บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 888 ขอโอกาสแสดงฝีมือหน่อยไม่ได้หรือ
บทที่ 888 ขอโอกาสแสดงฝีมือหน่อยไม่ได้หรือ?
บทที่ 888 ขอโอกาสแสดงฝีมือหน่อยไม่ได้หรือ?
ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับแม่ทัพได้เคลื่อนไหวแล้ว!
บนท้องฟ้าเหนือเมืองผาวารี สีหน้าของเลี่ยวฝานที่ดูเหมือนบัณฑิตวัยกลางคนกลายเป็นเคร่งขรึม เขากัดฟันอย่างแน่วแน่ ก่อนที่ตัวคนจะทะยานออกไป
ศัตรูหนึ่งในเจ็ดผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับแม่ทัพ รูปร่างของอีกฝ่ายแข็งแรงกำยำ มีหนวดเคราสีแดงเข้มและดวงตาที่เหมือนเสือดาว นอกจากนี้ กล้ามเนื้อทั่วร่างกายของเจ้าตัวยังดูราวกับว่าทำจากทองคำดำ ขณะที่ร่างแผ่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวออกมา ราวกับว่าคนผู้นี้หมายจะทำลายทุกสิ่งรอบข้างเพียงหนึ่งมือ!
ตามข้อมูลที่เลี่ยวฝานได้รับมา อีกฝ่ายมีนามว่าเป่ยซิ่น เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์จากพิภพแสงสังฆ์ของต่างพิภพ และความแข็งแกร่งของเขาเทียบได้กับขอบเขตเซียนปฐพีระดับหก
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้ เลี่ยวฝานซึ่งมีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีระดับสามย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเคลื่อนไหว เพราะความแข็งแกร่งของตนนั้นสูงที่สุดในบรรดาผู้บ่มเพาะที่รักษาการณ์อยู่ที่หน้าเมืองผาวารีแล้ว!
ส่วนผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ ได้ถูกสังหารในการต่อสู้ที่ดุเดือดก่อนหน้านี้ไปนานแล้ว…
“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ผู้บ่มเพาะทั้งหมดของแคว้นต้าเยี่ยนได้ฝากความหวังไว้ที่ข้า ดังนั้นข้าจะละทิ้งพวกเขาได้อย่างไร?” เลี่ยวฝานกัดฟันแน่น ขณะที่ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยเปลวเพลิง และได้ตั้งปณิธานที่จะเผชิญหน้ากับความตายแล้ว
“เข้ามา! ไอ้สารเลว! ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็จะลากเจ้าไปด้วย!” เลี่ยวฝานทะยานออกไปด้วยโทสะ เขากัดฟันแน่นขณะที่พุ่งเข้าหาเป่ยซิ่น
ฟิ้ว!
ในฐานะผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี ความเร็วของเขานั้นรวดเร็วเป็นพิเศษ และเจ้าตัวก็ได้เคลื่อนที่ผ่านชั้นมิติไป ทว่าเมื่ออยู่ห่างจากเป่ยซิ่นเพียงสองลี้ จู่ ๆ ดวงตาของเจ้าตัวก็พร่ามัว เพราะมีร่างสูงขวางไว้!
เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดและกะทันหันเช่นนี้ ทำให้เลี่ยวฝานตกใจจนร่างกายแข็งทื่อไปหมด และเขาก็หยุดทันที เพราะสังเกตพบว่าคนที่เข้าขวางคือชายหนุ่มรูปงามผู้นั้น!
“ให้ข้าจัดการเถอะ” ผู้ที่มาถึงก็คือเฉินซีนั่นเอง!!!
“เจ้า…เจ้าแน่ใจแล้วหรือ?” เลี่ยวฝานจ้องมองเฉินซีอย่างว่างเปล่า อันที่จริงเขาตั้งใจจะตายอยู่แล้ว แต่กลับถูกหยุดระหว่างทาง จึงไม่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ไปชั่วขณะ
“ข้าจะทราบได้ก็ต่อเมื่อได้ลอง” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไร้สาระ! นี่คือสงคราม! ชีวิตและความตายไม่ใช่สิ่งล้อเล่น! สหายน้อย เจ้ายังเด็กและมีอนาคตอีกไกล เช่นนั้นปล่อยให้ตาเฒ่าอย่างข้าได้เสี่ยงชีวิตเถอะ เร็วเข้า หลบออกไปให้พ้นทาง และอย่าเอาชีวิตเจ้ามาทิ้ง!” เลี่ยวฝานขมวดคิ้วกล่าวตำหนิ
แม้คำพูดที่เขากล่าวจะแสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวไม่เชื่อในความสามารถของเฉินซีสักนิด แต่ไม่จำเป็นต้องกล่าวอันใด เลี่ยวฝานมีคุณธรรมและกล้าหาญยิ่ง ซึ่งคนเช่นนี้หาในโลกได้ยากมาก
“ฮึ่ม! วันนี้พวกเจ้าทั้งสองจะไม่มีทางหนีไปได้!” ทันใดนั้น เป่ยซิ่นก็เหาะทะยานเข้ามา เขาหัวเราะเยือกเย็นดังสนั่น ก่อนจะเอื้อมมือเข้าหาเฉินซี
นิ้วของอีกฝ่ายเหมือนภูเขาสูงที่ปกคลุมท้องฟ้า ทุกนิ้วหนาเหมือนกับเสาที่ตั้งตระหง่านขึ้นไปบนสวรรค์ และขดม้วนด้วยเปลวไฟสีดำสนิทอันน่าสะพรึงกลัว ทุกที่ที่มันผ่านไป แม้แต่ความว่างเปล่าก็ถูกเผาและสึกกร่อน ดูแล้วน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง!
“หลบไปซะ!” เลี่ยวฝานดูจะรู้ว่าการโจมตีในครั้งนี้ทรงพลังเพียงใด และสีหน้าของเขาได้เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขณะที่ตะโกนออกมา ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะจับเฉินซี และโยนชายหนุ่มออกไป แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ ตัวเขากลับพลาดไปทั้ง ๆ ที่อยู่ในระยะที่ใกล้กันมาก!
สิ่งนี้ทำให้เขาตกใจและยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นเลี่ยวฝานก็เห็นเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวเขาต้องตกตะลึงไป
เป็นภาพที่เฉินซีพุ่งไปข้างหน้า ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ ทำให้อักขระยันต์นับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น และดูเหมือนจะมีดวงดาวมากมายอยู่ภายในแขนเสื้อนั้น จากนั้นพวกมันก็เปล่งรัศมีที่เจิดจ้าและพร่างพราวออกมา
ปัง!
พลังคว้าจับของเป่ยซิ่นแตกสลายราวกับเศษกระดาษ ขณะที่ร่างของอีกฝ่ายถูกระเบิดจนกระเด็นห่างออกไปสองลี้ พร้อมกับกระอักเลือดคำใหญ่ไม่หยุด เผยสภาพที่ดูไม่ได้ออกมา
เขาสวนกลับผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพที่มีการบ่มเพาะเทียบเท่ากับขอบเขตเซียนปฐพีระดับหกด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!?
เลี่ยวฝานอ้าปากค้าง ตกใจจนลูกตาแทบหลุดจากเบ้า
“ชายหนุ่มคนนี้คือใครกันแน่?”
ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะหายจากอาการตกตะลึง เฉินซีก็พุ่งไปข้างหน้าและเข้าสู่การต่อสู้ที่ดุเดือดกับเป่ยซิ่นอีกครั้ง
ร่างของเฉินซีนั้นสูงใหญ่ แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับเรียบง่ายและไม่ซับซ้อน เผยความรู้สึกอันเรียบง่ายธรรมดา หากแต่พลังทำลายของมันนั้น…กลับพิเศษและยิ่งใหญ่ ทุก ๆ กระบวนท่ามีกลิ่นอายที่กว้างใหญ่ของเต๋า ทั้งครอบคลุมและกักขังพื้นที่โดยรอบทั้งหมด
ภายใต้การโจมตีนี้ เป่ยซิ่นเหมือนเต่าในขวดโหลที่ไม่สามารถหลบหนี ได้แต่ถูกโจมตีจนกระอักเลือดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งกว่านั้น ผมเผ้าของเจ้าตัวยังกลายเป็นกระเซอะกระเซิง ตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชและดูไม่ได้อย่างยิ่ง
ทันใดนั้นความรู้สึกไร้สาระก็เกิดขึ้นในใจของเลี่ยวฝาน เขารู้สึกว่าเป่ยซิ่นที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับขอบเขตเซียนปฐพีระดับที่หก เป็นเหมือนมดที่อ่อนแอและบอบบางต่อหน้าเฉินซี อีกฝ่ายถูกทุบตีจนต้องหนีเอาชีวิตรอด โดยไม่มีจังหวะโต้กลับแม้แต่น้อย
“นึกไม่ถึงว่าเราจะพบผู้เยี่ยมยุทธ์ที่นี่! เจ้าเด็กบัดซบ หากเจ้าเต็มใจรับใช้เผ่าพันธุ์ข้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ว่าอย่างไรเล่า?” ทันใดนั้น ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับแม่ทัพอีกคนได้ทะลวงผ่านความว่างเปล่าเข้ามา โดยคนผู้นี้คือหญิงสาวที่มีรูปลักษณ์เย็นชาและงดงาม รูปร่างของนางดูสง่า มีจุดแต้มสีม่วงแปลก ๆ ตรงหว่างคิ้ว
หัวใจของเลี่ยวฝานกระตุกอีกครั้งเมื่อเห็นรูปลักษณ์ของหญิงสาวคนนี้ และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหญิงผู้นี้ก็พลันแวบเข้ามาในความคิดของเขา จื่อเย่าเยว่ผู้เยี่ยมยุทธ์จากพิภพวิญญาณม่วง การบ่มเพาะของนางเทียบเท่ากับขอบเขตเซียนปฐพีระดับหก และนางมีเคล็ดวิชาลับที่น่าสะพรึงกลัว ‘จักรพรรดิม่วงกลืนกินสวรรค์!’ ที่เพียงกระบวนท่าเดียวของเคล็ดวิชานี้ ก็สามารถกลืนกินและทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในรัศมีสองหมื่นห้าพันลี้!
ว่ากันว่าหญิงสาวคนนี้เป็นผู้สืบทอดของจักพรรดิศักดิ์สิทธิ์พิภพวิญญาณม่วง และนางครอบครองสมบัติมากมายที่อาจเทียบได้กับสมบัติอมตะ!
ความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาในหัวของเขา ก่อนที่เลี่ยวฝานจะตะโกนก้อง ด้วยตั้งใจจะพุ่งไปข้างหน้า …ตัวเขาไม่สามารถทนดูเฉินซีต่อสู้เพียงลำพังได้ และชายวัยกลางคนต้องการช่วยชายหนุ่มตรึงศัตรูไว้ ถึงแม้จะช่วยอีกฝ่ายตรึงศัตรูได้เพียงชั่วครู่ มันก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว!
“สหายนักพรตเต๋า เจ้าจงปล่อยวางและดูการต่อสู้เถอะ” แต่ก่อนที่เลี่ยวฝานจะก้าวไปข้างหน้า เฉินซีซึ่งอยู่ในการต่อสู้ที่ดุเดือดก็หันกลับมา และสั่งอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง
“นี่เขาหมายความว่าอย่างไรกัน?”
“หรือเขาคิดว่าข้าไม่ใช่คู่มือกับหญิงสาวคนนั้น?”
เลี่ยวฝานตกตะลึง เขาทั้งรู้สึกรำคาญและไม่อยากเชื่อ มันให้ความรู้สึกราวกับว่าตัวเขาเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ไม่สำคัญ มันทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างมาก
ขณะที่เฉินซีกล่าว จื่อเย่าเยว่ก็พุ่งเข้ามา ฝ่ามือสีขาวหยกของนางฟาดลงไปที่ชายหนุ่ม ดูแล้วเหมือนดาบสวรรค์ฟันลงมา มันทั้งรวดเร็ว ตรงไปตรงมา และเผยให้เห็นถึงรัศมีแห่งพลังอันเด็ดขาด!
เฉินซีสะบัดมือออกและฟาดสวนกลับไปอย่างสงบ ทำให้เกิดอักขระยันต์อันแพรวพราวพลุ่งพล่าน และควบแน่นเป็นกระแสน้ำวนที่กระเด้งกลับในทันที ปัดป้องการโจมตีที่โหดเหี้ยมนี้ออกไป
ในเวลาเดียวกัน เขาได้สะบัดฝ่ามือไปมาบนอากาศซ้ำ ๆ ราวกับปรมาจารย์ยันต์อักขระที่ใช้ฟ้าดินเป็นกระดาษยันต์ และใช้พลังของตนเองเป็นน้ำหมึก เพื่อวาดอักขระยันต์อย่างดุดันที่ดูราวกับกระแสน้ำ
อักขระยันต์เหล่านั้นได้กลายเป็นปราณกระบี่รังสรรค์ ฝ่ามือหมื่นคลื่นใต้พิภพกลายเป็นวังวนพายุอัสนีที่พร่างพรายและยิ่งใหญ่…
ราวกับเฉินซีได้หลอมรวมเคล็ดวิชาที่ล้ำลึกเข้ากับอักขระยันต์ของเขาอย่างง่ายดาย และมันดูจะเป็นทักษะที่เหนือธรรมชาติเมื่อใช้ในการฟาดฝ่ามือนี้
นี่เป็นวิธีการควบคุมเต๋ารู้แจ้งที่เขาครอบครองด้วยเต๋าแห่งยันต์อักขระ หลังจากที่ชายหนุ่มบรรลุขอบเขตเซียนปฐพี เมื่อเขาใช้ความสามารถประเภทนี้กับปราณเซียน พลังของมันอาจน่ากลัวกว่าเมื่อก่อนถึงสิบเท่า!
ทันใดนั้น เป่ยซิ่นกับจื่อเย่าเยว่เป็นเหมือนแมลงสองตัวบนแผ่นกระดาษยันต์ พวกเขาถูกกักขังในอักขระยันต์ที่จารึกไว้ และไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร คนทั้งสองก็ไม่มีทางหลบหนีได้
ทว่าเฉินซีกลับได้เข้าควบคุมทุกอย่างไว้หมดแล้ว!
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ความไม่สบายใจของเลี่ยวฝานก็หายลับไปทันที ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่า ชายหนุ่มตรงหน้าที่ดูจะอยู่ในขอบเขตเซียนปฐพีระดับที่หนึ่งกลับครอบครองพลังต่อสู้ในระดับที่คาดไม่ถึง!
ในโลกใบนี้จะมีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับที่หนึ่งซึ่งสามารถสยบผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพ ที่เทียบได้กับขอบเขตเซียนปฐพีระดับที่หกได้หรือไม่?
อย่างน้อยที่สุด ตลอดชีวิตของเลี่ยวฝานก็ไม่เคยพานพบเลยสักครั้ง!
“หากข้ายืนอยู่ตรงนี้เหมือนคนโง่เขลา ข้าจะไม่ไร้ประโยชน์ไปหน่อยหรือ?” เลี่ยวฝานหัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นเขาก็กัดฟันและตัดสินใจเด็ดขาดว่า หากศัตรูสอดมือเข้ามาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตนก็จะบุกเข้าไปจัดการอย่างแน่นอน!
“เอ๊ะ? เจ้าเด็กนั่นไม่ธรรมดาจริง ๆ”
“เรามิอาจนิ่งเฉยได้แล้ว สถานการณ์ของเป่ยซิ่นและเย่าเยว่เลวร้ายนัก มาร่วมมือจับเจ้าเด็กนั่นกันเถอะ แล้วเราค่อยทรมานและสอบปากคำมันอย่างระมัดระวัง ข้ามีความรู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา”
“ตกลง”
“ไปกันเถอะ!”
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เสียงของอากาศที่ถูกแหวกออกจากกันดังขึ้น เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับแม่ทัพทะยานขึ้นท้องฟ้า ร่างกายของพวกเขาเปล่งประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ และเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันน่าเกรงขาม มาพร้อมกันทั้งห้าคน!
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับแม่ทัพบนบัลลังก์ทั้งเจ็ดได้ออกโรงแล้วในขณะนี้!
ทันทีที่ปรากฏตัว ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน ทุกคนล้วนถอยห่างเพื่อเปิดพื้นที่ว่างที่ยาวกว่าสองพันห้าลี้ เพราะพวกเขาทุกคนต่างรู้ดีว่า ผลพวงของการต่อสู้ในระดับนี้ย่อมเพียงพอที่จะคร่าชีวิตพวกเขา!
ถึงอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีหรือผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับแม่ทัพ ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็อยู่ ณ จุดสูงสุดของภพมนุษย์ และพวกเขาสามารถทำลายล้างเมืองได้ด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียว
การต่อสู้ระหว่างพวกเขาเป็นสิ่งที่คนซึ่งมีการบ่มเพาะต่ำไม่สามารถแทรกแซงได้อย่างสิ้นเชิง
เมื่อเห็นภาพดังกล่าว สีหน้าของเลี่ยวฝานก็ซีดลงอย่างน่าสยดสยอง เพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะออกโรงพร้อมกัน!
ก่อนหน้านี้เขาเคยกัดฟันด้วยคำมั่นอย่างจริงจังว่า จะพุ่งไปข้างหน้าเพื่อมีส่วนร่วม แต่ขณะนี้หัวใจกลับต้องสั่นไหวกับภาพเบื้องหน้า และสีหน้าของเจ้าตัวก็กลายเป็นสลับซับเปลี่ยนไปมาอย่างไม่รู้จบ
ถึงอย่างไร การบ่มเพาะของเขาก็อยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสามเท่านั้น บางทีมันอาจจะพอมีชื่อเสียงในแคว้นต้าเยี่ยน และเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่แผดเผาบนท้องฟ้ายามเที่ยงที่ทุกคนเคารพบูชา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหนึ่งในเจ็ดผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพที่ปรากฏตัวในสมรภูมินี้ เขาก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง!
“บัดซบ! ข้าจะเอาชีวิตเข้าแลก! อย่างมากก็แค่ตาย ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะปล่อยให้ชายหนุ่มคนนี้ต่อสู้เพียงลำพังไม่ได้!” เลี่ยวฝานตัดสินใจทันที ในขณะที่ความคลุ้มคลั่งของเขาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วและกู่ร้องขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะพุ่งไปข้างหน้า
“สหายนักพรตเต๋า โปรดผ่อนคลายและดูการต่อสู้เถิด!” แต่เสียงของเฉินซีดังขึ้นในหูของเลี่ยวฝานอีกครั้ง ทำให้ร่างกายของชายวัยกลางคนแข็งทื่อ ในขณะที่ปากกระตุกรุนแรงอย่างอดไม่ได้ ยิ่งกว่านั้น จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้กว่าครึ่งที่ปลุกเร้าในใจด้วยความยากลำบาก มาตอนนี้มันก็ได้เลือนหายไปในทันที!
หลังจากนั้น เขาก็เห็นเฉินซีต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพทั้งเจ็ดเพียงลำพัง โดยการต่อสู้นี้รุนแรงมากและไม่มีที่ว่างให้เขาได้สอดมือเข้าไป
ยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่แค่เฉินซี แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพทั้งเจ็ดคนก็ดูจะคิดว่าตัวชายวัยกลางคนอ่อนแอเกินไป และอีกฝ่ายก็ไม่สนใจตัวเลี่ยวฝานเพราะเหตุนี้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ชายวัยกลางคนมึนงงและรู้สึกอยากจะร้องไห้ แต่กลับไม่มีน้ำตา เขายืนอยู่ที่นั่น ในขณะจ้องมองการต่อสู้อย่างว่างเปล่า เหมือนเด็กไร้เดียงสาที่ถูกทอดทิ้งและถูกลืม พร้อมกับพึมพำเสียงเบาว่า “ข้าแค่อยากช่วย เจ้าช่วยให้โอกาสข้าได้แสดงฝีมือไม่ได้หรือ?”