บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 90 การมาถึง
บทที่ 90 การมาถึง
บทที่ 90 การมาถึง
ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดารา เรือเหาะสมบัติแล่นหายไปในหมู่เมฆ
เฉินซีกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในห้องของเรือเหาะสมบัติ
เรือเหาะสมบัติลำนี้เป็นของขวัญจากราชาเต่าเฒ่า มันสะดวกสบายรวดเร็วและสามารถทนต่อการโจมตีอย่างเต็มกำลังจากผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบได้ นับว่าเป็นสมบัติวิเศษประเภทสนับสนุนชั้นเลิศ
ในขณะนี้ สมบัติวิเศษประเภทมิติเก็บของจำนวนมากถูกวางอยู่เบื้องหน้าเฉินซี มีทั้งแหวน เข็มขัด กำไล… พวกมันทั้งหมดต่างส่องแสงแวววาว และมีสีสันงดงามชวนให้ตื่นตา
‘นอกจากวัตถุดิบกองโตแล้ว ยังมีไข่มุกปีศาจอีกหนึ่งหมื่นสามพันเม็ด จัดเก็บอยู่ในแหวนมิติของข้า นอกจากนั้นยังมีกระบี่ท่องปรภพอีกแปดเล่ม ขวดบรรจุทรงแปดเหลี่ยม มหาเทือกเขาสัมฤทธิ์ เข็มขัดมิติจากราชาเหยี่ยวสายฟ้า กำไลมิติที่ได้จากราชามังกรทมิฬและราชาอีกาทมิฬ…’ ญาณจิตของเฉินซีได้กวาดผ่านกองสมบัติวิเศษต่าง ๆ ที่อยู่บนพื้น ตรวจสอบบรรดาสมุนไพรวิญญาณและไม้วิญญาณที่ทับซ้อนกันเหมือนภูเขา เช่นเดียวกับแร่ วัตุดิบ สิ่งของล้ำค่าที่มีสีสันต่าง ๆ ทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่เป็นของที่เขาไม่เคยพบเห็นและไม่เคยได้ยินมาก่อน มันทำให้ดวงตาของเขาพร่ามัว แม้จิตใจของเขาจะรู้สึกสับสน แต่หัวใจของเขากลับร้อนรุ่มนัก
‘ครั้งนี้ข้าได้รับทรัพย์สินมหาศาลจากส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ เรียกได้เต็มปากว่ามั่งคั่งล้นเหลือ แม้ว่าข้าจะไม่สามารถใช้วัตถุดิบเหล่านี้เช่นสมุนไพรวิญญาณและไม้วิญญาณ แต่ข้าสามารถแลกเปลี่ยนพวกมันเป็นวารีวิญญาณได้’
‘ส่วนบรรดาสมบัติวิเศษและศัสตราวิเศษ… ข้าจะเลือกบางชิ้นที่เป็นประโยชน์กับข้าและจะนำส่วนที่เหลือไปขาย เมื่อนั้นข้าจะสามารถซื้อแผ่นหยกที่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชากระบี่บินและค่ายกลกระบี่ได้ และเพิ่มขีดความสามารถให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น!’
เฉินซีครุ่นคิดในใจอย่างรวดเร็วและมือของเขาขยับไม่หยุดในขณะที่จัดระเบียบสิ่งของที่ยึดมาได้ในครั้งนี้
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินซีก็ได้จัดการทุกอย่างจนเรียบร้อย และเขาก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะผลักประตูเปิดออกไป
ในเวลานี้ ตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อและซ่งหลินยืนอยู่ที่หัวเรือ ขณะมองไปที่ทิศทางที่พวกเขากำลังบินไป
พวกเขาบินมาครึ่งวันแล้ว แต่ทุกสิ่งที่มองเห็นยังคงเป็นภูเขาสูงตระหง่านและเนินเขาสูงชันอย่างต่อเนื่อง แต่ความสูงของภูเขาเหล่านั้นค่อย ๆ เตี้ยลง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังจะบินออกจากส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้
แต่ก็ยังมีปัญหาใหญ่อยู่ตรงหน้าพวกเขา นั่นคือไม่อาจระบุทิศทางที่พวกเขาอยู่ในขณะนี้ได้
พวกเขาทั้งหมดถูกเคลื่อนย้ายจากดินแดนรกร้างใต้พิภพไปสู่ส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้อย่างน่าพิศวง ซึ่งพวกเขาไม่อาจระบุได้ว่าทิศทางใดที่นำไปสู่เมืองหมอกสนและเมืองทะเลสาบมังกร
ในขณะนี้ พวกเขาทำได้เพียงเคลื่อนที่ไปตามเส้นตรงเท่านั้นเพื่อพยายามหาเมืองที่มนุษย์ครอบครองอยู่โดยเร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ยืนยันทิศทาง
“คุณหนูตู้ พี่ต้วนมู่ พี่ซ่ง” เสียงของเฉินซีดังขึ้นจากด้านหลังพวกเขา
ทั้งสามคนหันกลับมามองเฉินซีด้วยความประหลาดใจ ตั้งแต่พวกเขาขึ้นเรือมา ชายหนุ่มก็เก็บตัวอยู่ในห้องของตัวเองเสมอ พวกเขาจึงคิดว่าสหายคนนี้ตั้งใจจะปิดด่านบ่มเพาะจนกว่าจะกลับถึงเมืองหมอกสน
“พวกนี้คือศัสตราวิเศษของพวกเจ้า ลองตรวจดูเถอะ” เฉินซีไม่ได้สนใจการจ้องมองของทั้งสาม จากนั้นก็ปรากฏศัสตราวิเศษทั้งสามชิ้นที่ส่องประกายแสงลอยอยู่เบื้องหน้าเขา มันคือกริชที่แผ่ประกายแสงสีฟ้าออกมา กระบี่ที่แผ่แสงของดวงดาวอันเจิดจ้า และร่มรูปร่างแปลกประหลาดที่สุดแสนจะเยือกเย็นจนน่าหวาดหวั่น
“กริชปทุมฟ้าประสานของข้า!”
“อ่า! กระบี่สายรุ้งเจ็ดดาราของข้า!”
“ร่มตาข่ายนภาพันตะขอ ลูกรักของข้า!”
ทั้งสามคนอุทานด้วยความประหลาดใจและใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
ศัสตราวิเศษทั้งสามนี้อยู่ในระดับล้ำลึกขั้นสูง แม้แต่ในตระกูลของพวกเขา การดำรงอยู่ของพวกมันนับว่ามีคุณค่าอย่างยิ่ง ในขณะนี้ มันง่ายที่จะจินตนาการว่าพวกเขาตื่นเต้นเพียงแค่ไหน เมื่อพวกเขาได้สิ่งที่สูญเสียไปคืนกลับมา
“ข้าพบสิ่งของเหล่านี้จากศพของราชามังกรทมิฬ ลองตรวจสอบดูว่าพวกมันได้รับความเสียหายหรือไม่” ทันทีที่เฉินซีสะบัดแขนเสื้อ ศัสตราวิเศษทั้งสามก็บินกลับไปหาเจ้าของตนเองอย่างแม่นยำ
“ยังไร้ที่ติปราศจากความเสียหายใด ๆ” ตู้ชิงซีเหลือบมองเล็กน้อย และรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขที่ไม่ค่อยพบเห็นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางที่มักจะเย็นเยือกราวกับหิมะเสมอ และนางกล่าวว่า “เฉินซี ข้าไม่รู้จะขอบคุณเจ้าอย่างไรดี”
“ใช่แล้ว ภายในส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ครั้งนี้ถ้าไม่เป็นเพราะเจ้า ข้าเกรงว่าพวกข้าคงถูกกลั่นเป็นโอสถไปเนิ่นนานแล้ว อีกทั้งตอนนี้เจ้ายังช่วยกู้คืนศัสตราวิเศษของเรากลับคืนมา บุญคุณนี้มันช่าง…” เมื่อต้วนมู่เจ๋อนึกถึงอันตรายของการเดินทางในครั้งนี้ เขาก็รู้สึกขอบคุณเป็นเฉินซีอย่างยิ่ง เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็ไม่รู้จะแสดงออกอย่างไรดี
“เสี่ยวเจ๋อ เจ้าอย่าทำตัววุ่นวายนักได้ไหม? พวกเราก็แค่เป็นหนี้ชีวิตเฉินซี ดังนั้นหลังจากนี้เราก็แค่ตอบแทนเขาด้วยชีวิตของพวกเราแค่นั้นก็จบจริงไหม เฉินซี?” ซ่งหลินแย้มยิ้มหลังจากที่กล่าวจบ
“ไสหัวไป! ไอ้เจ้าบัดซบ! ข้ากำลังแสดงความรู้สึกระหว่างลูกผู้ชายด้วยกัน คนอย่างเจ้าไม่รู้เรื่องหรอก!” ต้วนมู่เจ๋อจ้องมองขณะที่เขากล่าวหงุดหงิด
“เฮ้ เสี่ยวเจ๋อ! เจ้าหาว่าข้าไม่ใช่ลูกผู้ชายหรือ? เจ้าอยากตายหรือไร หา?” ซ่งหลินตะโกนเสียงดังด้วยความโมโห
…
เฉินซีเพียงยิ้มและไม่สนใจการโต้เถียงของทั้งสอง เขาเดินไปยังหัวเรือคนเดียวและดื่มสุราสองสามอึกจากขวดน้ำเต้าสีคราม สายตาของเขามองไปยังท้องฟ้ายามราตรีที่อยู่ห่างไกลอย่างเงียบงัน
เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้ว ตั้งแต่เขาเข้าสู่ดินแดนนรกร้างใต้พิภพซึ่งเป็นที่พำนักของเซียนกระบี่ จากนั้นจึงเข้าสู่ส่วนลึกของแนวเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้
มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา เขารู้สึกเหมือนกำลังร่ายรำอยู่บนคมดาบตลอดเวลา ทั้งอันตรายและโชกเลือด พลาดเพียงนิดหมายถึงชีวิตทันที
ภายใต้ภยันตรายที่แฝงอยู่ทุกซอกทุกมุม เขารู้ตัวเสมอหากไม่ใช่เพราะจี้อวี๋คอยอยู่เคียงข้าง เขาคงจะตายไปหลายพันครั้งแล้ว แต่ในตอนนี้ผู้อาวุโสไม่อาจออกจากเคหาได้อีกต่อไปแล้ว…
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฉินซีก็ยกน้ำเต้าสุราขึ้นมาและดื่มอีกอึกใหญ่ เขาอาศัยความเผ็ดร้อนและเข้มข้นของสุราเพื่อบรรเทาความเศร้าโศกและความไม่ยินยอมที่อยู่ในใจ
‘ผู้อาวุโสจี้อวี๋ท่านไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับตัวข้า เพียงหนึ่งปีข้าสามารถพัฒนาจากจากขอบเขตก่อกำเนิดไปสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นห้าดารา อีกทั้งยังบรรลุเต๋าแห่งสายลมได้อย่างสมบูรณ์ จนสามารถฆ่าราชาอีกาทมิฬที่น่าสะพรึงกลัวได้ ดังนั้นข้ามั่นใจว่าข้าสามารถดูแลตัวเองได้อย่างดีเลิศ นับจากนี้ข้าจะฝึกฝนอย่างหมั่นเพียรเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป!’
ในขณะนี้แววตาของเฉินซีส่องประกาย ความมั่นใจและความภาคภูมิใจเผยออกจากดวงตาของเขา เฉินซีในตอนนี้เหมือนกับยอดกระบี่ที่ได้รับการขัดเกลาเป็นอย่างดีและยังไม่ได้ชักออกจากฝัก!
เขาได้คลายปมในใจแล้ว และได้รับความมั่นใจกลับคืนมา
เขาไม่ใช่ชายหนุ่มที่เงียบขรึมและเก็บกดเหมือนเมื่อก่อน ท่ามกลางการฝึกฝนที่อันตรายและการสังหารนับไม่ถ้วนในปีนี้ เขากำลังก้าวเดินทีละก้าวไปสู่เส้นทางที่นำพาไปสู่ปลายยอดของผู้บ่มเพาะ
ไม่ยึดติดกับอดีต ไม่เกรงกลัวอนาคต!
…
“เฉินซีเปลี่ยนไปมาก… ดวงใจเต๋าของเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ มันทั้งบริสุทธิ์ มั่นคง และสมบูรณ์แบบ” ไม่ไกลออกไป ตู้ชิงซีเฝ้ามองเฉินซีอย่างเงียบงัน นางสังเกตเห็นความมั่นใจที่พวยพุ่งออกจากร่างของชายหนุ่มในตอนนี้ นางได้แต่รู้สึกสับสนอยู่ภายในใจ
หนึ่งปีที่แล้ว เขาเป็นเพียงชายหนุ่มผู้อ่อนแอที่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิด ตัวอัปมงคลที่ผู้คนต่างก็รู้จักภายในเมืองหมอกสน เขามักจะวิ่งวุ่นไปกับการสร้างแผ่นยันต์อักขระและฝึกฝนศิลปะการทำอาหารเพื่อหาเลี้ยงชีพ เขามักถูกเย้ยหยัน กลั่นแกล้ง และถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรี
ทว่าตอนนี้ยังมีผู้ใดกล้าดูถูกเขาอีก?
ในที่พำนักของเซียนกระบี่ เขาสามารถยุแยงให้เกิดการต่อสู้โหดร้ายด้วยถ้อยคำเพียงประโยคเดียว จากนั้นก็แก้ไขวิกฤตด้วยถ้อยคำไม่กี่คำ ความคิดของชายหนุ่มคนนี้ละเอียดรอบคอบและคำนึงถึงทุกความเป็นไปได้
ในส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ เขาได้สังหารราชาวานรทมิฬ ราชาเหยี่ยวสายฟ้า ราชามังกรทมิฬ และยังบรรลุต๋าแห่งสายลมอย่างถ่องแท้ รวมถึงยังสามารถเข่นฆ่าราชาอีกาทมิฬภายใต้สถานการณ์ที่สิ้นหวัง พรสวรรค์ของเขานั้นไม่ธรรมดาและพลังของเขาก็ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง
บนเทือกเขาวงจันทรา อสูรจำนวนมหาศาลต่างมาแสดงความยินดีกับเฉินซีอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับผู้ใด อีกทั้งมู่ขุยยังยอมรับอีกฝ่ายเป็นเจ้านายอย่างเต็มใจ และราชาอสูรทั้งสองก็เป็นสหายกับเขา เขาเป็นเหมือนผู้นำโดยกำเนิดที่ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงได้
ใครจะกล้าดูแคลนชายหนุ่มเยี่ยงเขาอีก? จงอย่าได้รังแกผู้เยาว์ที่อ่อนแอ!
ยิ่งตู้ชิงซีคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไร นางก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นเท่านั้น อารมณ์ของนางผันผวนเหมือนกระแสน้ำขึ้นและลง และนางได้หลงใหลเฉินซีไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
“ดูสิ เร็วเข้า! นั่นมัน… แสงไฟ!” ในขณะนั้น ต้วนมู่เจ๋อตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจ
ควับ!
สายตาของทุกคนต่างก็มองไปทางเดียวกัน
ภายในท้องฟ้ายามราตรีอันไร้ขอบเขต มีแสงไฟระยิบระยับปรากฏอยู่ไกลออกไป และเมื่อพวกเขาเข้าใกล้มากขึ้น แสงนั้นก็เหมือนกับมังกรไฟที่กินพื้นที่ถึงสองล้านห้าแสนลี้ ช่างน่าตกตะลึง มันเป็นเมืองขนาดมหึมาที่สว่างไสว!