บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 885 กระบี่เต๋าวิบัติ
บทที่ 885 กระบี่เต๋าวิบัติ
บทที่ 885 กระบี่เต๋าวิบัติ
ผู้ชนะจะได้ออกไป ส่วนผู้แพ้จะต้องตาย!
คำพูดของมารบงกชหมายความว่าคิดจะล้างความแค้นที่สั่งสมมานานนับไม่ถ้วนเสียที่นี่ตอนนี้เลย
เต๋าบงกชไม่ได้ตอบตกลง แต่เงียบไปนานก่อนเอ่ยขึ้นช้า ๆ ว่า “ข้าจะปล่อยเจ้าไปก็ได้ แต่มีเงื่อนไข”
เฉินซีชะงักไป อีกฝ่ายคิดปล่อยมารบงกชไปหรือ?
ด้วยนิสัยโหดร้ายทารุณของอีกฝ่าย เช่นนี้โลกจะไม่กลับตาลปัตรหรือไร?
ไม่ใช่เพียงเฉินซีเท่านั้น แม้กระทั่งมารบงกชเองยังชะงักไป เหมือนไม่อยากเชื่อแล้วนิ่งคิดอยู่นาน จากนั้นก็หัวเราะเสียงเย็นออกมา “พี่ชาย คนอื่นอาจไม่เข้าใจเจ้า แต่มีหรือที่ข้าจะไม่เข้าใจ? ไหนบอกมาสิว่ามีแผนอะไรอยู่!?”
เต๋าบงกชยังคงสีหน้าสงบ เหมือนไม่ได้ยินคำเสียดสีในประโยคมารบงกชแล้วกล่าวว่า “เจ้าคงอาจจะยังไม่รู้ แต่นิกายเซียนระบี่เก้าเรืองรองแห่งภพเซียนถูกทำลายลงแล้ว”
ว่าจบ เฉินซีพลันรู้สึกหนังศีรษะด้านชาด้วยความประหวั่น หากเป็นเช่นนั้นจริง แล้วเหมยลั่วเซียว อวี๋จงเสีย และคนอื่น ๆ ที่มาจากภพเซียนเล่า?
หรือจะมีใครสมรู้ร่วมคิดกระทำการบางอย่าง?
ครั้งนี้มารบงกชเงียบไปนาน ใบหน้าโหดเหี้ยมเคร่งขรึมมีสีหน้าไม่แน่นอน
“เจ้าคงเดาได้แล้วว่าศัตรูเป็นใคร” เต๋าบงกชยังคงสีหน้าเรียบเฉยไว้ เหมือนไร้อารมณ์ “หากเดาไม่ผิด สถานที่ต่อไปที่จะถูกโจมตีก็คือที่นี่”
“ไร้สาระ!” มารบงกชพลันร้องเสียงแหลม “ข้าอยู่ที่นี่จะมีใครกล้า!? ใครจะกล้ารุกล้ำสมบัติสืบทอดแห่งเต๋าที่อาจารย์ของข้าทิ้งไว้กัน?” น้ำเสียงนี้แฝงจิตสังหาร
“ตอนนี้ย่อมไม่กล้า แต่เมื่อสวรรค์และโลกตกอยู่ในกลียุคก็เป็นไปได้ว่าพวกมันจะลงมือ” เต๋าบงกชเงยหน้ามองมารบงกชจากที่ไกล “เงื่อนไขของข้าคือส่งกระบี่เต๋าวิบัติให้เฉินซีเสีย”
กระบี่เต๋าวิบัติ!
เฉินซีเหลือบมองกระบี่สีโลหิตซึ่งปักอยู่กลางดอกบัวสีเลือด ณ ใจกลางหินหลอมเหลว ในขณะที่มารบงกชยืนอยู่ข้างกระบี่นั้น
“ว่าไงนะ! เจ้าอยากให้ข้าส่งกระบี่เต๋าวิบัติให้ไอ้เด็กไร้ประโยชน์ทั้งยังอ่อนแอนี่น่ะหรือ?” มารบงกชเริ่มหงุดหงิด เขาชี้ไปทางเฉินซีด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ “เต๋าบงกช! นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือเป็นข้าที่บ้ากันแน่?”
“ข้ามอบสัจธรรมสวรรค์ให้เขาไปนานแล้ว!” เต๋าบงกชเอ่ยออกมาทีละคำ
“เจ้า…” เต๋าบงกชกัดฟันแน่นด้วยสีหน้ามืดมน สองตาจ้องมองไปทางเฉินซี เขาไม่อาจประเมินได้ว่าสหายน้อยผู้นี้มีอะไรดีถึงทำให้เต๋าบงกชยอมทำเช่นนี้
“เก็บไปคิดดูเถิด” เต๋าบงกชยังคงมีท่าทีสบายอารมณ์ อาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่เขาพบกับมารบงกชก็ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าเลย
“เก็บไปคิดบ้านเจ้าสิ!” มารบงกชคำรามเสียงน่ากลัว “มดขอบเขตเซียนปฐพีมีดีอันใดถึงจะใช้กระบี่เต๋าวิบัติได้? เช่นนั้นมันไร้ความเคารพยิ่ง! ถือเป็นการดูหมิ่น! นอกจากจะควบคุมมันไม่ได้แล้ว หากรับไปแล้ววันต่อมาก็คงถูกคนอื่นทิ้งไปแล้วกระมัง! เจ้าคิดว่าไอ้หนูขอบเขตเซียนปฐพีจะสามารถรับมือกับไอ้พวกบัดซบเหล่านั้นได้หรือ? ได้ก็บ้าแล้ว! ไม่ต้องพูดถึงเซียนปฐพีหรอก แม้กระทั่งเซียนสวรรค์หรือเซียนลึกลับยังแค่พวกขยะดี ๆ นี่เอง…”
เสียงคำรามของเขาดังก้องไปทั่วทั้งถ้ำกระบี่ชั้นที่เก้าสิบเก้าเหมือนฟ้าลั่น มันเต็มไปด้วยความโกรธและความดูหมิ่นที่มีต่อเฉินซี
ทว่าเต๋าบงกชก็ยังมีท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว เรียกให้เฉินซีเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “ฟังมาตั้งขนาดนี้ เจ้าคงเข้าใจบางอย่างแล้วใช่ไหม?”
เฉินซีพยักหน้า หลังจากนำเรื่องราวมาปะติดปะต่อกัน จากการล่มสลายของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลที่เขาได้เห็นเมื่อหลายปีก่อน ก็พอเดาออกว่ามันคือความแค้นที่ส่งต่อกันมาหลายชั่วคน ในขณะที่ศัตรูของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองคงจะเป็นตัวตนสูงส่งในสามภพเป็นแน่
แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดนิกายกระบี่เก้าเรืองรองถึงยังอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้? ถ้าว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว แม้ว่านิกายกระบี่เก้าเรืองรองในภพมนุษย์เป็นหนึ่งในสิบนิกายเซียน แต่ก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยและจัดการง่ายในสายตาของตัวตนสูงส่งในสามภพ คิดอยากทำลายก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ
แต่หลังจากนั้นในใจของเขาก็เกิดความคิดบางอย่าง นึกถึงความเป็นไปได้บางอย่างขึ้นมา เรื่องทั้งหมดนี้คงจะเกี่ยวพันกับตัวตนของเต๋าบงกชกับมารบงกช…
“กรรมในความคับแค้นครั้งนี้มีมากเกินไป ข้าไม่ได้ทำเช่นนี้เพื่อส่งต่อกรรมนี้ให้เจ้า แต่มีเพียงเจ้าที่จะสามารถซ่อนเร้นกรรมนี้ได้” เต๋าบงกชมีสายตาลึกล้ำใสกระจ่างดั่งน้ำในทะเลสาบยามจ้องมองเฉินซี เขาเอ่ยเสียงสงบนิ่งขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลสิ่งใด ทั้งยังไม่ต้องรับผลกรรมอันใด แต่นำสัจธรรมสวรรค์และกระบี่เต๋าวิบัติไปกับเจ้าก็พอ”
เฉินซีได้ยินก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ แต่แล้วก็ชะงักไป “ซ่อนเร้นผลกรรมงั้นหรือ?”
เต๋าบงกชพยักหน้าด้วยสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย
แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้อธิบายอันใด เฉินซีก็เข้าใจในทันที จากนั้นเขาก็อดรู้สึกขำเยาะเย้ยตนเองในหัวใจไม่ได้ ที่แท้มันก็เป็นผลประโยชน์จากการเป็น ‘สิ่งแปลกปลอม’ นั่นเอง นับตั้งแต่ต้น โชคชะตาของเขาก็ถูกซ่อนเร้นจากเต๋าสวรรค์มาตลอด และอย่างน้อยก็สามารถซ่อนเร้นพลังจากผลกรรมบางส่วนได้
แม้เขาจะไม่รู้ว่ากรรมนั่นจะยังผลอย่างไร แต่ก็รู้ดีว่าเหตุผลที่เขาเป็น ‘สิ่งแปลกปลอม’ ก็เพราะชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากที่ล่องลอยอยู่ในห้วงจิตสำนึกนั่นเอง นี่เป็นสิ่งที่ศิษย์พี่หญิงหลียางบอกเขาไว้
ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก!
มันเป็นสมบัติอะไรกันแน่?
เฉินซีทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา พลันเกิดความรู้สึกซับซ้อนหนึ่งขึ้นในอก ยิ่งเขาบ่มเพาะพลังมากเท่าไร ยิ่งรู้สึกว่าตนเองยิ่งคุมโชคชะตาไม่ได้มากเท่านั้น ต้องถูกผลักดันไปด้วยพลังที่มองไม่เห็น หลุดเข้าไปในวังวนพายุที่ไม่อาจเป็นอิสระได้ก็มาก ทำได้แต่กัดฟันทนแล้วเดินหน้าต่อ
“เอาล่ะ! ก็ได้!” ทันใดนั้นมารบงกชก็หยุดตะคอก เมื่อเอ่ยคำไม่กี่คำนั้นออกมา น้ำเสียงก็กลายเป็นเยือกเย็นทุ้มต่ำ
เต๋าบงกชจึงเริ่มคลี่ยิ้มออกมา เขารู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะต้องลงเอยแบบนี้ เพราะรู้จักมารบงกชดี
เฉินซีหลุดออกจากภวังค์ความคิด เมื่อได้ยินคำตอบของมารบงกชก็ไม่ได้รู้สึกถึงความสำเร็จแต่อย่างไร ทว่าในใจกลับตกลงสู่ห้วงความหนักหน่วงอย่างไร้สาเหตุแทน
“ไม่ต้องกังวลนักหรอก อย่างที่เขาว่ากันไว้ คนเราทำตามสิ่งที่ใจตนต้องการ และมุ่งหน้ามั่นคงไปตามเส้นทางแห่งเต๋าอย่างกล้าหาญก็พอ” เต๋าบงกชตบไหล่เฉินซีแล้วเอ่ยยิ้ม ๆ
ชายหนุ่มพยักหน้า
ดอกบัวสีโลหิตอันงดงามใจกลางทะเลหินหลอมเหลวหายไปแล้ว แทนที่ด้วยบงกชสีเขียวที่ส่องประกายราวกับหยกสลัก มันได้ปลดปล่อยแสงเรืองสีใสและกลิ่นอายสงบใจออกมา
นี่คือเต๋าบงกชที่แปลงร่างกลายเป็นดอกบัวนั่นเอง
เมื่อมารบงกชตอบตกลงแล้ว เต๋าบงกชก็สลับกับมารบงกชมาอยู่ที่ชั้นเก้าสิบเก้าแทน
เฉินซีค่อย ๆ เก็บกระบี่เต๋าวิบัติในมือตน จากนั้นโค้งคำนับให้แก่เต๋าบงกชแล้วหันหลังเดินจากไป
“แล้วเจอกันใหม่พี่ชาย!” มารบงกชหัวเราะแล้วโบกมือให้เต๋าบงกชจากที่ไกล จากนั้นก็เดินเอามือไพล่หลังจากไปพร้อมกับเฉินซีด้วยท่าทางไม่เรียบร้อย
…
ณ พื้นที่ภายในถ้ำกระบี่ เฉินซีและมารบงกชค่อย ๆ เดินขึ้นมาทีละชั้นด้วยกัน
หลังจากได้รับอิสระแล้ว มารบงกชก็คล้ายกับเปลี่ยนเป็นคนใหม่ เขาเงียบเชียบไม่พูดไม่จา ทั้งยังส่งกลิ่นอายโหดเหี้ยมเยือกเย็นออกมาอีก เหมือนไม่เหลือความตื่นเต้นหรือความปีติยินดีใด คล้ายในใจกำลังมีเรื่องทุกข์บางอย่างถ่วงอยู่
เฉินซีเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกสนใจขึ้นมา
เขาไม่ได้กลัวว่ามารบงกชจะลงมือกับตัวเอง เพราะเท่าที่เต๋าบงกชบอกมา ถึงแม้ว่ามารบงกชจะมีนิสัยโหดร้ายทารุณ แต่มารบงกชไม่เคยพูดกลับคำ
นี่คงจะเป็นสิ่งเดียวที่น่ายกย่องในตัวมารบงกชเลยกระมัง
เมื่อคนทั้งสองมาถึงชั้นเก้าสิบ เสียงห้วงอากาศถูกทำลายก็ดังสะท้อนออกมา
มันคือชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งที่รอบกายเต็มไปด้วยปราณเซียน แม้ว่าจะกำลังลอยอยู่ในถ้ำกระบี่ที่สุดแสนจะอันตราย แต่ก็ยังมีสีหน้าสบาย ๆ เหมือนเดินอยู่ในสวนหลังบ้านตนเอง เห็นได้ชัดว่ามีพลังบ่มเพาะสูง
หือ? เป็นสหายทั้งสองนี่เอง!
เฉินซีเห็นแล้วก็รู้ทันทีว่าเป็นทูตทั้งสองจากภพเซียน อวี๋จงเสียและเหมยลั่วเซียว
ฟิ้ว!
เฉินซียังไม่ทันได้ตอบสนองอะไร แต่มารบงกชก็คว้าเขาแล้วแวบหายไปในอากาศ
เหมยลั่วเซียวกับอวี๋จงเสียเหมือนกำลังพูดคุยบางอย่างกันอยู่จึงไม่ทันสังเกต
“พี่เหมย ด้วยความแข็งแกร่งของเราตอนนี้ ดูเหมือนว่าหากจะชิงกระบี่เต๋าวิบัติคงจะอันตรายไปสักหน่อย”
“ฮ่า ๆ! ศิษย์น้องหญิงอวี๋ไม่ต้องเป็นห่วงไป ข้าสืบมาดีแล้ว มารบงกชนั่นถูกกำราบอยู่ที่นี่มานานหลายปี โซ่ตรวนยังคงอยู่ เขาทำอะไรเราไม่ได้หรอก เว้นเสียแต่จะเป็นอิสระแล้วนั่นล่ะ”
“อ้อ? เช่นนั้นข้าสงสัยเรื่องหนึ่ง แล้วใครเป็นคนกำราบมารบงกชไว้ที่นี่กัน? ข้าได้ยินว่าในยุคบรรพกาล มารบงกชเป็นกระแสพลังจากจิตสังหารที่น่ากลัวยิ่งของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล ถือกระบี่เต๋าวิบัติสังหารเทพมานักต่อนัก เก่งกาจเช่นนั้นจะถูกขังอยู่ที่นี่มานานหลายปีได้อย่างไร?”
“ฮ่า ๆ! จะเป็นใครเสียอีก? ก็ต้องเป็นเต๋าบงกชน่ะสิ หากไม่ใช่เพราะเต๋าบงกชที่เป็นพี่ชาย จะมีใครสามารถยับยั้งมารบงกชไว้ในภพมนุษย์ได้อีก? ถึงตอนนี้คงบ้าระห่ำสังหารไปจนถึงภพเซียนแล้ว”
“เต๋าบงกช!?”
“ใช่แล้ว น่าเสียดายที่ตอนนี้เต๋าบงกชไม่ได้อยู่บนยอดแท่นดอกบัวแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเขายังอยู่หรือตาย ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก เราก็แค่หลอกเต๋าบงกชให้ลงมือ จากนั้นค่อยชิงกระบี่เต๋าวิบัติมาอย่างง่ายดายไงล่ะ”
“น่าเสียดายจริง ๆ”
“ไปกันเถอะ พอได้กระบี่เต๋าวิบัติเราก็รีบไป หากอยู่ที่นี่นานพวกนั้นอาจจับสังเกตได้”
ทั้งสองดูกล้าหาญยิ่งนัก ดูมีท่าทางมั่นใจว่าคงไม่มีใครที่สามารถมาถึงถ้ำกระบี่ชั้นที่เก้าสิบได้อีกแล้ว ดังนั้นจึงคุยกันโดยไม่ผ่านกระแสปราณด้วยซ้ำ
ฟิ้ว!
ทว่าตอนที่ทั้งสองกำลังจะเริ่มเร่งฝีเท้าเต็มกำลังนั้นเอง นัยน์ตาก็เหมือนเห็นภาพบางอย่างวาดผ่าน ชายหนุ่มชุดดำเจ้าของเรือนผมสีโลหิตพลันปรากฏขึ้นตรงหน้า โผล่ออกมาจากที่ใดก็ไม่รู้ ทำเอาทั้งคู่ตกใจจนตัวแข็งก่อนจะดีดตัวถอยไปราวเก้าสิบจั้ง
“สหายน้อยขอบเขตเซียนสวรรค์ทั้งสองกล้าละโมบอยากได้ของของข้าหรือ?” ผมสีแดงของมารบงกชพลิ้วไหว ใบหน้าเยือกเย็นเจือแววสังหาร
“เจ้าเป็นใคร?” อวี๋จงเสียร้องเสียงตกใจออกมา นางสัมผัสกลิ่นอายอันตรายจากคนผู้นี้ได้ ซึ่งมันทำให้เซียนสวรรค์อย่างนางถึงกับอยากหันหลังวิ่งหนีไปด้วยความกลัว
“มารบงกช?” เหมยลั่วเซียวเรียกความสุขุมตนกลับมาได้อย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงเรียบว่า “พวกเราคือทูตที่นิกายกระบี่เก้าเรืองรองภพเซียนส่งลงมา ได้รับคำสั่งให้มานำกระบี่เต๋าวิบัติกลับไป ไม่ใช่ศัตรูกันหรอก”
“แต่ได้ยินว่านิกายกระบี่เก้าเรืองรองภพเซียนถูกทำลายไปนานแล้ว พวกเจ้าสองคนคงไม่ใช่ศิษย์ทรยศหรอกกระมัง?” นัยน์ตาของมารบงกชเรืองแสงสีโลหิตออกมา เห็นแล้วน่าหวาดกลัวยิ่ง
สิ้นคำของเขา เหมยลั่วเซียวกับอวี๋จงเสียต่างมีสีหน้าเคร่งขรึมในทันใด
แม้กระทั่งเฉินซีที่หลบอยู่ไกล ๆ ยังสัมผัสได้ว่า ถึงแม้สหายทั้งสองจะไม่ใช่คนทรยศ แต่ก็ไม่ต่างกันหรอก!
“ฮ่า ๆ! ไม่คิดเลยว่าเต๋าบงกชจะกล่าวได้ถูกต้อง! ในที่สุดพวกคนชั่วเหล่านั้นก็ไม่อาจยับยั้งตนเองอยู่ อยากเงื้อกรงเล็บลงมาถึงภพมนุษย์ให้ได้สินะ!” มารบงกชหัวเราะลั่น แต่กับไร้ความขำขันใด หากแต่เจือไว้ด้วยความบ้าคลั่งและความเศร้าอันลึกล้ำแทน