บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 890 หนอนไหมเสี่ยวเฮย
บทที่ 890 หนอนไหมเสี่ยวเฮย
บทที่ 890 หนอนไหมเสี่ยวเฮย
ณ เมืองผาวารี
แม้ว่าจะเป็นเวลากลางคืนแล้ว แต่ห้องโถงที่งดงามและโอ่อ่ายังคงสว่างไสวไปด้วยโคมไฟ เสียงหัวเราะครื้นเครงดังออกมาจากภายในนั้น
หลังจากได้รับชัยชนะในการต่อสู้ เฉินซีและคนอื่น ๆ ก็ได้รับการดูแลอย่างอบอุ่นจากผู้บ่มเพาะทั้งหมดในแคว้นต้าเยี่ยน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเฉินซี บรรดาผู้บ่มเพาะก็ต่างตกใจระคนมีความสุข เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่ายอดฝีมือในตำนานแห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง เฉินซีผู้มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬจะเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตพวกเขา
ตอนนั้น สายตาของผู้บ่มเพาะแห่งแคว้นต้าเยี่ยนที่มองเฉินซีได้เปลี่ยนไป พวกเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าเหตุใดกลุ่มคนที่แปลกประหลาดเหล่านี้ถึงได้มีความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่น่าเกรงขามและดุดัน ที่แท้ก็เป็นเเพราะพวกเขามีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดานี่เอง!
ภายในโลกแห่งการบ่มเพาะของแดนภวังค์ทมิฬ มีใครบ้างที่ไม่เคยได้ยินชื่อของเฉินซี?
หากให้กล่าวถึงวีรกรรมอันน่าพิศวงของเขา เพียงคืนเดียวคงจะไม่เพียงพอ!
ทุกคนดูกระตือรือร้นในการตอบแทนเฉินซีอย่างยิ่ง พวกเขานำสุราที่ดีที่สุดและอาหารที่เลิศรสที่สุดมาเพื่อปรนนิบัติเฉินซีและคนอื่น ๆ โดยเฉพาะ
กระนั้น เฉินซีก็สังเกตเห็นว่าบรรยากาศนั้นเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
อย่างเช่น เมื่อพวกเขามองไปที่มู่ขุย สายตาของพวกเขาก็จะเต็มไปด้วยความชื่นชมและแปลกใจ เมื่อมองไปที่หลิงไป๋ สายตาเหล่านั้นจะแฝงไปด้วยความกลัว ครั้นพวกเขามองไปยังอาหมาน แน่นอนว่าแฝงไว้แต่ความประหวั่นพรั่นพรึง
การเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยนี้แทบจะไม่มีใครสังเกตเห็น ทว่ามันกลับทำให้เฉินซีเกิดสงสัยขึ้นมา เขาหันไปถามอาซิ่ว “เกิดอะไรขึ้น?”
อาซิ่วชี้ไปที่มู่ขุยก่อนจะตอบเสียงชัด “ง่ายมาก ในการต่อสู้ครั้งนี้เขาน่ะพยายามมากที่สุด อีกทั้งเขายังสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพไปตั้งหลายคน ดังนั้นทุกคนจึงชื่นชมเขามาก”
มู่ขุยยกจอกขึ้นพลางยิ้มร่าเมื่อเห็นเฉินซีมองมา
หลิงไป๋ที่อยู่ไม่ห่างกันพูดขึ้นอย่างเหยียดหยัน “จะชื่นชมอะไรนักหนา เขาน่ะไม่ตรงไปตรงมาอย่างข้าที่ฆ่าคนเป็นพันด้วยการโจมตีเพียงกระบี่เดียว นั่นล่ะเหตุผลที่พวกเขาหวั่นเกรงข้า การทำให้ใครบางคนหวาดหลัวนั้นยิ่งใหญ่กว่าทำให้คนสรรเสริญเสียอีก”
ใบหน้าของมู่ขุยแข็งทื่อไปในทันที
เฉินซีมองดูฉากนี้ด้วยความสนุกสนาน ก่อนจะแตะไปที่หัวของอาหมาน ขณะที่หันไปถามหลิงไป๋ “แล้วเจ้านี่ล่ะ?”
หลิงไป๋ชำเลืองมองอาหมาน ดวงตาคู่งามพลันกลายเป็นหม่นหมองขณะพึมพำ “เป็นสิ่งที่ประหลาดเกินความเข้าใจ”
เฉินซีชักสงสัยขึ้นมาจริง ๆ เสียแล้ว เขาหันไปถามอาหมาน “เจ้าทำอะไรลงไป?”
อาหมานที่กำลังแทะกระดูกชิ้นโตเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงงต่อคำถามเมื่อครู่ ก่อนจะตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าเปล่าทำอะไรเสียหน่อย ก็แค่ตบคนเลวบางคนให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว”
“บางคนของเจ้านี่กี่คน?” เฉินซีถามต่อ
อาหมานเกาหัวแกรก ๆ และตอบด้วยเสียงมึนงง “ข้าเองก็ไม่ได้นับ รู้แต่ว่าหลังจากนั้นหลิงไป๋ก็ไม่ยอมให้ข้าลงมืออีก เขาบอกว่ากลัวข้าจะเผลอไปทำร้ายฝั่งเดียวกันโดยไม่ตั้งใจ…”
เฉินซีตกตะลึงกับคำตอบ จากนั้นเขาก็มองไปที่หลิงไป๋ “อาหมานตบศัตรูตายไป 1,763 คนด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ในจำนวนนี้มีหนึ่งพันคนอยู่ในระดับทองคำ เจ้านี่มันบ้าเกินไปแล้ว ลองคิดดูสิ หากข้าไม่บอกให้เขาหยุด เจ้าพวกตัวเล็กจากเผ่านรกขุมที่เก้าจะได้มีโอกาสฝึกฝนอย่างนั้นหรือ?” เขาตอบพลางยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้
เฉินซีเข้าใจขึ้นมาทันที และก็แปลกใจเล็กน้อย ด้วยไม่กล้าจะเชื่อเลยว่าหมีน้อยที่มีความสูงแค่ฉื่อเดียวจะสามารถระเบิดพลังที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนั้นได้
ไม่แปลกใจเลยที่สายตาของผู้บ่มเพาะเหล่านี้จะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อมองไปที่อาหมาน ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
เลี่ยวฝานที่นั่งข้าง ๆ รับฟังบทสนทนาโดยไม่ร่วมตอบโต้อะไร ก่อนหน้านี้… เพราะจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่นจนไม่ได้สังเกตการต่อสู้ บัดนี้ เมื่อได้ยินว่าบรรดาสหายเต๋าล้วนแต่แสดงความสามารถที่เยี่ยมยอดออกมา เขาก็ทั้งตกใจระคนอิจฉา!
‘โชคดีที่นอกจากเจ้าพวกตัวประหลาดเหล่านี้ ข้าก็มีฝีมือที่ไม่เลวนัก เพียงแต่แค่ไม่มีโอกาสได้เคลื่อนไหวเท่านั้น’ เลี่ยวฝานปลอบใจตัวเองเงียบ ๆ
สายตาของเขาสะดุดกับอาซิ่วโดยไม่ตั้งใจ ก่อนจึงพูดขึ้นพร้อมด้วยยิ้ม “สหายเต๋าเฉินซี นางเป็นสาวใช้ของเจ้าหรือ? หน้าตานางงดงามมากจริง ๆ”
สาวใช้? เฉินซีเหลือบมองอาซิ่วก่อนจะพูดกับตัวเอง “ข้าจะกล้ารับนางมาเป็นสาวใช้ได้อย่างไร?”
ทว่าเมื่อเอ่ยถึงคำว่าสาวใช้ เขาพลันนึกไปถึงเสวี่ยเหยียนที่ถูกทิ้งไว้บนยอดเขาจรัสตะวันตก นางไม่ได้ติดตามพวกเขามาด้วย เพราะต้องการจะช่วยดูแลหั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ
แน่นอนว่าเฉินซีย่อมไม่มีทางจะรับหญิงสาวมาเป็นสาวใช้ ถึงอย่างไร การใช้งานจิ้งจอกเก้าหางสายเลือดบริสุทธิ์ให้ทำงานอย่างสาวใช้ก็ดูจะเป็นการดูถูกความสามารถของนางเกินไป
“นางเป็น…”
เขากำลังจะตอบ ทว่าหลิงไป๋ชิงตอบไปเสียก่อน “สหายเต๋า เจ้านี่มีตาหามีแววไม่ อาซิ่วน่ะสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับแม่ทัพไปถึงเจ็ดคนเชียวนะ!”
เดิมทีเลี่ยวฝานตั้งใจจะถามสิ่งนี้ขำ ๆ ด้วยต้องการหาเรื่องคุย แต่ความโกรธก็เกิดขึ้นในใจทันทีเมื่อถูกหลิงไป๋ตำหนิว่าเขามีตาแต่ไร้แวว ข้าเป็นถึงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเลยนะ! พูดแบบนี้ได้อย่างไรกัน! ข้าจะไม่รับรู้ถึงตัวตนของสาวใช้ได้อย่างไร?
กระนั้น เมื่อเขาได้ยินประโยคถัดมาของอีกฝ่าย เรือนกายของเจ้าตัวพลันแข็งทื่อ แม้แต่มือที่ถือจอกสุราก็ยังสั่นเทา “อะ…อะไรนะ!?” เสียงนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
หลิงไป๋กลอกตามองบนก่อนจะพูดด้วยความไม่พอใจ “นี่ข้าพูดไม่ชัดพอหรือ?”
เฉินซีงุนงง เขารู้ดีว่าหลิงไป๋เป็นคนที่ทั้งทะนงตัวและเย็นชาอย่างยิ่ง นอกจากคนที่ห่วงใยแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่เคยจะแยแสใครสักคน ไม่ว่าคนคนนั้นจะมีระดับการบ่มเพาะขอบเขตใดก็ตาม ดังนั้นการพูดเช่นนี้จึงขัดกับอุปนิสัยโดยเนื้อแท้ของอีกฝ่ายเหลือเกิน
เมื่อเลี่ยวฝานเห็นว่าเฉินซีและอาซิ่วไม่ได้ปฏิเสธในสิ่งที่หลิงไป๋พูด เขาพลันเข้าใจว่าทั้งหมดนี้น่าจะเป็นเรื่องจริง!
ครั้นคิดได้ดังนั้น ภายในใจของเจ้าตัวก็ปรากฏพายุลูกใหญ่ขึ้น เลี่ยวฝานทั้งหดหู่ ตกใจ และไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เดิมที เขาแค่ต้องการทำความรู้จักสาวใช้ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ไม่เคยคาดคิดมาก่อน…ว่าตัวเขากลับทำให้บุคคลที่ยิ่งใหญ่ต้องขุ่นเคืองแทน!
จนกระทั่งงานเลี้ยงสิ้นสุดลง เลี่ยวฝานก็ยังไม่หายจากอาการตกใจ เขาเพิ่งมาสังเกตว่าตนไม่อาจรับรู้ถึงพลังที่แท้จริงของกลุ่มคนที่อยู่รายล้อมเฉินซีเลยแม้แต่น้อย… ช่วยไม่ได้ ใช่ว่าเขาไม่แข็งแกร่งพอ เพียงแต่คนพวกนั้นประหลาดเกินไป!
เมื่อเขากำลังจะผละจากไป เฉินซีก็หยุดเขาไว้เสียก่อน
…
แขกเหรื่อคนอื่น ๆ ต่างแยกย้ายกันไปจากห้องโถงจนหมดแล้ว
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดถึงคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจของเขา “เหตุใดผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพจึงได้ระดมพลกันมาโจมตีแคว้นต้าเยี่ยนหรือ?”
เลี่ยวฝานชะงัก เหมือนว่ากำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็ปิดปากอีกครั้ง อีกฝ่ายครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอึกอัก “ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินข่าวว่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเหล่านั้นมาที่แคว้นต้าเยี่ยน ก็เพื่อตามหาสมบัติตกทอดของพวกเขา”
“สมบัติตกทอด?” เฉินซีประหลาดใจ
“ไม่ผิด” เลี่ยวฝานหัวเราะเสียงขมขื่น “ตอนที่ได้รู้เรื่องนี้ ข้ารู้สึกว่ามันไร้สาระมาก อย่างไรเสีย พวกเขาก็เป็นเยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ ดังนั้นของตกทอดจากพวกต่างพิภพจะมาถูกทิ้งไว้ในภพทั้งสามได้อย่างไร? ตอนนั้นข้าคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผล จึงได้ไม่ได้เอาจริงเอาจังกับมัน”
คิ้วของเฉินซีเลิกสูงราวกับกำลังหลงทางอยู่ในความคิด “แล้วสหายเต๋ารู้หรือไม่ว่าพวกเขากำลังมองหาของสิ่งใด? หรือว่ามันจะตั้งอยู่ที่ใดของแคว้นต้าเยี่ยน?”
“ข้าเองก็ไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอน” เลี่ยวฝานขมวดคิ้ว “แต่ข้าได้จับผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพมาทรมานและสอบเค้น ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังตามหาสถานที่ที่เรียกว่าสันเขาวิญญาณสรรค์”
“สันเขาวิญญาณสรรค์?” เฉินซีกางแผนที่และค้นหาตำแหน่งที่ว่า แต่เขากลับไม่พบชื่อดังกล่าว
“ข้ารู้สึกว่าสันเขาวิญญาณสรรค์น่าจะอยู่ที่นี่” เลี่ยวฝานชี้ไปยังสถานที่ซึ่งเรียกว่า ‘ดินแดนภูตผี’ บนแผนที่ ก่อนจะกล่าวว่า “สถานที่แห่งนี้ปกคลุมไปด้วยม่านหมอกหนาทึบตลอดทั้งปี มันมีสิ่งมีชีวิตประเภทภูตผีอยู่เต็มไปหมด ทำให้ไม่มีคนธรรมดาที่ไหนอยากย่างกรายเข้าไป”
เมื่อเลี่ยวฝานพูดถึงที่นี่ เขาก็หัวเราะเบา ๆ “เมื่อหลายปีก่อน ข้ารู้สึกว่ามันน่าจะมีดินแดนลึกลับอยู่ภายในนั้น จึงได้ตั้งใจลองเข้าไปสำรวจดู สิ่งเดียวที่ข้าพบก็คือคำว่า ‘วิญญาณมือเทพ สมบัติรังสรรค์’ และก็ไม่มีอย่างอื่นอีก”
“วิญญาณมือเทพ สมบัติรังสรรค์?” เฉินซีตกอยู่ในห้วงความคิด ถ้าหากนำคำแรกกับคำสุดท้ายมาผสมกันก็ได้คำว่า วิญญาณสรรค์ แม้จะฟังดูสมเหตุสมผล แต่ก็เหมือนฝืน ๆ อยู่เช่นกัน
“ไปดูกันเถอะ ข้าชอบล่าสมบัติ” จู่ ๆ อาซิ่วก็พูดขึ้นพร้อมเผยรอยยิ้มบนใบหน้า
…
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น กลุ่มของเฉินซีเดินทางออกจากเมืองผาวารีอย่างรวดเร็วด้วยเรือเหาะสมบัติ
ดินแดนภูตผีอยู่ห่างจากเมื่อผาวารีไปสามหมื่นเจ็ดพันลี้ และอยู่ด้านนอกของสถานที่ที่เรียกว่าเมืองโบราณหมีหลัว มันเป็นภูเขาที่รกร้างห่างไกล
เนื่องจากเมืองโบราณหมีหลัวขาดแคลนปราณวิญญาณและเส้นชีพจรวิญญาณ จึงทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยคนธรรมดาเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีนิกายหรือสถานที่ใดที่ก่อตั้งโดยผู้บ่มเพาะ
สำหรับชาวเมืองแล้ว ดินแดนภูตผีซึ่งเต็มไปด้วยผีสางมากมายได้กลายเป็นเขตหวงห้าม ไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้าไปข้างใน
แม้ว่าผู้บ่มเพาะจะเข้ามาสำรวจดินแดนภูตผีอยู่บ่อยครั้ง แต่พวกเขาก็ล้วนเป็นต้องกลับไปมือเปล่า และได้ความโกรธเป็นของแถมปลอบใจ
ฟิ้ว!
เรือเหาะสมบัติลอยบดบังแผ่นเมฆเหนือท้องฟ้าแห่งดินแดนภูตผี
เมื่อมองจากมุมสูง พื้นที่ส่วนใหญ่ในดินแดนภูตผีเป็นเทือกเขารกร้างที่กินอาณาเขตกว่าหมื่นลี้ พวกมันถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันหนาทึบ และมีอากาศเสียไหลเวียนอยู่ภายใน ส่งผลให้แสงสว่างไม่อาจส่องถึงได้ทั้งปี ดังนั้นมันจึงเป็นดินแดนที่หนาวเย็นอย่างมาก
เฉินซีทิ้งคนอื่น ๆ ไว้ในเรือเหาะสมบัติ เขาพาแค่อาซิ่วเพียงคนเดียวไปยังสันเขาวิญญาณสรรค์
ขวับ!
ทันทีที่พวกเขายืนอยู่บนภูเขา หมอกควันสีดำหนาแน่นก็พุ่งเข้าปะทะใบหน้า ทว่ายังไม่ทันที่มันจะมาถึงตัวของอาซิ่วและเฉินซี มันก็ถูกสนามพลังอันไร้รูปร่างกวาดออกไปเสียก่อน
หมอกควันและอากาศเสียไม่ใช่เรื่องผิดแปลกสำหรับคนทั้งสอง
เฉินซีใช้ญาณเทวะอมตะเพื่อค้นหาที่แห่งนั้นอยู่นาน แต่เขาก็ไม่ได้พบกับความผิดปกติใด ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างที่เลี่ยวฝานพูด ไม่มีดินแดนลึกลับ คลังสมบัติ หรือสถานที่แสวงโชคอยู่ภายในนี้
คนทั้งสองเดินทางมาถึงด้านหน้าศิลาจารึกอย่างรวดเร็ว
หินก้อนนี้ได้รับความเสียหายหนัก บางส่วนของมันหักกองอยู่บนพื้น พื้นผิวรอบ ๆ ถูกปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ หากมองอย่างละเอียดแล้วจะพบกับคำว่า ‘วิญญาณมือเทพ สมบัติรังสรรค์’ ที่ว่า
เฉินซีแปลกใจ คำจารึกนั้นโบราณและคลุมเครือยิ่ง ไม่เพียงเท่านั้น มันค่อนข้างคล้ายกับงานเขียนเทพอสูรที่เขาเคยเห็นในอดีต แต่ดูคลุมเครือมากกว่า
มีเพียงผู้รู้ที่มีประสบการณ์มากมายเท่านั้นที่จะสามารถตีความคำเหล่านี้ได้
“ให้เป็นหน้าที่ของเสี่ยวเฮย ที่จะดูว่าที่นี่มีสมบัติหรือไม่เถอะ!” อาซิ่วหัวเราะคิกคัก ขณะที่นางหยิบหนอนไหมตัวอ้วนสีดำออกมา ตัวมันยาวประมาณสามชุ่นและดูขยุกขยุยแปลก ๆ
ทันทีที่มันปรากฏตัว มันก็ส่ายหัวน้อย ๆ ก่อนจะทำท่าทางเหมือนได้กลิ่นอะไรบางอย่างที่ทำให้มันดูมีความสุข จากนั้นมันก็เริ่มคลานไปมาบนฝ่ามือขาวผ่องของอาซิ่ว
“เสี่ยวเฮยหรือ?” เฉินซีชะงัก
อาซิ่วโยนหนอนไหมในมือของนางลงก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัด “เสี่ยวเฮยเลี้ยงทหารพันวันใช้งานวันเดียว ที่เหลือข้าจะปล่อยให้เจ้าจัดการ ถ้าเจ้าหาสมบัติไม่เจอ ก็อย่าหวังเลยว่าคืนนี้จะมีอะไรกิน”
ฟึ่บ!
ในทันทีนั้น เสี่ยวเฮยก็หายไปบนท้องฟ้าราวกับสายฟ้าที่แล่นผ่านนภาไป