บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 918 สามีฝีมือทัดเทียมภรรยา
บทที่ 918 สามีฝีมือทัดเทียมภรรยา
บทที่ 918 สามีฝีมือทัดเทียมภรรยา
ทัณฑ์สวรรค์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหนึ่งเรียกว่าทัณฑ์สวรรค์อัสนีคราม มีความหมายโดยนัยว่ามหาเต๋าก็เหมือนฟ้ากระจ่างที่เปิดโอกาสให้คนเราพุ่งขึ้นสูงได้อย่างรวดเร็ว เมื่อขึ้นถึงระดับนี้แล้วก็จะหลุดพ้นจากการเป็นผู้บ่มเพาะ และยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของภพมนุษย์
ทัณฑ์สวรรค์ของขอบเขตเซียนปฐพีระดับสองเรียกว่าทัณฑ์สวรรค์หยินหยาง มีความหมายโดยนัยว่าเป็นการก้าวผ่านหยินหยางเพื่อเข้าใจโลก เมื่อบรรลุถึงระดับนี้แล้ว หยินหยางในร่างจะบรรจบกัน ทุกย่างก้าวจะมีพลังชีวิตชีวาที่สามารถให้กำเนิดทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้ได้
จากนั้นก็จะเป็นแว่นฟ้าทัณฑ์สวรรค์ ดารากะทัณฑ์สวรรค์ จักราทัณฑ์สวรรค์ ทัณฑ์สวรรค์สุญญะ ทัณฑ์สวรรค์เปื้อนโลกีย์ และทัณฑ์สวรรค์เซียงเถา สายฟ้าลงทัณฑ์ที่สร้างขึ้นมาในแต่ละทัณฑ์สวรรค์จะแตกต่างกัน แต่มีความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อถึงขอบเขตเซียนปฐพีระดับสาม ก็มากพอที่จะนับได้ว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีนั้นประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะแล้ว ทั้งยังนับได้ว่าเป็นเซียนปฐพีชั้นยอด
และผู้สามารถบรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพีระดับสาม จะนับว่าเป็นเยี่ยมยุทธ์ในด้านบ่มเพาะ ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของขอบเขตเซียนปฐพี
ทว่าผู้ที่สามารถขึ้นสู่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปด จะมีชื่อเรียกที่เหมือนกัน นั่นคือยอดราชัน!
ด้วยความที่พวกเขายืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของภพมนุษย์เหมือนราชันเซียนปฐพี หากสามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ระดับเก้าได้ ก็จะขึ้นสู่ภพเซียนและท่องใต้หล้าได้อย่างอิสระ
แต่ถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะไม่อยู่ในภพมนุษย์อีกต่อไป ดังนั้นคำว่ายอดราชันจึงใช้เรียกผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดโดยเฉพาะ
ดังนั้นเมื่อเฉินซีได้พบกับทัณฑ์สวรรค์เซียงเถา ซึ่งเป็นทัณฑ์สวรรค์ระดับแปด ถึงทุกคนจะคุ้นเคยกับมันมานานแล้ว แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่ทำให้ใครหลายคนรู้สึกซาบซึ้งได้
ยกตัวอย่างเช่นเวินหัวถิง ผู้อาวุโสเลี่ยเผิง และผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ต่างก็หยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่และมองไปที่ท้องนภาเหนือยอดเขาจรัสตะวันตก
ท้องฟ้าตรงนั้นเต็มไปด้วยสีม่วง สายฟ้าทัณฑ์สวรรค์อันน่าเกรงขามกำลังควบแน่น เสียงสายฟ้าคำรามฟังแล้วชวนให้รู้สึกน่าหวาดกลัว กดดัน และน่าเกรงขาม เหมือนเป็นเสียงของเทพแห่งสายฟ้าก็ไม่ปาน
ถึงแม้จะเป็นสิบสำนักเซียนก็ตาม ทว่ายอดราชันในขอบเขตเซียนปฐพีก็ยังนับเป็นกำลังสำคัญของนิกาย ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงและประมุขนิกายเวินหัวถิงเองก็อยู่ในระดับนี้ทั้งคู่
หากเฉินซีสามารถเอาชนะมันได้ ก็จะมีความหมายต่อนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอย่างยิ่ง
เพราะอำนาจนั้นสามารถหลุดออกจากกรงขังแห่งใต้หล้าได้แล้ว ทำให้มีความสามารถขึ้นสู่ตำแหน่งที่ใช้อำนาจตัดสินใจได้ แม้จะเป็นในบรรดาสิบสำนักเซียนก็ตามที
ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่าเฉินซีนั้นพิเศษกว่าขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่นเป็นไหน ๆ
นานมาแล้วเมื่อครั้งยังอยู่ขอบเขตสถิตกายา เฉินซีกลับสามารถสังหารขอบเขตเซียนปฐพีระดับหกได้แล้ว หากเขาสามารถขึ้นสู่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปด ชายหนุ่มจะมีความแข็งแกร่งสะท้านฟ้าเท่าใดกัน?
ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดกับขอบเขตสถิตกายานั้นมีความแตกต่างกันมาก ทุกย่างก้าวช่วยเพิ่มพลังขึ้นทบเท่าทวีคูณ แค่คิดถึงจุดนี้ก็ทำให้ใจคนสั่นได้แล้ว
อย่างน้อย เวินหัวถิงก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะสามารถทัดเทียมกับเฉินซีได้
หรือก็คือหากเฉินซีบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดได้จริง ชายหนุ่มก็จะนับว่าเป็นขอบเขตเซียนปฐพีชั้นยอดหาใครเทียม!
แต่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดย่อมห่างไกลจากจุดที่สามารถทำท่าเย่อหยิ่งดูถูกผู้คนทั้งโลก และมีอำนาจสูงสุดในภพมนุษย์ได้ เพราะอย่างไรก็ยังมีผู้ละทิ้งสวรรค์และตาเฒ่ามากมายที่เร้นกายอาศัยอยู่
เหมือนกับวิปลาสหลิ่วและสามปราชญ์แห่งเก้าเรืองรอง พวกเขาล้วนเป็นตัวตนที่มีอำนาจเหนือภพมนุษย์ทั้งสิ้น พูดง่าย ๆ ก็คือพวกเขาไม่ต่างอะไรจาก ‘สิ่งแปลกปลอม’ นั่นเอง
…
“หากเป็นไปได้ ข้าก็หวังว่าจะมอบตำแหน่งประมุขนิกายกระบี่เก้าเรืองรองให้กับเฉินซีได้ แต่น่าเสียดายที่รอบกายเขามีภาระต้องแบกรับอยู่มากมายเกินควร คงรั้งตำแหน่งนี้ไว้ได้ไม่นาน” เวินหัวถิงถอนใจ
“ใช่แล้ว เขาเพิ่งบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีได้เพียงสามสิบห้าปีเท่านั้น แต่กลับรุดหน้าอย่างรวดเร็วจนมาถึงจุดนี้ได้ ความสามารถพิเศษเช่นนี้นับว่าหาตัวจับได้ยาก หากสหายน้อยถูกขอให้รับตำแหน่งประมุขนิกาย ก็นับว่าเป็นการเอาความสามารถของเขาฝังลงดินทิ้งไปเปล่า ๆ” ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงเห็นด้วย
“ฮ่า ๆ! ตอนนี้ชื่อเสียงเขาดังไกลไปทั่วทั้งโลกแห่งการบ่มเพาะแล้ว สหายเต๋าคนอื่น ๆ พากันถามข้าอยู่บ่อยครั้งว่า ในนิกายของข้ามียอดอัจฉริยะปีศาจเกิดขึ้นหรืออย่างไร เพราะเห็นว่าทุกห้าปีจะมีสายฟ้าซัดลงมาอยู่ตลอด!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งหัวเราะลั่นขึ้น
คนอื่น ๆ ได้ยินก็หัวเราะตาม พวกเขาต่างเผยสีหน้าแห่งความภาคภูมิใจออกมา
หลายปีที่ผ่านมานี้ เรื่องที่เฉินซีสามารถเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จได้ดังไกลไปจนถึงโลกภายนอก ทำให้เกิดความวุ่นวายใหญ่ขึ้นทีเดียว โลกแห่งการบ่มเพาะต่างพากันถกเถียงเรื่องนี้กันอย่างออกรส คล้ายเป็นนิทานที่บอกเล่ากันด้วยความชื่นชม
ถึงขนาดที่ว่า คนที่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างชิงซิ่วอี้กับเฉินซีคิดคำกล่าวขึ้นมาว่า “คราแรกก็มีชิงซิ่วอี้ที่สามารถเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าได้ในข้ามคืน เป็นสตรีที่มีความองอาจเช่นบุรุษ จากนั้นก็มีเฉินซีที่รุดหน้าขึ้นทุกห้าปี ช่างเป็นสามีที่ฝีมือทัดเทียมกับภรรยานัก”
“เริ่มแล้ว!” เวินหัวถิงพลันเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตามีสมาธิ
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ จึงเก็บรอยยิ้มตนแล้วหันไปมองท้องฟ้าเหนือยอดเขาจรัสตะวันตก
ครืน!
สายฟ้าสีม่วงส่งเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายทรงอำนาจ มันทั้งควบแน่น กว้างขวาง และมีพลังสูงส่งคล้ายราชันจุติลงมาบนผืนปฐพี
เสื้อผ้าของเฉินซีสะบัดพลิ้วไปตามแรงลม ขณะที่บนใบหน้าไร้ซึ่งความเกรงกลัว เขาพุ่งเข้าไปพร้อมกับกระบี่ในมือ
…
“คราแรกก็มีชิงซิ่วอี้ที่สามารถเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าได้ในชั่วข้ามคืน เป็นสตรีที่มีความองอาจเช่นบุรุษ จากนั้นก็มีเฉินซีที่รุดหน้าขึ้นทุกห้าปี เป็นสามีที่ฝีมือทัดเทียมกับภรรยาอย่างนั้นหรือ?”
ภายในนิกายวิถีกระแสสวรรค์ ปิงซื่อเทียนอ่านคำเหล่านี้ออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา ความอบอุ่นในแววตาค่อย ๆ เลือนหาย อีกทั้งบรรยากาศรอบกายยังเปลี่ยนแปลงไป มันกลายเป็นเย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็ง!
“สามีที่ฝีมือทัดเทียมกับภรรยา… สามี… ภรรยา… ฮ่า ๆ! ฮ่า ๆๆๆๆ!” เรือนผมปิงซื่อเทียนพลิ้วไหวยามหัวเราะลั่น
ทว่ามันเป็นเสียงหัวเราะที่ไร้แววปีติยินดี เผยแววความโกรธเกรี้ยวที่ไม่อาจยับยั้งได้ออกมา
ลู่เป๋ยอวี่ที่อยู่ข้างกายรู้ว่าจิตใจอีกฝ่ายคงไม่สู้ดีนักจึงรีบกล่าวว่า “ศิษย์พี่ปิง ใจเย็นก่อนขอรับ!”
“ข้าขุ่นเคืองหรือ? ข้าโกรธหรือไม่?” ปิงซื่อเทียนสะกดรอยยิ้มเอาไว้ แล้วหันไปมองลู่เป๋ยอวี่ด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ สายตาคมกริบดั่งกระบี่กรีดใบหน้าของอีกฝ่ายจนรู้สึกเจ็บปวดได้
“ศิษย์พี่ปิง อาจารย์ป้าอวี้เจินตอบตกลงว่าจะช่วยโน้มน้าวศิษย์พี่หญิงชิงซิ่วอี้แล้ว เราจะไปสนคำนินทาของโลกภายนอกเพื่ออะไร?” ลู่เป๋ยอวี่ยิ้มขมขื่นพลางพูดปลอบปิงซื่อเทียน
“นั่นสินะ กระทั่งซิ่วอี้เองก็ยังไม่ประกาศตนเองให้ชัดเจน ข้าว่านางคงไม่ขัดคำสั่งของอาจารย์ป้าอวี้เจินหรอก” ปิงซื่อเทียนส่ายหน้าเราถอนหายใจ “ข้าแค่รู้สึกไม่พอใจเท่านั้น ซิ่วอี้กลับไปมีลูกกับเจ้ามดนั่นได้ ยามข้าคิดถึงเรื่องนี้เมื่อใด ก็รู้สึกไม่สบายอกสบายใจอยู่ทุกครา”
ลู่เป๋ยอวี่ถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายคลายความโกรธได้ เขาเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มว่า “ในเมื่อรู้สึกเหมือนมีหนามยอกอก เหตุใดเราไม่ถอนหนามนั่นออก นับเป็นการถอนรากถอนโคนไปเสียเลยเล่า?”
“เจ้าหมายความว่าให้สังหารลูกของนางเฉินอันหรือ?” ปิงซื่อเทียนชะงักไป
ลู่เป๋ยอวี่คลี่ยิ้มเงียบ
“เป็นไปไม่ได้หรอก หากสังหารเฉินซีคงไม่เป็นไร แต่หากแตะต้องลูกของนาง ซิ่วอี้คงไม่มีวันให้อภัยข้า อย่างไรเจ้าเด็กนั่นก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของซิ่วอี้” ปิงซื่อเทียนเอ่ยด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“เช่นนั้นก็จัดการเฉินซีก่อน ส่วนเด็กนั่นข้าจะจัดการมันเอง หากศิษย์พี่หญิงชิงซิ่วอี้ต้องเกลียดใคร ก็ให้นางเกลียดศิษย์น้องของนางแล้วกัน!” ลู่เป๋ยอวี่กัดฟันเอ่ยเสียงเหี้ยม
ปิงซื่อเทียนถึงกับอึ้งไป จากนั้นจ้องมองลู่เป๋ยอวี่อยู่นานแล้วตบไหล่เขา “ศิษย์น้องที่แสนดีของข้า! ข้าย่อมสรรหาอนาคตที่ดีรอไว้ให้เจ้ายามขึ้นสู่ภพเซียนแน่!”
ลู่เป๋ยอวี่ส่ายหน้ายิ้ม “หากศิษย์พี่ปิงได้ตามต้องการ ข้าก็พอใจแล้ว”
ปิงซื่อเทียนหันไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาล้ำลึก “ยังเหลือเวลาอีกสามสิบปี ถึงตอนนั้นเฉินซีคงจะมาพิธีที่ซิ่วอี้กับข้าได้กลายเป็นคู่บำเพ็ญกันแน่ อีกทั้งจากที่เดิมพันไว้เมื่อหลายปีก่อน หากซิ่วอี้แต่งงานกับข้า เขาจะต้องทำลายการบ่มเพาะตนเองและฆ่าตัวตายเพื่อชดใช้ความผิด”
ปิงซื่อเทียนหยุดไปเล็กน้อยก่อนว่าต่อ “ถึงเวลานั้นข้าจะจากไปพร้อมกับซิ่วอี้และมุ่งหน้าไปภพเซียน ศิษย์น้องก็อย่าลืมสิ่งที่พูดไว้ก่อนหน้านี้เสียล่ะ”
ลู่เป๋ยอวี่ยิ้มกล่าว “ข้าจะลืมเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศิษย์พี่ปิงไปได้อย่างไรกัน?”
ปิงซื่อเทียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมา “ว่ากันตามตรง หากสหายน้อยผู้นี้ไม่ได้เป็นศัตรูกับข้า ข้าก็หวังว่าจะทำให้เขามีประโยชน์กับข้าขึ้นมาบ้าง เพราะอย่างไรคนรุ่นนี้ที่จะมีความสามารถสูงส่งเช่นเขาหาได้ยากนัก แม้กระทั่งในภพเซียนก็ตาม น่าเสียดายจริง”
‘น้ำตาจระเข้ชัด ๆ’
จู่ ๆ ลู่เป๋ยอวี่ก็นึกถึงคำนี้ขึ้นมา ก่อนจะรู้สึกขำขันในใจ แต่กลับมีสีหน้าจริงจังแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์พี่ปิง ท่านต้องระวังเจ้าเด็กนั่นไว้ให้ดี มันอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นได้ อย่างน้อยเขาก็อยู่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดแล้ว ควบรวมกับฝีมือการต่อสู้ที่เคยได้เห็นในอดีตแล้ว เราจะดูถูกเด็กคนนี้ไม่ได้!”
ปิงซื่อเทียนยิ้มมองลู่เป๋ยอวี่ “ศิษย์น้อง อย่าลืมว่าถึงแม้ข้าจะเป็นร่างอวตาร แต่ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของข้าคือขอบเขตเซียนทองคำนะ!”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ ใบหน้าก็มีแววเย่อหยิ่งจองหอง “เซียนปฐพีอย่างไรก็เป็นเพียงเซียนปฐพี หากนำมาเทียบกับเซียนสวรรค์ คนหนึ่งอยู่บนฟ้า อีกคนหนึ่งอยู่บนดิน แตกต่างกันราวฟ้ากับดินทีเดียว!”
ลู่เป๋ยอวี่เอ่ยยิ้ม ๆ “ดูท่าศิษย์พี่จะวางแผนเอาไว้แล้วตั้งแต่ต้น เช่นนี้ก็ดีแล้ว”
ถึงจะพูดออกมาแบบนั้น แต่ในใจเขาก็ยังเป็นกังวลอยู่ เพราะรู้ดีว่าที่นี่คือภพมนุษย์ไม่ใช่ภพเซียน ภายใต้ข้อจำกัดของกฎเต๋าแห่งสวรรค์ ไม่ว่าผู้ใดจะแข็งแกร่งสะท้านฟ้าแค่ไหน แต่ก็จะถูกยับยั้งพลังไว้
ไม่เช่นนั้น ภพมนุษย์ก็คงถูกคนจากภพเซียนถล่มจนไม่เหลือซากแล้ว ถึงขนาดที่ไม่จำเป็นต้องให้เซียนลงมาด้วยซ้ำ เพราะแค่ผู้ละทิ้งสวรรค์ทั้งหลายและตาเฒ่าเร้นกายพวกนั้นก็ยังสามารถทำลายแดนภวังค์ทมิฬนับครั้งไม่ถ้วนได้แล้ว
เหตุผลที่สงครามแห่งภัยพิบัติเช่นนั้นยังไม่เกิดขึ้น ก็เป็นเพราะการยับยั้งของกฎเต๋าแห่งสวรรค์นั่นเอง เมื่อมันจับพลังเกินกำหนดได้ สวรรค์ก็จะยับยั้งพลังนั้นไว้
ยกตัวอย่างเช่น ถึงแม้ปิงซื่อเทียนจะมีชื่อเสียงโดดเด่นเป็นเซียนทองคำจากภพเซียน แต่ร่างอวตารของเขาก็มีพลังเทียบเท่าเซียนสวรรค์เท่านั้น เพราะพลังของเซียนสวรรค์จะถูกยับยั้งไว้เมื่ออยู่ในภพมนุษย์ ไม่เช่นนั้นเต๋าแห่งสวรรค์ก็จะไม่ปล่อยไว้
เท่าที่ลู่เป๋ยอวี่รู้ ปิงซื่อเทียนสามารถใช้พลังได้สูงสุดแค่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับเก้าเท่านั้น ซึ่งก็ด้อยกว่าเซียนสวรรค์
แต่แน่นอนว่านี่ก็เป็นแค่เรื่องการบ่มเพาะและพลังเท่านั้น ในการต่อสู้จริง แค่พลังจากกฎที่ปิงซื่อเทียนได้มา และศาสตร์เซียนชั้นสูงแห่งภพเซียนของเขา มันก็มากพอจะทำให้ฝั่งเขาได้เปรียบและชิงโอกาสในการต่อสู้ได้แล้ว
แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่สามารถลบความกังวลในใจของลู่เป๋ยอวี่ให้หายไปได้ เพราะหลายปีที่ผ่านมานี้มีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเฉินซี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่สามารถใช้กฎเกณฑ์ใดมาคาดการณ์ได้
หรือก็คือเฉินซีเป็นเจ้าตัวประหลาดที่ไม่สามารถประเมินได้เลยว่ามีความแข็งแกร่งถึงขั้นไหนกันแน่
และก็เป็นเพราะสาเหตุนี้ที่ลู่เป๋ยอวี่ยังไม่กล้ามั่นใจจนเกินไป
“ศิษย์น้อง เจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อมกับเหตุการณ์ในอีกสามสิบปีข้างหน้าให้ดี ข้าต้องการให้เจ้าจัดงานเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ให้กับข้า และข้าอยากให้ซิ่วอี้เป็นสตรีที่มีความสุขที่สุด เป็นผู้ที่ทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬต้องให้ความสนใจ! อีกทั้งข้ายังอยากให้เจ้ามดตัวจ้อยนั่นได้เข้าใจว่า เรื่องทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มีเพียงข้าปิงซื่อเทียนที่จะสามารถมอบให้นางได้!” ปิงซื่อเทียนเดินจากไปพร้อมกับสองมือไพล่หลัง ดูมีกำลังใจ คล้ายกับชัยชนะอยู่ในกำมืออย่างไรอย่างนั้น