บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 933 สำนักไพรคราม
บทที่ 933 สำนักไพรคราม
บทที่ 933 สำนักไพรคราม
เมืองหมอกสนเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่ง ซึ่งดูราวกับว่ามันจะกลายเป็นเมืองอันดับหนึ่งในดินแดนทางตอนใต้ไปแล้ว
ซึ่งสิ่งทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากตระกูลเฉิน
แม้มันจะไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่กล่าวว่า ตระกูลที่มีเกียรติสูงที่สุดในแผ่นดินซ่งทั้งหมดย่อมคือตระกูลเฉินเมืองหมอกสนอย่างไม่ต้องสงสัย
นี่เป็นชื่อเสียงที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ที่มีเพียงตระกูลเฉินเท่านั้นที่สมควรได้รับ
ยิ่งกว่านั้น ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้เลยว่า ตระกูลเฉินแห่งเมืองหมอกสนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วดินแดน และเหมือนดวงอาทิตย์ที่แผดเผาบนท้องฟ้ายามเที่ยงวันนั้น เกือบจะถูกทำลายล้างไปเมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว
ทั้งหมดนี้เป็นเหมือนปาฏิหาริย์ที่ทุกคนได้แต่อุทานด้วยความชื่นชม และคนที่สร้างปาฏิหาริย์นี้คือพี่น้องที่มีชื่อเสียงของตระกูลเฉิน… เฉินซีและเฉินฮ่าว!
ในวันนี้ ชายหนุ่มควบขี่ลาสีดำมาถึงเมืองหมอกสน เขาเดินช้า ๆ ไปตามท้องถนนและมาถึงที่เบื้องหน้าจวนตระกูลเฉินโดยไม่รู้ตัว
เขายืนอยู่ที่นี่และจ้องมองจวนขนาดใหญ่เงียบ ๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันหลังและจากไป
ภายในโรงน้ำชา เสี่ยวเอ้อร์กำลังรินน้ำชาด้วยความเอาใจใส่อย่างพิถีพิถัน ในขณะที่นักเล่านิทานกำลังเล่าเรื่องราวด้วยความเพลิดเพลิน แขกเหรื่อต่างเข้าออกดุจสายน้ำ ทำให้ที่นั่งในโรงน้ำชาเต็มไปหมด และดูคึกคักอย่างมาก
ชายหนุ่มนั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียวและจิบชาเงียบ ๆ แต่ส่วนใหญ่เขากำลังฟังตำนานเรื่องราวที่ขับขานโดยนักเล่านิทาน
ชาวเมืองหมอกสนเคยได้ยินตำนานเรื่องราวนี้มาเป็นเวลาหลายปีและนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังสามารถเรียกคำชมจากผู้คนได้ทุกครั้งที่นักเล่านิทานเล่าเรื่อง
เหตุผลก็คือตัวละครหลักของตำนานเรื่องราวนี้คือเฉินซี มันเริ่มต้นจากประสบการณ์ในวัยเด็ก ที่ชายหนุ่มคว้าอันดับหนึ่งในการจัดอันดับมังกรซ่อนได้อย่างไร เขาคว้าตำแหน่งผู้ชนะเลิศในการชุมนุมธารทองได้อย่างไร คว้าอันดับหนึ่งในการชุมนุมดาวรุ่งได้อย่างไร หรือเฉินซีสร้างชื่อให้แก่ตนเองจนเลื่องลือไปทั่วใต้หล้าได้อย่างไร และวีรกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย
ประสบการณ์ทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นตำนานเรื่องราวที่น่าสนใจที่สุดในหมู่นักเล่านิทาน
ชายหนุ่มฟังด้วยความสนใจอย่างมากเช่นกัน และสีหน้าของเขาก็ไม่แตกต่างจากแขกเหรื่อคนอื่น ๆ มากนัก
“พ่อหนุ่ม ในเมื่อเจ้าก็มาแล้ว เหตุใดเจ้าถึงไม่มาพบข้าเล่า” เมื่อนักเล่านิทานกำลังจะเล่าจบ เสียงอันแผ่วเบาและสูงวัยได้ดังก้องข้างหูของชายหนุ่มผู้นั้น
ชายหนุ่มผู้นั้นตกตะลึง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนและประสานมือไว้แต่ไกล ๆ ด้วยท่าทางที่อ่อนน้อมถ่อมตนและเปี่ยมด้วยกิริยาที่สุภาพเรียบร้อย
การกระทำที่แปลกประหลาดนี้ได้เรียกความสนใจของผู้คนมากมายในโรงน้ำชาทันที
ชายหนุ่มดูจะไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งนี้เลย เขายกมือขึ้นก่อนจะวางขวดหยกลงบนโต๊ะ แล้วยิ้มอย่างอบอุ่นให้กับนักเล่านิทาน “เรื่องราวน่าสนใจยิ่ง นี่คือคำขอบคุณจากข้า โปรดรับมันด้วยเถิด”
ทันทีที่ชายหนุ่มกล่าวจบ เจ้าตัวก็หันหลังและออกจากโรงน้ำชาไป
การกระทำเหล่านี้ทำให้ทุกคนในโรงน้ำชาตกตะลึง จากนั้นพวกเขาก็จ้องมองไปยังขวดหยกบนโต๊ะอย่างพร้อมเพรียงกัน ขวดหยกนี้ยาวเพียงสี่ชุ่นและมีสีขาวดุจหยก
“ขอข้าดูหน่อยว่ามีสิ่งใดอยู่ในขวดเล็ก ๆ นี้บ้าง” ผู้บ่มเพาะคนหนึ่งเดินไปข้างหน้าและหยิบขวดหยกขึ้นมาโดยตรง ทันทีที่เขาเปิดฝาเล็ก ๆ ออก กลิ่นสดชื่นและหอมหวานพลันลอยฟุ้งออกมา ซึ่งดูเหมือนว่าจะสามารถแทรกซึมเข้าสู่ดวงวิญญาณของคนได้
ทันใดนั้น โรงน้ำชาที่เต็มไปด้วยเสียงดังเซ็งแซ่ก็เงียบลง ในขณะที่ทุกคนแสดงอาการมึนเมาออกมา ร่างกายของพวกเขาสดชื่น รู้สึกราวกับว่ามีน้ำพุใสกระจ่างชำระล้างทั้งร่างกายและจิตใจ
ปฏิกิริยาของนักเล่านิทานนั้นรวดเร็วที่สุด เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างดุดันและคว้าขวดหยกเอาไว้ ก่อนจะเก็บมันไว้ในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง ราวกับเกรงกลัวอย่างยิ่งที่จะทำให้ขวดแตก
“ศิลาวิญญาณหนึ่งร้อยก้อน ขายขวดหยกนี้ให้ข้า!” ผู้บ่มเพาะคนนั้นฟื้นจากอาการตกใจเช่นกัน และความตื่นเต้นที่อธิบายไม่ได้ก็ปรากฏบนใบหน้าของเจ้าตัว ในขณะที่ตบกระเป๋าเก็บของบนโต๊ะโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ไม่ขาย!” นักเล่านิทานส่ายหน้าอย่างหนักแน่น แม้เขาจะไม่รู้แน่ชัดว่ามีสิ่งใดอยู่ในขวดหยก แต่นักเล่านิทานเชื่อมั่นว่ามันจะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน
“ศิลาวิญญาณหนึ่งพันก้อน!” ผู้บ่มเพาะคนนั้นตกตะลึง จากนั้นเขาก็กัดฟันก่อนจะกล่าวอีกครั้ง
นักเล่านิทานยังคงส่ายหน้า เพราะปฏิกิริยาของผู้บ่มเพาะทำให้เขาเข้าใจความล้ำค่าของขวดหยกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“มารดามันเถอะ! เจ้าอย่าได้โลภเกินไป! อย่าบังคับให้ข้าใช้กำลัง!” ผู้บ่มเพาะคนนั้นเลิกเสแสร้งทั้งหมดและกล่าวอย่างดุร้าย
“ถ้าเจ้าแน่จริงก็ลงมือซะ!” นักเล่านิทานไม่กลัวแม้แต่น้อย เขากล่าวเสียงดังว่า “แต่ข้าขอเตือนไว้อย่าง นี่คือเมืองหมอกสน เจ้ากล้าเพ้อฝันถึงการมีชีวิตอยู่ได้อีกหรือ? ในเมื่อเจ้าฆ่าข้าแล้ว!”
ผู้บ่มเพาะคนนั้นตกตะลึง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเลือดฝาด ก่อนจะถ่มน้ำลายรดพื้น จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไปด้วยความเดือดดาล
มันช่วยไม่ได้ เพราะนี่คือเมืองหมอกสน และแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็ไม่กล้าสร้างปัญหาที่นี่ เพราะตระกูลเฉินตั้งรกรากอยู่!
เมื่อเห็นสิ่งนี้ นักเล่านิทานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ และมันเป็นความภาคภูมิใจที่ได้มาจากการเป็นผู้อาศัยในเมืองหมอกสน
…
ภายในเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ ณ ริมฝั่งของเกาะที่ใจกลางทะเลสาบ
ชายหนุ่มเดินบนน้ำที่ใสดุจผลึกของทะเลสาบด้วยท่าทางสบาย ๆ และเสื้อผ้าของเขาก็พลิ้วสยายตามแรงลม ในขณะที่ตัวคนดูจะไร้ความกังวล
“ผู้ใดกล้าบุกรุกเข้ามาในอาณาเขตของตระกูลข้า!” จู่ ๆ ร่างกำยำสูงใหญ่ได้ปรากฏตัวขึ้นที่เกาะ และมองดูชายหนุ่มจากระยะไกลพร้อมกับประกาศคำเตือน
คนผู้นี้คือเด็กหนุ่มตัวสูงที่มีคิ้วดกหนา ดวงตากลมโต ดูกล้าหาญแกร่งกล้า อีกทั้งมีกลิ่นอายที่ดุร้ายและรวดเร็ว
“คนผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งนัก” ในเวลาเดียวกัน มีร่างอีกร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างของเด็กหนุ่มคนนี้
เจ้าของร่างนี้คือเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่มีหน้าตาหล่อเหลา คิ้วคมกริบเหมือนใบกระบี่ นัยน์ตาเต็มไปด้วยประกายดวงดาว มีรูปร่างที่สง่างาม กิริยาท่าทีสำรวมนิ่งสงบ ซึ่งขับเน้นให้เจ้าตัวดูไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
ขณะที่ชายหนุ่มมองไปยังสหายตัวน้อยทั้งสองที่มีท่าทางแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ริมฝีปากของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขามองไปยังเด็กหนุ่มอีกครั้งด้วยท่าทางที่สงบ พร้อมกล่าวว่า “หากข้าเดาไม่ผิด บิดามารดาของเจ้าคือเฉินซีและชิงซิ่วอี้ใช่หรือไม่?”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างใจเย็น “ประกาศชื่อและจุดประสงค์ของเจ้าก่อน แล้วข้าจะตอบเจ้าในภายหลัง”
ชายหนุ่มผู้นั้นตกตะลึง เพราะเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตนเองจะถูกเด็กหนุ่มทั้งสองหยุดไว้ และนี่ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเขา
“อวี่เอ๋อร์ อันเอ๋อร์ อย่าได้ล่วงเกินแขก ข้าเป็นคนขอให้เขามาที่นี่เอง” ในขณะนี้ ร่างผอมบางปรากฏขึ้นที่หน้าเกาะ ใบหน้าของคนผู้นี้ซูบผอม และดวงตาดูสงบนิ่ง ทว่ากลับเผยให้เห็นถึงประสบการณ์และความเข้าใจที่มองผ่านโลก แท้จริงแล้ว คนผู้นี้คือจี้อวี๋!
ส่วนเด็กหนุ่มสองคนนั้นก็คือเฉินอวี่และเฉินอันนั่นเอง
“ชิวเสวียนซู คารวะผู้อาวุโส” ชายหนุ่มจ้องมองไปที่จี้อวี๋อยู่ครู่หนึ่ง และดูเหมือนเขาจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ทำให้สีหน้าของเจ้าตัวกลายเป็นเคร่งขรึม และโค้งคำนับทันที
ช่างน่าประหลาดใจ แท้จริงแล้วชายหนุ่มคนนี้คือปราชญ์โดยกำเนิดจากแดนไร้นาม ซึ่งเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งในการชุมนุมใหญ่ของนิกายเซียน ชิวเสวียนซู!
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน เขาเคยไปเยี่ยมเยือนเฉินซี แต่ไม่มีโอกาสได้พบอีกฝ่าย ซึ่งประมุขแห่งนิกายเก้ากระบี่เรืองรองเวินหัวถิงได้ประเมินไว้ว่า “ในโลกยามนี้ ชิวเสวียนซูเป็นชายหนุ่มผู้เก่งกาจอันดับสองที่ไม่ธรรมดาซึ่งข้าเคยพบ และอนาคตของเขาก็จะไร้ขีดจำกัด”
ต่อมา ชิวเสวียนซูได้ออกจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง และเริ่มออกพเนจรไปทั่วโลก ทำให้ไม่มีใครทราบที่อยู่ของเขา แต่กลับไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะมาที่เมืองหมอกสนจริง ๆ
“มาเถิดสหายน้อย เนื่องจากเจ้าเป็นศิษย์ของสำนักไพรครามในแดนไร้นาม ดังนั้นเจ้าจึงไม่ใช่คนนอก” จี้อวี๋โบกมือให้ ก่อนจะหันหลังกลับและเดินไปที่เกาะ
ชิวเสวียนซูตกตะลึง และเขาไล่ตามอย่างเร่งรีบ ก่อนจะถามด้วยสีหน้าที่สำรวมยิ่งกว่าเดิม “ผู้อาวุโส ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้ามาจากที่ใด”
เขาสงสัยใคร่รู้อย่างแท้จริง เพราะในบรรดาผู้คนนับไม่ถ้วนในแดนภวังค์ทมิฬ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถรู้เกี่ยวกับแดนไร้นาม ในขณะที่จำนวนคนส่วนน้อยนี้ที่มีความรู้เกี่ยวกับสำนักไพรครามก็สามารถนับได้ด้วยมือเดียว
อย่างไรก็ตาม คนผู้นี้ที่อาศัยอยู่ในโลกใบเล็กและอยู่ในภูเขาลึกเช่นนี้ กลับเปิดเผยต้นกำเนิดของเขาด้วยประโยคเดียว ดังนั้นชิวเสวียนซูจะไม่แปลกใจได้อย่างไร?
แต่เรื่องที่เขาสนใจที่สุดก็คือ ตอนที่จี้อวี๋บอกว่าตัวเขาไม่ใช่คนนอก เพราะคำกล่าวเหล่านี้กระตุ้นความคิดได้อย่างแท้จริง
“นั่งสิ” จี้อวี๋นั่งบนเก้าอี้โยกและขอให้ชิวเสวียนซูนั่ง แต่เจ้าตัวก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า ทำให้จี้อวี๋กล่าวว่า “เจ้าไม่เหมือนกับอาจารย์ของเจ้าเลย”
ชิวเสวียนซูตกตะลึงและกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ท่านรู้จักอาจารย์ของข้าด้วยหรือขอรับ?”
จี้อวี๋ยิ้มอย่างเบิกบานและกล่าวว่า “ตั้งแต่สมัยโบราณ สำนักไพรครามประกอบด้วยคนสองคนมาโดยตลอด คนหนึ่งเป็นผู้พิทักษ์ตำราและอีกคนหนึ่งเป็นบัณฑิตที่มีหน้าที่อ่านตำรา เจ้าคงเป็นบัณฑิต ในเมื่อเจ้าออกจากสำนักและเริ่มออกท่องโลก ก็หมายความว่าเจ้าอ่านตำราทั้งหมดในสำนักหมดแล้ว”
ชิวเสวียนซูพยักหน้าและกล่าวด้วยท่าทางที่เคารพมากยิ่งขึ้น “ผู้อาวุโส ช่างรอบรู้อย่างแท้จริง”
เขาชื่นชมจากใจจริง เพราะเป็นอย่างที่จี้อวี๋กล่าว เขาเป็นบัณฑิตที่มีหน้าที่อ่านตำราในสำนักไพรคราม ในขณะที่อาจารย์ของเขาเป็นผู้พิทักษ์ตำรา แต่อาจารย์ของเขาได้ออกจากสำนักไพรครามไปหลายปีแล้ว
ในทางกลับกัน หากเขาต้องการเป็นผู้พิทักษ์ตำรา เขาต้องออกท่องไปทั่วโลกเพื่อค้นหาศิษย์ที่มีความสามารถทางวรรณกรรม ความกล้าหาญ และสติปัญญา จากนั้นจึงพาศิษย์มาที่สำนักไพรคราม เพื่อให้ศิษย์ได้อ่านและทำความเข้าใจเกี่ยวกับตำราแทนที่ตัวเขาในฐานะบัณฑิต
จี้อวี๋ส่ายศีรษะและถอนหายใจ “หรืออาจารย์ของเจ้าจะไม่เคยบอกเจ้าว่า ผู้พิทักษ์ตำราจะไปบ่มเพาะที่ใดในภายภาคหน้า?”
ชิวเสวียนซูกล่าวด้วยความผิดหวัง “ท่านอาจารย์ได้เดินทางจากไปแล้ว เมื่อข้าเข้าร่วมกับสำนัก”
ในขณะนี้ เป็นจี้อวี๋ที่ตกตะลึงแทน จากนั้นเขาก็อดหัวเราะไม่ได้ “แน่นอน มีเพียงน้องสี่เท่านั้นที่จะทำสิ่งที่ไร้สาระเช่นนี้”
ชิวเสวียนซูสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับกล่าวอย่างจริงจังและจริงใจว่า “เรียนผู้อาวุโส ผู้เยาว์ขอทราบเป็นความรู้ ‘น้องสี่’ ที่ท่านกล่าวถึงนี้ เป็นอาจารย์ของข้าใช่หรือไม่”
ไม่จำเป็นต้องกล่าวใด ๆ ชิวเสวียนซูเป็นคนที่ให้ความเคารพ สุภาพเรียบร้อยและอ่อนโยน ท่าทางที่ดูเหมือนจะเป็นบันฑิตแต่กำเนิดของเขา ซึ่งไม่เย่อหยิ่งหรือหุนหันพลันแล่นได้ตราตรึงอยู่ในกระดูก
มันง่ายมากที่ผู้อื่นจะมีความประทับใจที่ดีต่อคนเช่นนั้น และผู้อื่นก็จะไม่รู้สึกถึงความเกลียดชังต่อเขา
“ใช่แล้ว ฉายาอันทรงเกียรติของอาจารย์เจ้าคือ เก้าโทมนัส ณ ปัจจุบัน เขากำลังบ่มเพาะอยู่ในเขาเทพพยากรณ์ และศึกษาเต๋าแห่งยันต์อักขระ เขาเป็นศิษย์คนที่สี่ในบรรดาศิษย์พี่น้องทั้งหมด” จี้อวี๋กล่าวอย่างสบาย ๆ
เห็นได้ชัดว่าชิวเสวียนซูเคยได้ยินเกี่ยวกับการมีอยู่ของเขาเทพพยากรณ์เช่นกัน เพราะดวงตาของเขาเบิกกว้าง ในขณะที่ตัวคนคล้ายสูญเสียความสงบเมื่อได้ยินว่าอาจารย์ของตนกำลังบ่มเพาะในเขาเทพพยากรณ์
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เจ้าตัวจึงเอ่ยถามว่า “ถ้ากระนั้นผู้เยาว์ขอเรียนถามว่าผู้อาวุโสคือใครกัน?”
จี้อวี๋ยิ้มเบา ๆ และกล่าวว่า “ข้าเป็นแค่อาชญากรของสามภพ และไม่มีอะไรควรค่าแก่การกล่าวถึง หากข้าเดาไม่ผิด ที่เจ้ามาที่เมืองหมอกสนก็เพราะเฉินซีกระมัง?” ชิวเสวียนซูพยักหน้า “ใช่แล้วขอรับ ข้าตั้งใจถกเรื่องเต๋ากับเฉินซีมาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน น่าเสียดายที่ข้าไม่มีโอกาสได้พบเขา ข้าจึงมาที่นี่ด้วยความตั้งใจที่จะค้นหาร่องรอยการเติบโตของเขา และเพื่อดูว่าเขาเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบใดกัน”
“แล้วตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยังล่ะ?” จี้อวี๋ถาม
“หลังจากที่ได้พบกับผู้อาวุโส ผู้เยาว์จึงเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว” ชิวเสวียนซูกล่าว
“น่าเสียดายที่เจ้ายังเข้าใจผิด ทุกสิ่งที่เขาครอบครองไม่เกี่ยวข้องกับข้ามากนัก และเขาค้นหามันด้วยตัวเองทั้งหมด” จี้อวี๋ส่ายศีรษะ
ชิวเสวียนซูตกตะลึงและรู้สึกไม่เชื่อเล็กน้อย
แต่จี้อวี๋ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปยังระยะไกล พร้อมกับกล่าวว่า “มีคนกำลังมาที่เมืองหมอกสนเหมือนเจ้า แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีจิตสังหารซึ่งแตกต่างกับตัวเจ้า”
ใบหน้าของชิวเสวียนซูเปลี่ยนเป็นจริงจัง เขาตั้งสมาธิและแผ่จิตสัมผัสออกมาครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “เป็นอย่างที่ผู้อาวุโสกล่าวจริง ๆ ข้าดูเหมือนจะรู้จักคนผู้นี้”
“งั้นคงต้องรบกวนให้เจ้าฆ่าเขาแล้ว” จี้อวี๋กล่าวอย่างเฉยเมย
“ผู้น้อยควรทำในนามของใครกัน?” ชิวเสวียนซูเอ่ยถาม
“ในนามของอาจารย์ลุงตัวน้อยของเจ้า” จี้อวี๋ยิ้มในขณะที่มองไปยังชิวเสวียนซู
“อาจารย์ลุงตัวน้อยหรือ? เขาก็เป็นศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์เช่นกันหรือนี่ ไม่แปลกใจเลย” ชิวเสวียนซูเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง และท่าทางที่ซับซ้อนก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่จะพยักหน้าคล้ายรับรู้บางอย่าง “งั้นผู้เยาว์จะลงมือเอง”
ทันทีที่กล่าวจบ ชิวเสวียนซูก็ยืนขึ้นและประสานมือให้แก่จี้อวี๋ ก่อนที่ร่างจะกลายเป็นประกาย หายไปจากจุดนั้น!