บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 949 เต๋ารู้แจ้งแห่งการพิพากษา
บทที่ 949 เต๋ารู้แจ้งแห่งการพิพากษา
บทที่ 949 เต๋ารู้แจ้งแห่งการพิพากษา
ณ ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติของเมืองผาทมิฬ
แสงจ้าสว่างวาบ จากนั้นเฉินซี ชุยชิงหนิง กู่เทียน และเป้ยหลิงก็หายตัวไป
ส่วนผู้คุ้มกันที่ติดตามกู่เทียนเพื่อปกป้องชุยชิงหนิงได้ถูกทิ้งไว้ข้างหลังแทน ประการแรกเป็นเพราะพลังของพวกเขาต่ำเกินไป ส่วนอีกประการเป็นเพราะการเพิ่มเข้ามาของเฉินซีและเป้ยหลิง ทำให้พวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องติดตามไป
ชุยหมิงส่งเฉินซีและคนอื่น ๆ ด้วยตัวเอง พร้อมกับมอบตราหยกให้แก่เฉินซี ซึ่งเขาได้กล่าวว่า หากเฉินซีไปถึงนรกใต้พิภพแล้ว จะมีคนมาติดกับเฉินซีเพื่อให้เบาะแสเกี่ยวกับเข็มทิศปรโลก นอกจากนี้ ตราหยกนี้ยังเป็นหลักฐานยืนยันตัวตนของเฉินซีต่อบุคคลนั้น
…
ณ ภูมิภาคน้ำพุยมโลก เมืองราหู
ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติที่นอกเมืองพลันสว่างวาบ จากนั้นเฉินซีและคนอื่น ๆ ก็เดินออกมาจากค่ายกล
สิ่งแรกที่สะท้อนในดวงตาของพวกเขาคือ พื้นที่สีแดงอันงดงามที่ราวกับว่ามันกำลังลุกเป็นไฟ!
ไม่ว่าจะพื้น บริเวณหน้ากำแพง ด้านข้างของถนน… ทุกสิ่งถูกปูด้วยดอกไม้ที่มีสีแดงสดเหมือนโลหิต พวกมันแผ่ขยายออกไปไกล จนดูเหมือนเปลวไฟที่โชติช่วงปกคลุมพื้นดิน
เมื่อมองจากระยะไกล มันดูจะเป็นพรมที่ย้อมด้วยโลหิตสด ๆ และเหมือนกับเปลวไฟแห่งโลหิตที่ลุกโชน
ดอกปารมิตา!
พวกมันถูกเรียกอีกอย่างว่า ดอกพลับพลึงแดง พวกมันเป็นดอกไม้ที่นำดวงวิญญาณไปสู่การเกิดใหม่ และเป็นดอกไม้แห่งความตายที่บ่งบอกถึงความหายนะ ความทุกข์ หรือการพลัดพราก
ตามตำนานเล่าว่า หลังจากที่คนผู้หนึ่งเสียชีวิตลง ดวงวิญญาณของใครคนนั้นจะถูกดอกไม้เหล่านี้นำทางไปยังยมโลกเพื่อเกิดใหม่ ในขณะที่เส้นทางที่ถูกปกคลุมด้วยดอกปารมิตานี้ถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘เส้นทางที่สว่างไสวด้วยเปลวไฟ’ โดยนำพาดวงวิญญาณไปสู่อีกฟากหนึ่ง
แม้ว่าจะอยู่ในภพมนุษย์ แต่เฉินซีก็เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับดอกปารมิตาและตำนานที่เกี่ยวข้องกับดอกไม้เหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นดอกไม้เหล่านั้นด้วยตาตนเองในขณะนี้
เท่าที่ชายหนุ่มทราบ ว่ากันว่าดอกปารามิตานั้นผลิบานและร่วงโรยเป็นวัฏจักรหนึ่งพันปี แต่ใบและดอกไม่เคยมาบรรจบกัน ทำให้พวกมันต้องพรากจากกันด้วยโชคชะตา เสมือนดาวคู่รักที่ไขว้กัน มันมีหน้าที่นำทางดวงวิญญาณข้ามไปสู่ยมโลกที่อยู่อีกฟากหนึ่ง ซึ่งในเวลาเดียวกัน มันก็เป็นหนึ่งในสามมหาเต๋าสูงสุดของยมโลก นอกจากนี้ เต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาจะถือกำเนิดขึ้นจากดอกปารมิตาใน ‘เส้นทางที่สว่างไสวด้วยไฟ’
อาจกล่าวได้ว่า ดอกปารมิตานั้นเปรียบเสมือนกับดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งในยมโลก และเป็นที่รักของสรรพสัตว์ในยมโลก
“ทั้งหมดนี้คือดอกปารมิตาธรรมดา ๆ และดอกปารมิตาที่มีค่าที่แท้จริงจะเติบโตในช่องเขาพระราหู หากเจ้าโชคดีพอที่จะได้รับผลของดอกปารมิตา เจ้าก็จะสามารถเข้าใจร่องรอยของเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาได้” กู่เทียนอธิบายด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขารู้ว่าเฉินซีมาที่นี่เป็นครั้งแรก และไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
“ผลของดอกปารมิตาหรือ?” เฉินซีคิดในใจและเกิดความสนใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงจ้องมองไปทางเป้ยหลิง ขณะที่ดูจะกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะกล่าวว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่า เต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาที่เจ้ามีอยู่นั้นสามารถทำความเข้าใจได้จากสิ่งนี้ได้?”
ในระหว่างที่นางต่อสู้กับรุ่ยฉิงจากวิถีวิญญาณเมื่อวานนี้ เป้ยหลิงได้เผยศาสตร์เต๋าที่บรรจุเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาไว้เล็กน้อย ซึ่งในเวลานั้น เฉินซีค่อนข้างประหลาดใจ แต่เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่กู่เทียนกล่าว เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่า ในฐานะหนึ่งในสามมหาเต๋าสูงสุดของยมโลก อาจมีคนมากมายที่เข้าใจมัน
เป้ยหลิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ถูกต้อง เมื่อหลายปีก่อน ครั้งหนึ่งข้าบังเอิญได้รับผลของดอกปารมิตามาสามผล หลังจากฆ่าคู่ต่อสู้ในดินแดนอ่างโลหิต มันก็ทำให้ข้าเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตา”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ความสนใจของเฉินซีก็เพิ่มพูนมากขึ้น จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ถ้าเรามีโอกาส ข้าอยากจะไปที่ช่องเขาพระราหู”
โดยไม่รีรออีกต่อไป คณะของพวกเขาเดินทางผ่านเส้นทางที่ปกคลุมด้วยดอกปารมิตาและมุ่งหน้าไปยังเมืองราหูทันที
…
กู่เทียนได้กล่าวว่า นรกใต้พิภพเป็นสถานที่หลักของยมโลก ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นภูมิภาคน้ำพุยมโลก ภูมิภาคแม่น้ำลืมเลือน ภูมิภาคราชหกวิถี และภูมิภาคพญายม
ทุก ๆ ภูมิภาคนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตและปกคลุมไปด้วยเมืองอย่างหนาแน่น ซึ่งเหมือนกับโลกใบเล็กของภพมนุษย์
การเข้าสู่ภูมิภาคน้ำพุยมโลกนั้น เทียบเท่ากับการเข้าสู่ภายในชายแดนภูมิภาคของนรกใต้พิภพ
ยิ่งกว่านั้น เมืองราหูยังเป็นแนวป้องกันทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคน้ำพุยมโลก ซึ่งมีสถานะพิเศษ มันถูกควบคุมอย่างแน่นหนาโดยกองกำลังอันยิ่งใหญ่ของนรกใต้พิภพ นั่นคือ โถงน้ำพุยมโลก
ความรับผิดชอบของโถงน้ำพุยมโลกนั้นสำคัญมาก มันมีหน้าที่ในการนำพาวิญญาณไปสู่การเกิดใหม่ หลังจากที่วิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่เสียชีวิตในทั้งสามภพ พวกมันจะผ่านทวารนรกที่ถูกควบคุมโดยจักรพรรดิทั้งห้า ถูกนำทางโดยศิษย์ของโถงน้ำพุยมโลก
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ศิษย์คนหนึ่งของโถงน้ำพุยมโลกอาจจะเทียบเท่ากับปีศาจนรกที่มีหัวเป็นวัวและใบหน้าเป็นม้าในตำนานของภพมนุษย์ และพวกเขามีหน้าที่นำพาวิญญาณไปสู่การเกิดใหม่โดยเฉพาะ
จ้าวผู้ปกครองของโถงน้ำพุยมโลกคือมหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลก และสถานะของเขาเทียบเท่ากับมหาเสนาบดีของหกวิถีสังสารวัฏ จ้าวตำหนักของโถงยายเฒ่าเมิ่ง ยายเฒ่าเมิ่ง และจ้าวแห่งเมืองผู้หลงผิด พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ของยมโลก โดยที่เขาเป็นหนึ่งในตัวตนสูงสุดที่มีอำนาจมหาศาล
…
ตามตำนานเล่าว่า ในยุคบรรพกาล บรรพชนปีศาจราหูเคยเข้าไปในยมโลกและถกเกี่ยวกับเต๋าเป็นเวลาหนึ่งร้อยวันกับบรรพชนแม่น้ำโลหิตของยมโลก และเนื่องจากเต๋าของพวกเขาขัดแย้งกัน พวกเขาจึงตัดสินว่าใครเหนือกว่าผ่านการต่อสู้
ไม่มีทางที่จะระบุได้แน่ชัดว่าการต่อสู้ครั้งนั้นน่ากลัวเพียงใด แต่หลังจากการต่อสู้ครั้งนั้น บรรพชนแม่น้ำโลหิตก็ซ่อนตัวอยู่ใต้ธารโลหิตยมโลกและไม่เคยเผยตัวอีกเลย ในขณะที่บรรพชนปีศาจราหูก็เข้าสู่นิทราชั่วนิรันดร์ที่นี่ เนื่องจากอาการบาดเจ็บของเขารุนแรงเกินไป มีเพียงแก่นวิญญาณของเขาเท่านั้นที่ออกจากยมโลก
ตามตำนานเล่าว่า เมืองราหูเป็นสถานที่ที่บรรพชนปีศาจราหูเข้าสู่นิทรานิรันดร์ในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ณ เมืองราหู ภายในลานที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัวในที่พำนัก
นี่คือฐานลับของตระกูลชุยในเมืองราหู และได้รับการดูแลโดยชุยฟางหู่ ผู้อาวุโสสามของตระกูลชุย ซึ่งชุยฟางหู่ก็เป็นบิดาของชุยหมิง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกสังเกตเห็น ในขณะที่พักผ่อนที่นี่
“น้องเฉิน ข้าจะกลับมารับคุณหนูในอีกสามถึงสิบวัน ซึ่งในช่วงเวลานี้ ข้าคงต้องรบกวนเจ้าให้คอยปกป้องคุณหนูด้วย” หลังจากจัดการทุกอย่างแล้ว กู่เทียนก็เรียกเฉินซีไปทางด้านข้าง ก่อนที่เขาจะไหว้วานด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
ตระกูลชุยอาศัยอยู่ในนครหลวงหกวิถี ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย กู่เทียนจึงมุ่งหน้าไปก่อนเพื่อตรวจสอบสถานการณ์และติดต่อกับกองกำลังของตระกูลชุย ก่อนที่จะกลับมารับชุยชิงหนิง
ถึงอย่างไร ตระกูลชุยก็ตกอยู่ในความขัดแย้งภายในที่ไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ในตอนนี้ ดังนั้นการกลับไปที่ตระกูลโดยตรง จึงเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป และไม่ต่างอะไรกับการเอาชีวิตไปทิ้ง
เฉินซีรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงตอบตกลงทันที ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ในคืนนั้นเอง กู่เทียนได้เดินทางออกจากเมืองราหูไปเพียงลำพัง
ภายในลานของที่พำนัก แสงดาวสาดส่องท้องฟ้า พลางเปล่งรัศมีอันเงียบสงบลงมา เฉินซี เป้ยหลิง และชุยชิงหนิงได้รวมตัวกันที่รอบโต๊ะหินขณะดื่มชาและกล่าวคุยกัน เมื่อกล่าวถึงเข็มทิศปรโลก ทันใดนั้น ชุยชิงหนิงก็เงยหน้าขึ้น แล้วถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “พี่ใหญ่เฉินซี ท่านช่วยเล่าเรื่องภรรยาของเจ้าให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าคะ?”
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็พยักหน้า “ได้สิ”
ขณะที่กล่าว เขาได้ค่อย ๆ อธิบายทุกรายละเอียดที่เกี่ยวกับวิธีที่ทำให้เขาได้รู้จักกับชิงซิ่วอี้
แน่นอนว่าย่อมมีบางสิ่งที่ไม่เหมาะสม ดังนั้นชายหนุ่มจึงข้ามไป แต่เขาไม่ได้ปกปิดสิ่งใดอีก
ไม่มีอะไรต้องปกปิด เพราะทุกคนในภพมนุษย์ต่างรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับชิงซิ่วอี้
แม้เฉินซีจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ก็ยังทำให้ดวงตาของชุยชิงหนิงเบิกกว้าง ในขณะที่ขมวดคิ้วเป็นบางครั้ง บางครั้งก็โกรธเกรี้ยวและบางครั้งก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อย ราวกับนางดื่มด่ำกับเรื่องราวอย่างมาก
แม้แต่เป้ยหลิงก็ตกตะลึงอย่างมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ดูเหมือนนางจะไม่เคยคิดมาก่อนว่า เหตุพลิกผันและเหตุการณ์สะเทือนใจมากมายจะเกิดขึ้นระหว่างเฉินซีกับภรรยาของเขา
เมื่อชายหนุ่มกล่าวจบ ชุยชิงหนิงกับเป้ยหลิงยังคงหมกมุ่นอยู่กับฉากแห่งความสุขและความเศร้าเหล่านั้น ซึ่งพวกนางก็ไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองจากการถูกจองจำได้เลย
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฉินซีเพียงแค่แย้มยิ้มเงียบ ๆ
บางทีคนอื่นอาจรู้สึกว่าการเดินทางในครั้งนี้เต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่เฉินซีไม่เคยคิดเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อประโยชน์ของชิงซิ่วอี้ หรือสำหรับเฉินอันผู้เป็นบุตรชายของเขา เฉินซีก็รู้สึกว่าทั้งหมดนี้คุ้มค่า
เฉินไม่สามารถกล่าวโทษสวรรค์หรือคนอื่นได้ และเขาก็ไม่ได้ถือเอาสิ่งนี้เป็นความภาคภูมิใจ เพราะนางเป็นผู้หญิงของเขา และเพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
“ถ้าข้ามีโอกาส ข้าจะช่วยพี่ใหญ่เฉินซีค้นหาเข็มทิศปรโลกอย่างแน่นอน และต้องทำให้ท่านได้กลับมาพบกับพี่สาวคนนั้นอีกครั้ง” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชุยชิงหนิงเงยหน้าขึ้น และใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความจริงจัง
เฉินซียิ้มและกล่าวว่า “แล้วเจ้าล่ะ? ไฉนเจ้าถึงถูกผู้คนมากมายไล่ล่าด้วยความตั้งใจที่จะฆ่าเจ้าตั้งแต่อายุยังน้อย? หากเป็นเพียงเพื่อชิงอำนาจในตระกูลชุย ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นต้องกำจัดเจ้ากระมัง?”
ชุยชิงหนิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “พี่ใหญ่เฉินซี มีบางอย่างที่ท่านไม่รู้ ภายในตระกูลชุย มีเพียงสายเลือดที่ข้ามีเท่านั้นที่สามารถเปิดใช้งาน ‘ดินแดนเร้นลับ’ ที่บรรพบุรุษของตระกูลข้าทิ้งไว้เบื้องหลังได้ ตามตำนานได้เล่าว่า มรดกสูงสุดที่บรรพบุรุษของตระกูลข้าเหลือทิ้งไว้นั้นถูกเก็บรักษาไว้ในนั้น”
นางหยุดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวต่อไป “ตามกฎและคำพูดที่บรรพบุรุษของตระกูลข้าทิ้งไว้ มีเพียงลูกหลานที่ได้รับมรดกของบรรพชนคนแรกเท่านั้นที่สามารถควบคุมตระกูลชุย และควบคุมกรมราชทัณฑ์ได้ เป็นเพราะเหตุนี้เองที่อารองและคนอื่น ๆ มองว่าข้าเป็นหนามยอกอก อีกทั้งยังไม่ยอมให้ข้าได้กลับไปที่ตระกูล เพราะพวกเขากังวลว่าข้าจะเข้าไปในดินแดนเร้นลับ และแย่งชิงมรดกภายในนั้นไป”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เฉินซีจ้องมองไปที่ท่าทางหดหู่และเศร้าโศกบนใบหน้าของหญิงสาว อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เพราะนี่เป็นเหมือนการที่ผู้บริสุทธิ์ต้องเดือดร้อนเพราะทรัพย์สมบัติของตนเองจากความรู้สึกโลภของผู้อื่น เนื่องจากสายเลือดที่เป็นเอกลักษณ์ของนาง เด็กน้อยอายุสิบเอ็ดหรือสิบสองปีจึงกลายเป็นบุคคลที่คนในตระกูลของนางไม่ต้องการสิ่งอื่นใดมากไปกว่าการเข่นฆ่า! …นี่มันช่างเยือกเย็นเสียเหลือเกิน
“มรดกสูงสุดของตระกูลชุยหรือ? อาจเป็นเต๋ารู้แจ้งแห่งการพิพากษา?” เป้ยหลิงกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ชุยชิงหนิงตกตะลึง จากนั้นนางก็หัวเราะอย่างขมขื่น “กลายเป็นว่าพี่สาวก็รู้ดีถึงความหมายเบื้องหลังการมีอยู่ของกรมราชทัณฑ์ นั่นคือการไต่สวน พิพากษา และลงทัณฑ์ เป็นเพราะตระกูลชุยของข้าครอบครองเต๋ารู้แจ้งแห่งการพิพากษา เราจึงสามารถพึ่งพาสมบัติเทวะ ซึ่งก็คือเข็มทิศปรโลก เพื่อควบคุมกรมราชทัณฑ์อย่างแน่นหนาในมือของเราได้เจ้าค่ะ”
“เต๋ารู้แจ้งแห่งการพิพากษาหรือ?”
เฉินซีขมวดคิ้ว เขาพอจะเดาเดาได้อย่างคลุมเครือว่า มันจะต้องเป็นมหาเต๋าที่ลึกซึ่งและยากที่จะทำความเข้าใจอย่างแน่นอน และเมื่อชายหนุ่มได้ยินสิ่งที่ชุยชิงหนิงกล่าว มันก็ดูเหมือนว่ามีเพียงเต๋ารู้แจ้งแห่งการพิพากษาเท่านั้นที่สามารถดึงพลังของเข็มทิศปรโลกออกมาได้!
“แล้วในตระกูลขณะนี้ มีผู้ใดที่เข้าใจเต๋ารู้แจ้งแห่งการพิพากษาหรือไม่?” เฉินซีเอ่ยถาม
“ย่อมมีเจ้าค่ะ แต่พวกเขายังไม่บรรลุจนถ่องแท้ ดังนั้นจึงต้องอาศัยมรดกสูงสุดเท่านั้น จึงจะบรรลุความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งแห่งการพิพากษาได้สมบูรณ์” ชุยชิงหนิงถอนหายใจเบา ๆ และกล่าวว่า “อันที่จริง พวกเขาไม่ได้พยายามฆ่าข้าเพื่อเห็นแก่เต๋ารู้แจ้งแห่งการพิพากษา แต่เป็นเพราะพวกเขากังวลว่าข้าจะเข้าสู่สุสานบรรพบุรุษ และเข้ายึดตำแหน่งผู้นำตระกูล หลังจากที่ข้าได้กลับไปที่ตระกูลแล้ว”
เมื่อนางกล่าวถึงเรื่องนี้ ท่าทางผ่อนคลายและเบิกบานใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กสาว “พี่ใหญ่เฉินซี บางทีท่านอาจไม่รู้ แต่มีผู้อาวุโสมายมายในตระกูลชุยของข้า และมีผู้อาวุโสจำนวนมากที่อยู่อย่างสันโดษในตระกูล พวกเขาจะมาช่วยข้า ตราบเท่าที่ข้าสามารถได้รับมรดกในสุสานบรรพชน และนี่เป็นโอกาสเดียวของข้า ไม่ว่าจะเป็นเพื่อตัวข้าเองหรือเพื่อตระกูลชุย ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ประสบความสำเร็จ!”
เมื่อนางเล่ามาถึงจุดนี้ ในที่สุด เฉินซีก็เข้าใจรายละเอียดทั้งหมดแล้ว และเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว ก่อนจะตบไหล่เด็กสาวและกล่าวว่า “อย่าได้กังวลไป เพื่อให้ได้มาซึ่งเข็มทิศปรโลก ข้าจะช่วยเจ้ากลับไปที่ตระกูลของเจ้าได้อย่างราบรื่น”
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เฉินซีผลักประตูห้องของเขาให้เปิดออก และกำหนดทิศทาง ก่อนที่จะทะยานไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองราหู
ในเวลาไม่นาน ช่องเขาที่ปกคลุมด้วยดอกปารมิตาอันสดใส ก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา และนั่นคือช่องเขาราหู ตามตำนานเล่าว่า ณ ที่แห่งนี้ คือสถานที่ที่หนึ่งในสามของมหาเต๋ารู้แจ้งสูงสุดของยมโลก เต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาได้ถือกำเนิดขึ้น!