บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 942 มาพร้อมกับผู้เยี่ยมยุทธ์
บทที่ 942 มาพร้อมกับผู้เยี่ยมยุทธ์
บทที่ 942 มาพร้อมกับผู้เยี่ยมยุทธ์
เป้ยหลิงกระอักเลือดออกมา ในขณะที่ใบหน้างามของนางซีดเซียว
สิ่งที่สะดุดตาเป็นพิเศษคือมีรูเลือดที่ไหล่ขวาของนาง และปราณสีดำก็ส่งเสียงฟู่ ๆ อยู่บริเวณรอบ ๆ บาดแผลราวกับมันกำลังกัดกร่อนผิวหนังของนาง
ถึงอย่างนั้น สีหน้าของหญิงสาวก็ยังคงเย็นชา แต่ดวงตาที่จ้องมองไปยังชิงเซียวกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ที่แท้มันก็คือกระบี่พิสดารไร้เสียง! เจ้าเป็นศิษย์ของวิถีนรกกระมัง?”
ชิงเซียวตกตะลึง จากนั้นเขาก็หัวเราะเบา ๆ “ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าสายตาของเจ้าจะเฉียบแหลมขนาดนี้”
ความหมายในคำพูดของเขาคือการยอมรับโดยปริยาย
“ในบรรดาหกวิถีสังสารวัฏ วิถีนรกทำหน้าที่ไล่ล่าและปราบปราม พวกเขาถูกเรียกว่าตุลาการนรก แต่เท่าที่ข้าทราบมา ตุลาการนรกต้องได้รับมอบหมายจากผู้บังคับลงทัณฑ์ในกรมราชทัณฑ์เสียก่อน จึงจะเคลื่อนไหวได้ การทำโดยไม่ได้รับอนุญาตและสร้างปัญหาให้แก่ข้าครั้งนี้ถือเป็นข้อห้ามอย่างยิ่ง!”
เป้ยหลิงกล่าวอย่างใจเย็นว่า “เพราะข้าไม่ใช่อาชญากรหรือวิญญาณร้าย และข้าไม่เคยฝ่าฝืนกฎของนรกใต้พิภพ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเจ้าจงใจทำร้ายข้า และถ้าข่าวนี้แพร่กระจายกลับไปยังนรกใต้พิภพ ผู้บังคับลงทัณฑ์อาจจะไม่ยกโทษให้เจ้า”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ชิงเซียวไม่เพียงไม่เกรงกลัว แต่ความดูถูกเหยียดหยามกลับฉายวาบในดวงตาของเขาแทน และเขาดูจะปรายตามองเป้ยหลิงด้วยความสมเพช “ถ้าเป็นช่วงยุคสมัยของจักรพรรดิยมโลก ข้าคงกลัวอย่างมากกับสิ่งที่เจ้ากล่าวถึง”
เขาหยุดชั่วขณะแล้วส่ายศีรษะ แล้วจึงกล่าวว่า “น่าเสียดาย เจ้าคงลืมบางอย่างไป ยมโลกไม่เพียงจะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย แม้แต่นรกใต้พิภพก็ยังยุ่งเหยิงเช่นกัน หกวิถีสังสารวัฏกำลังทำหน้าที่ของมัน และราชานรกทั้งสิบได้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย แม้กระทั่งกรมราชทัณฑ์ก็ยังเต็มไปด้วยความขัดแย้งภายในที่ไม่รู้จบในตอนนี้”
“ส่วนโถงน้ำพุยมโลก โถงยายเฒ่าเมิ่ง เมืองผู้หลงผิด และห้าทวารแห่งนรก ล้วนแต่กำลังรวบรวมกองทัพของพวกมัน และคอยเฝ้าดูด้วยความโลภ ตั้งใจที่จะแย่งชิงอำนาจ ด้วยเหตุนี้ แล้วผู้ใดจะยังคงทำตามกฎที่จักรพรรดิยมโลกได้กำหนดไว้ในอดีต?”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของชิงเซียวก็แฝงไปด้วยความสมเพช “เจ้าคงปิดด่านบ่มเพาะมานานเกินไป และคงหลงลืมไปแล้วว่านี่ไม่ใช่ยุคที่จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามครองราชย์ ช่างน่าสมเพชเสียเหลือเกิน ที่ตัวเจ้านั่นคิดว่ากรมราชทัณฑ์จะผดุงความยุติธรรมให้แก่เจ้า? เจ้าช่างน่าสมเพชเสียจริง”
เป้ยหลิงตกตะลึง นางเม้มริมฝีปากสีแดงเบา ๆ ในขณะที่ใบหน้าเย็นชาได้เผยให้เห็นถึงความผิดหวังเล็กน้อยเป็นครั้งแรก และดูเหมือนหญิงสาวไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าสถานการณ์ปัจจุบันจะวุ่นวายขนาดนี้
“ดูเหมือนว่าข้าอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะนานเกินไป…” นางถอนหายใจแผ่วเบา
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ชิงเซียวก็พึงพอใจมาก จากนั้นเขาก็กล่าวช้า ๆ ว่า “ตอนนี้เจ้าติดกับดักแล้ว และเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหนี ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ยอมสวามิภักดิ์ต่อข้าอย่างเชื่อฟัง มิฉะนั้นอย่าได้ตำหนิข้าที่จะขัดเกลาเจ้าในตอนนี้!”
เป้ยหลิงถอนหายใจ “โลกพังสลายและกฎเกณฑ์ก็ถูกละเลย น่าเสียดาย ความพยายามอันอุตสาหะของจักรพรรดิยมโลกได้หายไปกับสายลมแล้วในตอนนี้…” เสียงของนางเบาลงเรื่อย ๆ
“นี่คือผลของเวลาและโชคชะตา ไม่ว่าจักรพรรดิยมโลกจะน่าเกรงขามเพียงใด เขาก็ยังคงถูกฝังด้วยน้ำมือของทวยเทพและพุทธองค์ทั้งหลายไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ข้าแนะนำให้เจ้าเข้าใจสถานการณ์ที่เจ้ากำลังเผชิญอยู่เสียเถอะ” ชิงเซียวกล่าว
วูบ!
ทว่าเสียงของเขายังไม่ทันเลือนหายไปจากอากาศ เป้ยหลิงกลับเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน ปลายนิ้วของนางอาบไปด้วยประกายดาบสีเงินเข้มที่ฉีกความว่างเปล่าออกจากกัน เข้าโจมตีใส่ชิงเซียวโดยตรง!
“เจ้า…ช่างไม่รู้ว่าอะไรควรมิควรจริง ๆ!” ชิงเซียวอดไม่ได้ที่จะเดือดดาล เมื่อเห็นว่าสตรีผู้นี้ยังคงดื้อรั้น แม้เขาจะเสียเวลาเกลี้ยกล่อมก็ตาม ทำให้จิตสังหารฉายชัดอยู่ในแววตา และยุติความลังเลที่จะลงมือสังหารเป้ยหลิงดีหรือไม่ไป
เคร้ง!
ประกายดาบสีน้ำเงินเข้มแตกเป็นเสี่ยง ๆ ชิงเซียวหัวเราะอย่างชั่วร้ายและกล่าวว่า “นังแพศยาน้อย ข้าชิงเซียวได้ทรมานและฆ่าสตรีมานับไม่ถ้วน และวันนี้ตัวข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มลองบ้าง!”
ขณะกล่าว จู่ ๆ ร่างของเขาก็สว่างวาบ กระบี่สีดำที่ทั้งแคบและเรียวยาวในมือพลันลอยขึ้น ก่อนจะระเบิดประกายกระบี่นับไม่ถ้วนที่ส่งเสียงหวีดหวิว ขณะที่เข้าปกคลุมร่างของผู้เป็นเจ้าของไว้
เคร้ง!
แต่ในขณะที่กำลังจะลงมือ จู่ ๆ ก็มีมือปรากฏขึ้นจากอากาศทางด้านหลัง ทำให้ชิงเซียวประหลาดใจ ทว่าโดยที่ยังไม่ได้ทำอันใด มือดังกล่าวพลันคว้าคอไว้แน่นก่อนจะบีบ ทำให้กระดูกคอของชิงเซียวแตกเป็นเสี่ยง ๆ บังเกิดเป็นเสียงแตกหักที่ดังชัดเจน!
ทันใดนั้น ลูกตาของชิงเซียวก็แทบถลน ในขณะที่การหายใจได้กลายเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเขา ดั่งมัจฉาที่กำลังใกล้ตายและดิ้นรนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
น่าเสียดายที่มือข้างนั้นเหมือนภูเขาที่ไม่ขยับเขยื้อน และมันค่อย ๆ บีบแน่นขึ้น
“อึก…อึก…” เสียงแปลก ๆ เล็ดลอดออกมาจากลำคอของชิงเซียว แต่เขากล่าวอะไรไม่ได้แม้แต่คำเดียว และแม้เจ้าตัวต้องการหันกลับไปดู มันก็น่าเสียดายที่การกระทำง่าย ๆ เช่นนี้ก็ยังไม่สามารถทำให้สำเร็จได้!
ตู้ม!
ลำคอของชิงเซียวระเบิดกลายเป็นฝนโลหิตที่โปรยปรายลงมาจากอากาศ พร้อมกับศพของเขาร่วงหล่นลงมา
นักฆ่าผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในยมโลก ตัวตนที่เคยลอบสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับเจ็ด ในขณะที่มีการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่ …กลับถูกโจมตีไม่ทันตั้งตัวจากทางด้านหลังและต้องตายลง โดยที่ชิงเซียวไม่แม้แต่จะทันได้เห็นใบหน้าของฆาตรกรก่อนตายด้วยซ้ำ!
“ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลังโดยแท้*[1]” เป้ยหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน นางจ้องมองชายหนุ่มรูปงามที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ก่อนจะค้นพบด้วยความประหลาดใจว่า การบ่มเพาะของอีกฝ่ายนั้นแท้จริงแล้วอยู่ที่ขอบเขตสถิตกายาขั้นสมบูรณ์เท่านั้น!
‘เป็นไปได้อย่างไรกัน?! พลังของชิงเซียวน่ากลัวยิ่งกว่าข้าด้วยซ้ำ เขาจะถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวและถูกสังหารโดยชายหนุ่มที่ขอบเขตสถิตกายาได้อย่างไร?’
‘คนผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก!’
แม้ว่าจะมีความคิดมากมายเกิดขึ้นในใจของนาง แต่ท่าทางของเป้ยหลิงยังคงเย็นชา ใบหน้าของนางทั้งสง่างามและสงบ ขณะที่สายตาซึ่งมองไปยังเฉินซีเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกว่าเฉินซีนั้นเหมือนกับชิงเซียวคือมีจุดประสงค์ที่จะมาจับตัวนาง!
หากเฉินซีต้องต่อสู้กับชิงเซียวแบบตัวต่อตัว บางทีเขาอาจต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ถ้าฉวยโอกาสโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว จากนั้นอาศัยสัญชาตญาณการต่อสู้ของเขตเซียนปฐพีระดับแปด ชายหนุ่มย่อมสามารถจัดการกับชิงเซียวได้อย่างง่ายดาย!
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ชิงเซียวกับเป้ยหลิงไม่ได้สังเกตเห็นการมีอยู่ของเขาตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมสำหรับชายหนุ่มในการลอบสังหารชิงเซียว!
“เจ้าไปเถอะ” เฉินซีกล่าวอย่างสบาย ๆ ก่อนที่เขาจะทะยานไปทางศพของเซวี่ยคง จากนั้นชายหนุ่มได้พิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกพึงพอใจ เนื่องจากปราณยมโลกในศพของเซวี่ยคงยังคงอยู่ ดังนั้นเขาจึงสามารถรวบรวมมันเพื่อขัดเกลาระเบียนแดนมรณะ
ส่วนศพของชิงเซียวนั้น ปราณยมโลกในร่างของอีกฝ่ายได้ไหลออกมาจนหมดเมื่อตายแล้ว เพราะคนผู้นี้ไม่ใช่วิญญาณ และเป็นไปไม่ได้ที่จะรวบรวมปราณยมโลกไว้ในกายเนื้อว่างเปล่า
เป้ยหลิงตกตะลึง “เจ้าไม่ได้มาหาข้าหรือ?!”
“อันที่จริง ข้ามาเพื่อฆ่าเจ้าตั้งแต่แรก แต่เนื่องจากเจ้าไม่ใช่วิญญาณร้ายและไม่ได้ก่อกรรมทำเข็ญ ข้าจึงตั้งใจจะปล่อยเจ้าไป” เฉินซีกล่าวด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายยิ่ง
มีอีกอย่างที่เฉินซีไม่ได้กล่าวคือ ก่อนหน้านี้ เขาได้ฟังการสนทนาระหว่างเป้ยหลิงและชิงเซียวแล้ว จึงทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าสตรีผู้นี้ได้ปฏิบัติตามกฎที่กำหนดโดยจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามมาตลอด และไม่เคยฝ่าฝืนเลยสักครั้ง ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกชื่นชมอยู่ในใจ
แต่หากเฉินซีไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน มันอาจกล่าวได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ศิษย์ระหว่างเขากับจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม เพราะเขาได้รับเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาและเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือนจากจักรพรรดิยมโลกผ่านระเบียนแดนมรณะกับพู่กันพิพากษามาร
ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม ทำให้เขาสูญเสียความตั้งใจที่จะฆ่าเป้ยหลิงไปโดยปริยาย
“เจ้าไม่ได้ต้องการโพธิจิตของจักรพรรดิภูตผีหรือ” เป้ยหลิงอดไม่ได้ที่จะถาม นางรู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้แปลกประหลาดเกินไป เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนต่างพยายามล้อมกรอบนางหรือลงมือโดยตรง เมื่อพวกเขาพบว่านางเป็นโพธิจิตของจักรพรรดิวิญญาณที่บรรลุเต๋า และไม่ค่อยมีใครที่สามารถปฏิเสธการเย้ายวนนี้ได้
แต่มันเพิ่งเกิดกับชายหนุ่มตรงหน้านาง อีกฝ่ายไม่แม้จะแยแสต่อมัน และสิ่งนี้ทำให้หญิงสาวประหลาดใจเล็กน้อย
“ข้าไม่มีงานอดิเรกในการเข่นฆ่าและช่วงชิงสมบัติ” เฉินซียักไหล่ และตั้งใจจะนำศพของเซวี่ยคงไปด้วย
“ช้าก่อน” เป้ยหลิงตะโกนจากทางด้านหลัง
“เจ้าต้องการสิ่งใดอีก?” เฉินซีหันกลับมา
เป้ยหลิงกัดริมฝีปากสีแดงสด แต่นางยังคงเงียบ
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะ จากนั้นเขาก็หยุดลังเลและหันหลังกลับเพื่อจากไป
กู่เทียนและคนอื่น ๆ กำลังเดินทางไปข้างหน้า และมันจะน่าเสียดาย หากเขาแยกจากอีกฝ่าย ถึงอย่างไร ชายหนุ่มต้องการเข้าสู่นรกใต้พิภพ และเขาต้องพึ่งพาชุยชิงหนิงเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จนี้
ฟิ้ว!
เฉินซีเพิ่งจะทะยานออกไป ทว่าเขากลับสังเกตเห็นว่าเป้ยหลิงกำลังไล่ตามเขาจากทางด้านหลัง
ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว และหยุดลง ก่อนที่จะกล่าวว่า “เจ้าตามข้ามาทำไมกัน?”
“เจ้ากำลังจะไปที่ใดหรือ?” เป้ยหลิงตอบกลับด้วยคำถาม
“นรกใต้พิภพ” เฉินซีตอบอย่างตรงไปตรงมา เพราะเขาไม่มีอะไรจะปกปิด
“ข้าก็จะไปที่นั่นเช่นกัน” ดวงตาที่ใสกระจ่างของเป้ยหลิงทอประกายแสง “ข้าไม่ได้ออกจากดินแดนอ่างโลหิตมาหลายปีแล้ว ตอนนี้โลกกำลังตกอยู่ในความโกลาหล ข้าอยากจะไปดูว่านรกใต้พิภพนั่นตกอยู่ในความโกลาหลจริง ๆ อย่างที่ตุลาการนรกกล่าวหรือไม่”
“แล้วเจ้าจะตามข้ามาทำไมกัน?” เฉินซีขมวดคิ้ว
“ข้า…” เป้ยหลิงไม่รู้ว่าจะตอบเขาอย่างไรดี นางรู้สึกว่านางกล่าวได้ชัดเจนแล้ว แต่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหน้านางกลับดูจะยังคงปฏิเสธ สิ่งนี้ทำให้คิ้วงามของหญิงสาวขมวดเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้ กอปรกับใบหน้าที่เย็นชาและสวยงามไร้ที่เปรียบ มันจึงขับความรู้สึกที่ว่าออกมาอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวว่า “เจ้าตามข้ามาก็ได้ แต่เจ้าต้องยอมรับเงื่อนไขของข้า”
เป้ยหลิงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นดวงตาอันสดใสและเป็นประกายเหมือนดวงดาว พร้อมกับกล่าวว่า “ตกลง!”
ถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้างามและท่าทางที่เย็นชาของนาง เฉินซีคงคิดว่านางเป็นสาวน้อยที่มีจิตใจบริสุทธิ์ ผู้ไม่เคยคิดระแวดระวังสิ่งใด…
ถึงอย่างไร วิญญูชนควรพึงรับฟังเงื่อนไขและชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียก่อนจะตัดสินใจตกลงปลงใจ
แต่นางไม่แม้แต่จะถาม กลับเลือกที่จะตอบตกลงทันที ทำให้เฉินซีรู้สึกละอายเล็กน้อย
ต่อมาชายหนุ่มจึงทราบว่า ตั้งแต่ที่นางได้บรรลุเต๋า เป้ยหลิงมักจะอยู่ในดินแดนอ่างโลหิตคนเดียวเสมอ ซึ่งนางใช้เวลาทั้งหมดไปกับการบ่มเพาะและไม่ค่อยติดต่อกับผู้อื่น จึงทำให้หญิงสาวไม่รู้ถึงความเป็นไปของโลก
ยิ่งกว่านั้น ความรู้และความคิดทั้งหมดของนางก็ยังคงอยู่ในช่วงเวลาของอดีตที่ไกลโพ้น
ช่วงเวลาในอดีตนั้น เป็นช่วงที่จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามได้ขึ้นครองราชย์เหนือยมโลก และน่าจะเป็นเวลาหนึ่งล้านปีก่อน…
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเป้ยหลิงผู้นี้เป็นผู้อาวุโสที่มีอายุมาก มีชีวิตอยู่เป็นเวลานานอย่างน่าตกใจ แต่ก็เป็นที่เข้าใจได้ เมื่อมีใครล่วงรู้ว่านางคือโพธิจิตของจักรพรรดิภูตผีที่บรรลุเต๋า
ถึงอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะวัดความหมายของการดำรงอยู่ของดวงวิญญาณชั้นเลิศและหาได้ยากเช่นนี้ด้วยกาลเวลา
‘การมีผู้เยี่ยมยุทธ์เช่นนี้ติดตามมาด้วยก็ไม่เลว อย่างน้อยที่สุด นางก็ช่วยเหลือข้าจัดการกับปัญหามากมาย ก่อนที่พลังของข้าจะฟื้นตัว…’ เฉินซีชำเลืองมองไปยังเป้ยหลิงที่เดินตามหลังเขาทีละก้าว และเขาดูจะหลงอยู่ในห้วงความคิด
[1] ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง หมายถึง การจ้องจะทำร้ายหรือจัดการอีกฝ่าย โดยลืมไปว่าตนเองก็อาจจะถูกจ้องจัดการอยู่เหมือนกัน