บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 911 การทำลายล้างแห่งยุค
บทที่ 911 การทำลายล้างแห่งยุค
บทที่ 911 การทำลายล้างแห่งยุค
คำพูดของไป๋จิงเฉิน รวมกับท่าทางหยิ่งผยองเช่นนั้นทำเอาผู้ชมรู้สึกหายใจลำบาก
ไม่มีใครคิดสงสัยคำพูดของเขาอีกแล้วในยามนี้
หรือก็คือทุกคนเชื่อว่าในเมื่อไป๋จิงเฉินกล่าวเช่นนี้ อำนาจของหมัดที่สองของเขาย่อมทรงพลังกว่าหมัดแรกแน่นอน!
“อีกครั้ง!” ทว่าสีหน้าของเฉินซียังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จะมีก็เพียงจิตกระหายการต่อสู้ที่ฉายชัดผ่านนัยน์ตา จนแทบจะแผดเผาท้องนภา
หากเป็นผู้อื่น ความมั่นใจและความต้องการสู้ของคนผู้นั้นคงถูกทำลายไปหลังจากได้ยินเช่นนี้ พวกเขาคงรีบยอมแพ้แต่โดยดี ทว่าสิ่งนี้กลับไม่เกิดขึ้นกับเฉินซี!
นับตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะจนถึงตอนนี้ เขาผ่านอันตรายและอุปสรรคมามากมาย พานพบสถานการณ์อันตรายยิ่งกว่าตอนนี้มานักต่อนัก ฉะนั้นแล้วคำพูดแค่ไม่กี่คำจะส่งผลต่อเฉินซีได้อย่างไร?
เต๋าของเขาไร้ความเกรงกลัวมาโดยตลอด เป็นเต๋าที่ไม่เคยยอมใคร เต๋าที่ทำลายทุกอุปสรรคขวากหนามและมุ่งหน้าต่อไปด้วยความกล้าบ้าบิ่น!
“ดี! จิตใจเช่นนี้แลที่คู่ควรกับหมัดที่สองของข้า!” ไป๋จิงเฉินหัวเราะลั่น สายตาดั่งอสนีบาต “หมัดที่สองนี้เรียกว่ามหาเต๋าแห่งพันธนาการ เจ้าระวังไว้ให้ดีเถอะ!”
ตู้ม!
เขาก้าวเดินออกไป ทำให้พื้นดินสะเทือนไปตามจังหวะก้าวขา ทั่วทั้งร่างส่งเสียงครืดคราด แผ่กลิ่นอายสูงส่งออกมา ราวกับตัวคนกลายร่างเป็นเทพคุมกฎแห่งโลกา ที่เพียงแค่คิด ก็สามารถเปลี่ยนใต้หล้าเป็นกรงกักขังแห่งมหาเต๋า!
พลังทำลายของหมัดยังไม่ทันถูกซัดออก แต่พลังที่ผสานกับอำนาจฟ้าดินเข้าด้วยกันได้โอบล้อมไปทั่วร่างเฉินซีจนเขาก้าวไม่ออกแล้ว
ทันใดนั้น เฉินซีก็รู้สึกได้ว่าหากไป๋จิงเฉินซัดหมัดออกมา ตัวเขาคงไม่อาจหลบพ้น เพราะจิตวิญญาณ ปราณ เงาร่าง และทุกอย่างรอบตัวเขาถูกหยุดการเคลื่อนไหวไปแล้ว และไม่ว่าจะหนีไปทางใด ก็ไม่อาจหลบหมัดนี้พ้น!
“มหาเต๋าแห่งพันธนาการ!” ไป๋จิงเฉินง้างหมัดสูง ก่อนจะส่งกำปั้นออกไป!
…มันเป็นการโจมตีที่เหมือนช้าแต่ก็เร็ว คล้ายหอยทากแต่กลับว่องไวกว่าสายฟ้าฟาด มันให้ความรู้สึกตีกัน ทำลายความรู้เดิมที่มีต่อความลึกล้ำแห่งกาลเวลาและพื้นที่ไปโดยสิ้นเชิง
เฉินซีขนลุกไปทั่วร่าง ชายหนุ่มถูกหมัดของไป๋จิงเฉินสะกดอยู่กับที่ ราวกับมหาเต๋าได้ทอดทิ้งเขาไปแล้ว และตัวชายหนุ่มในขณะนี้ก็ถูกขังไว้ในกรงแห่งมหาเต๋า ทำให้พลังทั้งหมดเกิดความผันผวนที่มิอาจควบคุม
นับว่าหมัดนี้เป็นหมัดที่สะท้านฟ้าดินยิ่งนัก!
เมื่อไม่สามารถกระโดดหลบหรือหลีกเลี่ยงได้เลยเช่นนี้ ความดุร้ายภายในใจเฉินซีพลันถูกกระตุ้นขึ้นมา เขาเร่งโคจรปราณในแดนฮุ่นตุ้นจนระดับสูงสุด จนปราณเซียนในร่างพลุ่งพล่านเหมือนเปลวเพลิงโกรธเกรี้ยว กลายเป็นคลื่นพลังรุนแรงไหลเข้าสู่ยันต์ศัสตรา
ครืน!
ยันต์ศัสตราทะยานขึ้นฟ้าในฉับพลัน มันได้ปลดปล่อยลำแสงสว่างจ้าออกมา และก่อร่างเป็นร่างวิญญาณอันไม่อาจจับต้องของเทพอย่างจักรพรรดิคราม จักรพรรดินีพฤกษา จักรพรรดิพิสุทธิ์ จักรพรรดินีทองคำ จักรพรรดิทมิฬ จักรพรรดินีวารี…
ร่างวิญญาณเหล่านี้เป็นเหมือนเทพแห่งบรรพกาลที่ลืมตาตื่น ยืนอยู่ล้อมรอบกายเฉินซีอย่างทรงอำนาจ มันแสดงถึงพลังแห่งสวรรค์และส่องแสงสว่างให้ใต้หล้า แรงกดดันที่แผ่ออกมาช่างกว้างใหญ่ไพศาลเกินพรรณนา
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหมัดอันน่าเกรงขาม สิ่งนี้ก็คล้ายกับเป็นเพียงภาพลวง! …เพราะหมัดนั่นทะลวงผ่านทุกเกราะกำบังและพุ่งเข้าซัดตรงใส่อกของเฉินซีโดยตรง!
นับเป็นจังหวะชี้เป็นตายได้ทีเดียว!
หากเขาโดนมันในจังหวะนี้ ถึงจะรอดชีวิตไปได้ แต่เฉินซีก็คงได้รับบาดเจ็บหนักและต้องใช้เวลาฟื้นฟูร่างนานนับปี
ในจังหวะสำคัญเช่นนี้ ประสบการณ์ที่เขาแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและเลือดจากการต่อสู้ได้เริ่มเผยออกมา ชายหนุ่มรวบรวมพลังใจและกายทั้งหมด ก่อนจะกลั่นมันให้กลายเป็นพลังวิ่งเข้าสู่ยันต์ศัสตราแล้วตวัดมันออกไป!
ตู้ม!
ทุกคนที่อยู่รอบลานฝึกรู้สึกปวดตาขึ้นมาทันทีเมื่อได้เห็นแสงที่เจิดจ้ารอบกาย แรงกดอากาศระลอกที่สองดีดตัวออกมา กระจายทั่วทั้งฟ้าดิน แสดงให้เห็นภาพแห่งการทำลายล้าง
ทุกคนมีสีหน้าเคร่งขรึมทันทีเมื่อสังเกตเห็นแรงบดขยี้ซึ่งแผ่ออกกว้างนี้
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ทันใดนั้นเอง ผู้อาวุโสไป๋เฉิงก็ตะโกนเสียงดังลั่น ตัวคนกระโจนขึ้นกลางอากาศพร้อมกับสองมือที่โบกสะบัด สร้างม่านแสงขึ้นบนผืนฟ้า แยกลานฝึกออกจากพื้นที่โดยรอบอย่างสิ้นเชิง เพื่อป้องกันไม่ให้อำนาจทำลายล้างกระจายตัวออกไปได้อีก ทำให้ทุกคนในที่นี้ติดอยู่ด้านในเหมือนปลาติดอยู่ในบ่อ
หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็ได้หันไปจับจ้องสิ่งที่เกิดขึ้นบนลานฝึกด้วยความตกตะลึง พวกเขาได้เห็นเฉินซียืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ไหวติง ก่อนจะมีเสียงดังเปรี๊ยะออกมาจากร่าง คล้ายว่าเลือดเนื้อและกระดูกทุกชิ้นในกายได้ถูกบดขยี้ไปแล้ว
ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น ตอนนี้อำนาจน่าเกรงขามของหมัดที่สองจากไป๋จิงเฉินได้ทำลายร่างกายของเขาไปแล้ว และมันก็เป็นหมัดที่สามารถทำลายเมืองใหญ่ทั้งเมืองได้เลยทีเดียว!
อัก! อัก! อัก!
เฉินซีกระอักเลือดออกมากว่าสิบครั้ง ทุกรูขุมขนในร่างเต็มไปด้วยจุดเลือดที่ซึมไปถึงอาภรณ์และหยดลงพื้น เหมือนคนร่างชุ่มโชกไปด้วยเลือด
เขาสูดหายใจเข้าหลายครั้ง เร่งดึงพลังออกมาจากต้นอ่อนเงาทมิฬ ส่งกระแสปราณเซียนเข้าไปในเส้นลมปราณที่ได้รับบาดเจ็บ กระดูกที่หักทั้งหลาย รวมถึงเนื้อและผิวหนังที่ฉีกขาด
แต่เมื่อเทียบกับบาดแผลบนเนื้อกาย วิญญาณของเขากลับได้รับบาดเจ็บมากกว่า มันถึงกับไร้เรี่ยวแรง เผยกลิ่นอายความล่มสลายและความตายออกมา แต่คราวนี้เขายังไม่ทันได้ซ่อมแซมจิตวิญญาณ ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากที่อยู่ภายในห้วงจิตสำนึกก็ได้ส่งกระแสพลังผันผวนออกมาอาบไปทั่วทั้งดวงจิตเสียก่อน
วิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและใกล้จะสูญสลายเต็มทน ในฉับพลันนั้น… มันกลับสามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว!
การปะทะกันในครั้งนี้ทำให้เฉินซีได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นอาการบาดเจ็บหนักที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาจกล่าวได้ว่าเป็นการโจมตีที่เกือบพาเขาไปโลกหน้าแล้ว
แต่ท่ามกลางแรงกดดันอันน่าสะพรึงนี้ จิตวิญญาณของเฉินซีได้พัฒนาขึ้นอย่างมาก ทำให้เขาพบข้อบกพร่องซึ่งแฝงเร้นของตนเอง และมันก็นับเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าที่สุดที่เขาได้จากการปะทะในครั้งนี้!
ลานฝึกเงียบสนิท ไร้เสียงใด
เหล่าผู้ชมต่างมองไปทางเฉินซีด้วยสายตาตกใจและไม่อยากเชื่อ เหมือนไม่คิดฝันว่าชายหนุ่มจะสามารถรับหมัดที่สองของไป๋จิงเฉินได้จริง
“ดีมาก! พลังการโจมตีเมื่อครู่นับว่าสูงส่งพอสมควร จิตวิญญาณการต่อสู้ของเจ้าไม่เลวเลย น่าเสียดายที่ยังห่างจากเป้าหมายที่เจ้าคิดอยากเอาชนะปิงซื่อเทียนอีกไกลนัก!” ไป๋จิงเฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ทำลายความเงียบงันในลานฝึก “แม้การฟื้นคืนพลังของเจ้าจะรวดเร็วเสียจนน่ากลัว แต่ต้องจำไว้ว่าศัตรูย่อมไม่มีทางให้เจ้ามีเวลาได้พักหายใจยามต่อสู้แลกชีวิตกัน! ดังนั้นอย่าได้วางจิตคิดเป็นอื่น เจ้าเชื่อใจได้เพียงความแข็งแกร่งของตัวเองเท่านั้น!”
เฉินซีเองก็เข้าใจหลักการนี้เช่นกัน เพราะไป๋จิงเฉินพูดไว้ไม่ผิดเลย …ด้วยหากเป็นสองหมัดซัดออกมาติดต่อกัน ตัวชายหนุ่มก็คงลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้นนานแล้ว
เสียงของไป๋จิงเฉินดังกังวานก้องอยู่ในลานฝึก ส่วนคนอื่น ๆ เหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด
“อีกครั้ง!” ผ่านไปไม่นาน น้ำเสียงทุ้มต่ำซึ่งแหบแห้งเหมือนเม็ดทรายเสียดสีกันก็ดังออกจากปากเฉินซี พร้อมกันกับน้ำเสียงนั้น เฉินซีได้เงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆ นัยน์ตาที่เคยหมดแสงกลับค่อย ๆ คืนความกระจ่างแล้วลุกโชติช่วงดั่งดวงดารา
ในขณะเดียวกัน กลิ่นอายดุดันอัดแน่นได้แผ่ออกเหมือนลำแสงที่เฉียบคม ดูคล้ายคมกระบี่ที่กว้างใหญ่จนทำให้เกิดการสั่นสะเทือนไปทั่วและทะยานขึ้นฟ้าไป!
ทั่วทั้งร่างของเขาโชกไปด้วยเลือด ใบหน้ายังคงซีดขาวไม่เปลี่ยน เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่มีชิ้นดี แต่ในตอนนี้ทุกคนกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความไม่ยินยอม ความกระหายคลั่ง และความกล้าหาญจากตัวเขา!
เป็นความพากเพียรไม่ยอมแพ้ที่แม้จะเผชิญกับลมฝนมากมาย มันก็ไม่อาจสั่นคลอนเขาได้เลย!
ไป๋เฉิงที่เห็นดังนั้นก็รู้สึกประทับใจ
หลิงไป๋เม้มริมฝีปากแน่น
มุมปากของไป๋หว่านฉิงแฝงแววพึงพอใจอยู่เล็กน้อย
หรือก็คือทุกคนสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงท่าทางที่เปลี่ยนไปของเฉินซี และในใจของพวกเขาก็ได้เกิดความชื่นชมขึ้นอย่างไม่ทันรู้ตัว …ซึ่งมันก็คือการที่พวกเขายอมรับเฉินซีว่าเป็นผู้เก่งกล้าคนหนึ่งแล้วนั่นเอง!
ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่ากระทั่งซางจือยังกำหอกเหล็กในมือแน่นอยู่เงียบ ๆ ร่างสูงของอีกฝ่ายยืนตรงเป็นสง่าและดูเคร่งขรึมมากกว่าเดิม
ไป๋จิงเฉินหรี่ตามองเฉินซี จากนั้นกล่าวว่า “หมัดที่สามเรียกว่าการทำลายล้างแห่งยุค”
สิ้นคำ กลิ่นอายดุดันพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง สะเทือนถึงฟ้าดิน คล้ายกับว่าเขาเป็นตัวตนสูงสุดแห่งใต้หล้านี้ ซึ่งแค่กลิ่นอายน่าเกรงขามนี้ก็มากพอจะทำให้ทุกคนที่อยู่รอบลานฝึกก้าวถอยออกไปอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้แล้ว
หากเจ้าตัวปล่อยหมัดนี้ออกมา อำนาจทำลายล้างของมันจะสูงส่งขนาดไหนกัน?
ตึก!
ไป๋จิงเฉินก้าวเท้าออกมาด้านหน้าแล้วซัดหมัดออกไป
มันไร้เสียงใดดังออกมา เหมือนกับว่าพลังทุกอย่างถูกอัดแน่นอยู่ภายในหมัดนั้น ทำให้มีแต่ความเงียบเมื่อพลังหมัดพุ่งถึงขีดสุด
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของหมัดนี้ ทุกคนก็รู้สึกหนังศีรษะด้านชา ใบหน้าซีดขาวด้วยความตกตะลึง ทั่วทั้งร่างเย็นเฉียบเหมือนตกลงไปในบ่อน้ำเย็น
หลังจากได้ฟื้นฟูร่างกายไปเมื่อครู่ เฉินซีก็รักษาบาดแผลไปได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น แต่จิตวิญญาณของเขา พลัง และแก่นพลังที่เขามีกลับบรรลุถึงจุดสูงสุดอย่างไม่น่าเชื่อไปแล้ว
…ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับ ‘อำนาจยิ่งใหญ่ซุ่มซ่อนตน เสียงสนั่นกลับเงียบสงัด ตัวตนใหญ่ยิ่งกลายเป็นไร้รูป’ เช่นนี้ ในใจของชายหนุ่มพลันเกิดความว่างเปล่าไร้พลังขึ้นมา
แต่ในเสี้ยวอึดใจนั้นเอง เขาก็หลุดออกจากความรู้สึกไร้พลังได้ ในใจพลันกระจ่างแจ้งและสงบนิ่งดั่งหิมะ จิตใจของเขารวมกันเป็นหนึ่ง
ข้าจะต้องต้านทานหมัดนี้ไว้ให้ได้!
ชายหนุ่มมีลางสังหรณ์ว่าหากเขารับหมัดนี้ไว้ได้ ความแข็งแกร่งของเขาก็จะพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น
ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มก็ละทิ้งความคิดและความรู้สึกทุกอย่าง
ลืมสิ้นทุกสิ่งในใต้หล้าและทุกสิ่งที่เคยร่ำเรียนมา
ทว่าภายในแดนฮุ่นตุ้นของเขานั้น พลังอิทธิฤทธิ์ เคล็ดวิชาลึกล้ำ และมหาเต๋ามากมายที่เขาทำความเข้าใจมา …มันกำลังหมุนเวียนไปมาอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนดอกบัวลอยบนธารน้ำใส เป็นเส้นขอบที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ไร้ความตั้งใจใดเจือปน
เฉินซีได้เข้าสู่สภาวะที่ไม่อาจอธิบายได้แล้ว
มันเป็นความลึกล้ำที่หาคำอธิบายไม่ได้ อีกทั้งยังหาชื่อเรียกไม่ได้
“หืม? สหายน้อยผู้นี้สมกับที่ได้ชื่อว่ายอดอัจฉริยะไม่ใช่น้อย สามารถผสานมหาเต๋าเข้าด้วยกันในเวลานี้และตกลงสู่สภาวะลึกล้ำแห่งการรู้แจ้งถึงเต๋าได้” นัยน์ตาของไป๋จิงเฉินมีแสงคล้ายอัสนีวาดผ่าน หมัดของเขาเองก็ไม่ได้ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย ยังคงซัดเข้าใส่เฉินซีอยู่
จังหวะนั้นเอง ชายหนุ่มได้เงยหน้าขึ้น เจตจำนงแห่งเหล็กกล้าและเลือดผสานเข้าด้วยกัน กลายเป็นจิตวิญญาณต่อสู้พุ่งออกมาจากยันต์ศัสตรา
ครืน!
กระบี่และหมัดไม่ได้กระทบกันแม้สักนิดเมื่อพลังที่ซัดออกมาจากทั้งสองเข้าปะทะกัน
จังหวะนั้นเอง ฟ้าดินพลันมืดมน ทุกอย่างรอบกายถูกพลังระเบิดดุดันนี้ปกคลุมไว้เสียมิด…