้านี้ เหตุผลที่เฉินซีเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหยิบกลีบดอกบัวสีทองที่บันทึกสัจธรรมสวรรค์ออกมานั้น เพราะชายหนุ่มสังเกตเห็นการมีอยู่ของเต๋าบงกชแล้ว
เมื่อตอนนี้เห็นเต๋าบงกชได้ปรากฏตัวในที่สุด เฉินซีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนที่ความรู้สึกซับซ้อนจะเกิดในใจของเขาอย่างช่วยไม่ได้ ‘ข้าได้รับกลีบดอกบัวสีทองมาเมื่อหลายปีก่อน แต่ข้าไม่เคยสังเกตเห็นการมีอยู่ของเต๋าบงกชเลยสักครั้ง’
หากเขาไม่ได้ถูกบังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไร้ความหวังซึ่งเกี่ยวข้องกับเต๋าบงกช ชายหนุ่มคงไม่มีทางได้รู้ว่ามีการดำรงอยู่ที่น่ากลัวเช่นนี้นอกจากหม้อใบจิ๋ว
“เต๋าบงกช! ที่แท้ก็เป็นเจ้า!” สีหน้าของชายในอาภรณ์สีดำเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเมื่อเห็นเต๋าบงกช ดวงตาที่เย็นชาและชั่วร้ายของเขาอดไม่ได้ที่จะพลุ่งพล่านด้วยความแค้นและความเกลียดชังที่หนาแน่น
มันเหมือนกับศัตรูคู่อาฆาตที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกได้มาพบกันอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม แม้เสียงจะยังไม่เลือนหายไปในอากาศ ร่างของอีกฝ่ายกลับสว่างวาบ ก่อนที่จะหายวับไปในอากาศ ซึ่งรวดเร็วราวกับเป็นฝันร้ายที่ผ่านไป และแม้แต่ความคิดของเฉินซีก็ไม่สามารถตามทันความเร็วนี้ได้!
“ฮ่า ๆ! เข้ามาเลยเต๋าบงกช! ข้าอยู่ที่ชั้นที่เก้าสิบเก้า ถ้าเจ้าแน่จริงก็เข้ามาเลย!” ในขณะนี้ เสียงของชายในอาภรณ์สีดำดังขึ้นในอากาศ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าความเร็วของอีกฝ่ายนั้นรวดเร็วเพียงใด
“หลังจากผ่านไปหลายปี สิ่งที่ควรจัดการจะต้องได้รับการสะสางในที่สุด ใช่หรือไม่?” เต๋าบงกชยืนเอามือไพล่หลังไว้ ในขณะที่เขาพึมพำกับตนเอง และไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังคุยกับเฉินซีหรือมารบงกชที่จากไปเมื่อนานมาแล้วกันแน่
เฉินซีรู้สึกได้เล็กน้อยจากเหตุการณ์นี้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเต๋าบงกชกับมารบงกชนั้นไม่ธรรมดาเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างศัตรูทั่วไป มันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนพวกเขาเป็นฝาแฝดที่มีนิสัยต่างกันโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนพวกเขาไม่ต้องการสิ่งอื่นใดนอกไปจากการฆ่าล้างอีกฝ่าย และนั่นทำให้มันแปลกมาก
วูบ!
แต่ก่อนที่เฉินซีจะทันได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เต๋าบงกชได้สะบัดแขนเสื้อ แล้วพาเฉินซีหายไปทันที
…
ณ ชั้นที่เก้าสิบเก้าของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต
สถานที่แห่งนี้ว่างเปล่ามาก อีกทั้งยังเต็มไปด้วยหินหลอมเหลวที่เดือดพล่านและลุกโชน เปลวเพลิงโหมกระพือ ในขณะที่คลื่นความร้อนสีขาวพวยพุ่งขึ้นมา แผดเผาอากาศและท้องฟ้าเสียจนบิดเบี้ยว
ณ ใจกลางทะเลหินหลอมเหลว มีดอกบัวขนาดใหญ่ที่บานสะพรั่ง มันมีสีแดงเข้มดุจโลหิตซึ่งดูงดงามเป็นพิเศษ ยิ่งกว่านั้น มันยังแผ่กลิ่นอายที่รุนแรงและชั่วร้ายออกมา
มีกระบี่เล่มหนึ่งปักอยู่ที่ใจกลางดอกบัวสีโลหิตที่งดงามนี้ กระบี่เล่มนี้มีความยาวมากกว่าสี่จั้งและดูเหมือนง้าวสั้น ถูกปกคลุมด้วยแสงสีแดงเข้ม ทำให้มันดูเหมือนว่ามีโลหิตสด ๆ กำลังไหลลงมาจากคมกระบี่
คมของกระบี่เล่มนี้งดงามมาก และมันเหมือนกับดอกบัวที่บานเป็นชั้น ๆ ความกว้างของคมกระบี่มีขนาดเท่ากับฝ่ามือ มันเรียบเนียนเหมือนน้ำ อีกทั้งยังเปล่งประกายด้วยรัศมีที่ดุร้ายและน่าสยดสยองอย่างยิ่ง
เมื่อเฉินซีจ้องมองอย่างระมัดระวัง เขาก็พบว่าบนใบมีดสีแดงโลหิต มันได้ถูกประทับตราด้วยดอกบัวที่เรียบง่าย ซึ่งทุกดอกล้วนเปล่งประกายด้วยแสงอันเป็นมงคลออกมา
โดยลำแสงมงคลนี้ได้เปลี่ยนร่างเป็นชายชราที่กำลังอ่านคัมภีร์อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นร่างเป็นหญิงสาวที่กำลังร่ายรำอย่างสง่างาม และทันใดนั้นก็กลายเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยพลังที่กำลังแสดงเคล็ดวิชากระบี่ ซึ่งมีท่วงท่าและการเคลื่อนไหวที่หลากหลาย ทำให้ดูน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
ทะเลหินหลอมเหลวสีแดงเข้ม มารบงกช กระบี่สีแดงโลหิต โลกของดอกบัวอันไร้ขอบเขตซึ่งก่อตัวขึ้นบนตัวกระบี่… ฉากเหล่านี้น่าตื่นตาตื่นใจมาก จนเฉินซียังตกใจกับสิ่งเหล่านี้ทันทีที่เขามาถึงที่นี่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นกระบี่ที่ปักอยู่ตรงกลางดอกบัวสีแดงครั้งแรก เฉินซีรู้สึกราวกับว่าอยู่ในสมรภูมินองเลือดที่กว้างใหญ่ทันที สายฝนโลหิตโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า และพื้นดินก็เต็มไปด้วยแอ่งโลหิตจำนวนมาก กอปรกับกลิ่นอายที่น่าสยดสยองและกระหายเลือดก็แผ่ซ่านออกมาจากมัน ซึ่งแท้จริงแล้วมันเกือบสั่นคลอนดวงจิตแห่งเต๋าของเขาจนถึงจุดที่พังทลาย!
ถึงอย่างไร พลังดวงใจในปัจจุบันของชายหนุ่มได้บรรลุถึงขอบเขตวิญญาณดวงใจแล้ว! และเป็นการยากที่ผู้บ่มเพาะทั่วไปจะมาถึงจุดนี้ แต่เพียงเหลือบมองกระบี่สีแดงโลหิตนี้เพียงแวบเดียว กลับทำให้เขารู้สึกทรมานจากผลข้างเคียง และสิ่งนี้แสดงให้เห็นได้อย่างแน่ชัดว่ากระบี่เล่มนี้มีพลังที่ยิ่งใหญ่เพียงใด
“มารบงกช ข้ามาตามที่เจ้าร้องขอแล้ว” เต๋าบงกชกล่าวอย่างเฉยเมย ในขณะที่เขามองไปยังดอกบัวสีแดงโลหิตที่ตั้งอยู่ใจกลางทะเลหินหลอมเหลวจากระยะไกล
ฟิ้ว!
ควันสีดำสนิทและหนาแน่นพวยพุ่งออกมาจากดอกบัวสีแดงโลหิต จากนั้นมันก็เผยให้เห็นชายหนุ่มในอาภรณ์สีดำที่มีผมสีแดงดั่งเลือด
แต่กลิ่นอายของอีกฝ่ายในเวลานี้กลับมีพลังมากขึ้น และทั่วทั้งร่างของคนผู้นี้ก็ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงสีดำอันน่าสะพรึงกลัวที่เผาไหม้อย่างรุนแรง ทำให้ดูเหมือนอวตารแห่งความชั่วร้ายที่เกิดจากเปลวเพลิงปีศาจ นอกจากนี้ เจ้าตัวยังแผ่กลิ่นอายแห่งการทำลายล้างที่ทั้งโหดเหี้ยมและไร้ความปรานีออกมา
“ฮ่า ๆๆ! พี่ชายที่แสนดีของข้า! นี่มันกี่ปีแล้ว? ในที่สุดเจ้าก็เต็มใจมาเยี่ยมข้า!” มารบงกชระเบิดเสียงหัวเราะ ในขณะที่ผมสีแดงโลหิตพลิ้วสะบัด ทว่าน้ำเสียงของเขากลับแฝงด้วยความไม่พอใจและความเกลียดชัง “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าขัดขวางข้าเมื่อหลายปีก่อน ข้าคงทำลายล้างเหล่าทวยเทพที่ปกครองสวรรค์ไปหมดแล้ว แล้วข้าจะมาตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชเช่นนี้ได้อย่างไร? ข้าถูกกักขังอยู่ที่นี่มาเนิ่นนานนับไม่ถ้วน ไม่อาจอยู่หรือตายได้ เจ้า…ช่างไร้ความปรานีอะไรเช่นนี้”
…ช่างไร้ความปรานีอะไรเช่นนี้!
…ช่างไร้ความปรานีอะไรเช่นนี้!!
คำพูดเหล่านี้เป็นเหมือนเสียงฟ้าร้องที่ดังก้องกังวานอยู่ภายในชั้นที่เก้าสิบเก้าของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต และสั่นสะเทือนจิตวิญญาณของเฉินซี ทำให้จิตใจของเขาหดหู่ หน้าอกปั่นป่วน พลังชีวิตแทบจะตกอยู่ในความวุ่นวาย
สิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจ เพราะแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับ ก็ดูจะไม่มีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้
“ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้” สีหน้าของเต๋าบงกชยังคงไม่แยแส แต่ดวงตาที่ลึกล้ำและไม่แยแสของเขากลับเผยให้เห็นถึงความเศร้าโศก ราวกับกำลังหวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
“ช่วยข้าน่ะหรือ?” มารบงกชคำรามด้วยเสียงหัวเราะอีกครั้ง และผมสีแดงดั่งโลหิตของเจ้าตัวก็พลิ้วไหวไปมา ซึ่งเผยให้เห็นถึงท่าทางที่ปราศจากการควบคุมและไร้เหตุผล ทำให้อีกฝ่ายดูเหมือนอสูรร้ายตัวฉกาจ
หลังจากนั้น มารบงกชก็หยุดหัวเราะกะทันหัน พร้อมกับสายตาที่คมกริบเหมือนกระบี่ จ้องมองไปยังเต๋าบงกชอย่างเย็นชา แล้วจึงกล่าวทีละคำว่า “เมื่อหลายปีก่อน ท่านอาจารย์ได้หยั่งถึงมหาเต๋าและขึ้นสู่จุดสูงสุดของยุคบรรพกาล ท่านอาจารย์อยู่ห่างเพียงก้าวเดียวจากการบรรลุขอบเขตในตำนานนั้น แต่ในที่สุด ท่านอาจารย์ก็ถูกเหล่าทวยเทพวางแผนร้าย และต้องมาสิ้นชีพไปพร้อมกับความเกลียดชังในใจ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ากลับไม่ได้แก้แค้นให้แก่ท่านอาจารย์ แต่ยังกักขังข้าไว้ที่นี่แทน แล้วเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงเรียกสิ่งนี้ว่าการช่วยเหลือข้า?”
“ท่านอาจารย์!”
“สิ้นชีพ!?”
ทันใดนั้นเฉินซีก็นึกขึ้นได้ว่า ตอนที่เขาได้เข้าใจสัจธรรมสวรรค์เมื่อหลายปีก่อน ชายหนุ่มได้เห็นดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลฝังรากอยู่ในโลกใต้พิภพ และทะยานขึ้นสู่สวรรค์ทั้งเก้า ยิ่งกว่านั้น เขาเห็นว่ามันสังหารสัตว์ร้ายเก้าตัวในยุคบรรพกาลก่อนจะหยั่งถึงมหาเต๋าที่ไร้ขอบเขต…
แต่เมื่อดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลลอยขึ้นจากพื้นดิน และยืนอยู่เหนือกฎแห่งมหาเต๋าเพื่อขึ้นไปยังห้วงจักรวาล จู่ ๆ มันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้กิ่งก้านของมันเสียหาย ในขณะที่กลีบของมันแตกเป็นเสี่ยง ๆ และมีเพียงกลีบเดียวที่สามารถเปลี่ยนเป็นลำแสงซึ่งสาดส่องผ่านท้องฟ้าอันไร้ขอบเขต หลบหนีจากจักรวาลเพื่อลงไปสู่ภพมนุษย์ก่อนที่มันจะหายไป
ในเวลานั้น ชั่วยามที่ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลสิ้นชีพ เฉินซีจำดวงตาคู่หนึ่งที่เปิดขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ ในห้วงจักรวาลได้อย่างชัดเจน!
ดวงตาคู่นั้นเปิดขึ้นที่ห้วงลึกของจักรวาล มันมีสีดำสนิท ลึกล้ำเก่าแก่ และดูเหมือนจะมีกระแสเวลาที่ไม่มีสิ้นสุด ไหลเวียนอยู่ภายในดวงตา
เมื่อเขานึกถึงมันในตอนนี้ เฉินซีก็ยังจำได้ว่าดวงตาเหล่านั้นน่ากลัวเพียงใด …มันดูเหมือนกับกษัตริย์ผู้สง่างามและมีอำนาจสูงสุดที่ปกครองจักรวาลได้พลันลืมตาซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่แยแส เย็นชา และน่าสยดสยองขึ้น
ในเวลานั้น ชายหนุ่มรู้อย่างชัดเจนว่า การสิ้นชีพของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลจะต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าของดวงตาคู่นั้นอย่างแน่นอน!
อีกทั้งมารบงกชยังได้กล่าวในตอนนี้ว่า ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลได้ประสบคราวเคราะห์จากแผนการร้ายของเหล่าทวยเทพ ทำให้ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลล้มเหลวทั้งที่เกือบจะประสบความสำเร็จในขั้นตอนสุดท้ายเพื่อบรรลุสู่มหาเต๋า แล้วเฉินซีจะไม่ตกใจได้อย่างไร?
“หรือเจ้าของดวงตาคู่นั้นจะเป็นหนึ่งในทวยเทพเหล่านั้น?”
เฉินซีรู้สึกประหลาดใจและงุนงง อีกทั้งรู้สึกลึก ๆ ว่าทั้งเต๋าบงกชและมารบงกชได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากส่วนหนึ่งของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล และตั้งแต่พวกเขามีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ พวกเขาอาจถือได้ว่าเป็นผู้อาวุโสที่อยู่มายาวนานยิ่ง!
“เจ้าควรรู้เอาไว้ ถึงแม้จะไม่มีแผนการร้ายของพวกเขา แต่ท่านอาจารย์ก็ต้องพบกับจุดจบในไม่ช้าก็เร็ว ไม่เช่นนั้น เจ้าคิดว่าพวกเขาจะสามารถทำร้ายท่านอาจารย์ได้หรือ?”
เต๋าบงกชขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “หากข้าไม่กักขังเจ้าไว้ที่นี่เมื่อหลายปีก่อน มรดกเต๋าของท่านอาจารย์ก็จะไม่อาจสืบทอดได้มาจนถึงทุกวันนี้ และคงจะไม่มีนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในโลกใบนี้”
“เจ้ากำลังบอกว่าการมีอยู่ของข้าจะเป็นอันตรายต่อการสืบทอดที่ท่านอาจารย์ทิ้งไว้หรือ?” มารบงกชกัดฟันและตอบคำถาม
“แล้วเจ้าคิดอย่างไรเล่า?” เต๋าบงกชถามอย่างใจเย็นด้วยน้ำเสียงใสไพเราะที่ฟังดูไม่แยแส “เจ้าสังหารเหล่าทวยเทพไปมากมายเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ท่านอาจารย์ได้จากไปแล้ว เจ้าคิดว่าจะต่อกรกับพวกเขาได้หรือ? หากข้าไม่สยบเจ้าไว้ที่นี่ เจ้าคงตายไปนานแล้ว”
“ไร้สาระ!” มารบงกชตะโกนด้วยท่าทางอาฆาต เผยความชั่วร้ายที่ดูราวราชาแห่งความมืด “ข้ารู้ว่าเจ้าหวาดกลัวศัตรูของท่านอาจารย์จนถึงขั้นจนปัญญา! ไม่มีประโยชน์อันใดที่ข้าจะต้องมาเสียเวลากับเจ้า! ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้ เหตุใดเราถึงไม่สู้ตัดสินกันเสียเลยวันนี้ และผู้ชนะจะได้ออกไป ส่วนผู้แพ้ก็ต้องตาย! ตกลงหรือไม่?”