บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 951 เหยื่อล่อ
บทที่ 951 เหยื่อล่อ
บทที่ 951 เหยื่อล่อ
คำพูดโผงผางของเฉินซีทำให้ศิษย์พี่ฉินและคนอื่น ๆ ขมวดคิ้ว ก่อนหันมองไปยังชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง
ก่อนพวกเขาจะพบว่าแม้ชายผู้นี้จะดูอ่อนเยาว์ แต่แท้จริงแล้วเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี!
“สหาย นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกเรา เจ้าอย่าเข้ามายุ่งแล้วพาตนเองซวยเสียดีกว่า!” ศิษย์พี่ฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ศิษย์พี่ฉิน สารเลวนี่มันกล้าเรียกเราว่าเศษสวะ!”
“ศิษย์โถงน้ำพุยมโลกเคยถูกด่าเช่นนี้ที่ไหนกัน?”
คนอื่น ๆ ต่างเผยสีหน้าเหี้ยมออกมา ส่งสายตาดุดันไปทางเฉินซี น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นปฏิปักษ์
โถงน้ำพุยมโลก? ใบหน้าของผู้บ่มเพาะหญิงแห่งเผ่าปรภพแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวทันที นางเหลือบมองเฉินซีด้วยความเป็นกังวล เกรงว่าอีกฝ่ายจะหาเรื่องใส่ตัว เพราะอย่างไรเมืองราหูก็เป็นอาณาเขตของพวกโถงน้ำพุยมโลก เขาจึงไม่ควรไปล่วงเกินคนพวกนี้
ฟึ่บ!
เฉินซียกแขนขึ้น ใช้เพียงปลายนิ้วซัดพลังลงพื้น ทำให้ผืนดินแยกออกจากกันไปจนถึงบริเวณเท้าของศิษย์พี่ฉินอย่างรวดเร็ว และหยุดอยู่เพียงเท่านั้น
“ข้าจะพูดอีกรอบ ถอยไปซะ!” เฉินซีมีสีหน้าเย็นชา ในหมู่คนเหล่านี้ มีเพียง ‘ศิษย์พี่ฉิน’ เท่านั้นที่อยู่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสาม ส่วนคนอื่นต่ำกว่าขอบเขตเซียนปฐพีทั้งสิ้น ซึ่งเป็นขอบเขตที่เขาไม่เห็นอยู่ในสายตา
ส่วนโถงน้ำพุยมโลกอะไรนั่นเขาไม่ได้สนใจสักนิด อย่างไรเขาก็เป็นแค่นักเดินทาง ทันทีที่กู่เทียนกลับมา เขาก็จะออกจากภูมิภาคน้ำพุยมโลกอยู่แล้ว จะสนคำขู่ไปเพื่ออะไร?
“เจ้าหนู ช่างรนหาที่ตายนัก!” ผู้บ่มเพาะข้างกายศิษย์พี่ฉินคนหนึ่งตะโกนลั่นออกมาด้วยความโกรธ เขาไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าการโจมตีเมื่อครู่ของเฉินซีน่าเกรงขามเพียงไหน เขาคำรามเสียงลั่นแล้วจ้วงแทงกระบี่เข้าใส่เฉินซีทันใด
เคร้ง!
เฉินซีดีดนิ้วคราหนึ่ง ส่งปราณกระบี่พุ่งออกไปทำลายอาวุธของฝั่งตรงข้าม ทำให้มันระเบิดกลายเป็นผงแล้วปลิวหายไป
อั่ก!
พร้อมกันนั้น ผู้ทำการโจมตีออกมาก็ต้องเบิกตากว้าง ในขณะที่เลือดสีแดงก่ำพุ่งออกมาจากลำคอ สร้างวงโค้งสีโลหิตอันงดงามทว่าน่าเกรงกลัวออกมาพร้อมกับร่างที่ล้มลงสิ้นใจกับพื้น
“ศิษย์น้องฟ่าน!” คนอื่น ๆ อุทานด้วยความตกใจและไม่อยากเชื่อสายตาตน
ผู้บ่มเพาะหญิงแห่งเผ่าปรภพถึงกับอึ้งไป นางไม่อยากเชื่อเลยว่าเฉินซีจะลงมือเช่นนั้น อีกทั้งยังเอาชีวิตคนอีกด้วย!
“รนหาที่ตาย! ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร แต่ในเมื่อเจ้าสังหารศิษย์โถงน้ำพุยมโลกของข้า เจ้าก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต!” ศิษย์พี่ฉินใบหน้าคล้ำเครียด จากนั้นเขาก็เรียกโซ่สีดำออกมาเหวี่ยงใส่อีกฝ่าย
โซ่เส้นนี้อาบไปด้วยแสงสีดำสนิท แผ่กลิ่นอายทรงอำนาจโหดเหี้ยมคล้ายมังกรทมิฬที่อยากบดขยี้รอบกายให้สิ้น ส่งเสียงหวีดหวิวดังมาตลอดทาง
ความตายของศิษย์น้องฟ่านเมื่อครู่ ทำให้เขาโกรธไม่ใช่น้อย เพราะรู้ดีว่าศิษย์น้องฟ่านไม่มีฝีมือมากพอจะต่อกรกับชายหนุ่มตรงหน้าได้ และน่าเสียดายที่ปราบศิษย์น้องฟ่านไม่ทัน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขาไม่คิดเลยว่าเฉินซีจะกล้าสังหารศิษย์น้องต่อหน้าตัวเองเช่นนี้ จึงยิ่งจุดเพลิงในใจให้ทวีคูณ ดังนั้นเมื่อซัดการโจมตีออกไป มันจึงเป็นการโจมตีที่รุนแรงถึงตาย!
น่าเสียดายที่เฉินซีไม่เห็นว่ามันเป็นภัยแต่อย่างไร
เพียงเอื้อมมือออกไป ชายหนุ่มได้คว้าจับมันไว้แน่น ก่อนจะสะบัดมือราวกับปัดแมลงวัน
ปึง!
แรงสะท้านผ่านโซ่หนักหน่วงเหมือนขุนเขาทุ่มลงผืนพสุธา ดีดร่างศิษย์พี่ฉินจนกระเด็นลอยไป
ก่อนที่ร่างของศิษย์พี่ฉินจะร่วงลงพื้น โซ่ก็ทะลวงห้วงอากาศพุ่งเข้ามาล้อมรอบตัวอีกฝ่ายไว้ พันม้วนกันหลายชั้น ก่อนจะรัดเข้าหากันอย่างแน่นหนา จนได้ยินเสียงลั่นเปรี๊ยะดังขึ้นหลายครั้ง …ศิษย์พี่ฉินผู้อยู่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสาม ถูกรัดจนตายไปเช่นนั้นเอง!
เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา สหายทั้งหลายของเขายังไม่ทันได้ลงมืออะไรผลลัพธ์ก็ออกมาแล้ว
พวกเขาถึงกับตกตะลึง!
ทุกคนตกใจกลัวเหมือนเห็นผี ถึงขนาดยืนนิ่งลืมหายใจราวกับหุ่นไม้ตัวหนึ่งไปเลยทีเดียว
ไม่มีใครคิดว่าศิษย์พี่ฉินจะพ่ายแพ้แล้วต้องตายไปอย่างน่าสมเพชเช่นนั้นได้!
นัยน์ตาของผู้บ่มเพาะหญิงแห่งเผ่าปรภพเบิกกว้าง นางยกมือขึ้นปิดปากแน่นด้วยกลัวจะกรีดร้องออกมา ภาพตรงหน้าเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป ความตกตะลึงเช่นนี้ก็มากเกินไปเช่นกัน นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภาพที่เห็นนั้นเป็นความจริงหรือไม่…
ปึง! ปึง! ปึง!
พริบตาต่อมาร่างของเฉินซีก็แวบหายไป เกิดเสียงดังปึงขึ้น เมื่อร่างเขาหยุดเคลื่อนไหว ทุกคนนอกเหนือจากผู้บ่มเพาะหญิงแห่งเผ่าปรภพล้วนสิ้นชีพไปแล้ว
กลิ่นเลือดเหม็นคลุ้งยังไม่ทันได้โชยออก เฉินซีก็ได้สะบัดแขนเสื้อคราวเดียวมันก็ระเหยไปหมดแล้ว ทำลายซากร่างที่เหลืออยู่จนไม่เหลือร่องรอย เลือดสักหยดยังไม่หลงเหลือให้เห็นด้วยซ้ำ
ทำให้ผู้บ่มเพาะหญิงคนนั้นชะงักค้างไปอีกครั้ง จิตใจว่างเปล่าไปหมด
หากไม่ใช่เพราะนางยังตื่นอยู่เต็มตา ก็คงคิดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นภาพลวงตาไปแล้ว!
“ฉวยโอกาสจังหวะที่ไม่มีใครรู้ถึงเรื่องวันนี้รีบไปเสีย” เฉินซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ก่อนจะแวบร่างหายมุ่งหน้าไปทางภูเขา
“เจ้า…” ผู้บ่มเพาะหญิงแห่งเผ่าปรภพอ้าปากแต่กลับไร้คำพูดใด
หลังจากผ่านไปนานนางจึงได้สติ อดพึมพำออกมาไม่ได้ว่า “ก่อนหน้านี้ข้ามองเขาผิดไป ไม่คิดเลยว่าจะมีความสามารถไม่ธรรมดาเช่นนี้…”
จากนั้นนางก็ส่งสายตาอันลึกล้ำมองร่างสูงที่มุ่งหน้าไปทางภูเขาจนลับตา ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
พวกคนที่ตายไปก่อนหน้านี้ล้วนเป็นศิษย์ของโถงน้ำพุยมโลก ถึงพวกนั้นจะไม่ได้จบชีวิตด้วยน้ำมือนาง แต่นางก็เป็นต้นเหตุ หากไม่รีบจากไปตอนนี้คงเป็นปัญหาใหญ่แน่
…
หลังจากมาถึงแล้ว เฉินซีก็ไม่คิดจะเสียเวลาอีก เขาออกตามหาดอกปารมิตาระดับเพลิงโลกันตร์ตามที่หม้อใบจิ๋วสั่งไว้ทันที
ยอดเขาปารมิตาอาจไม่มีพืชพันธุ์หลายอย่าง แต่มันไม่ขาดแคลนดอกปารมิตาเลย
ยิ่งดอกปารมิตามีสีสันมากเพียงใดก็ยิ่งมีระดับสูงมากเพียงนั้น อีกทั้งดอกปารมิตาระดับเพลิงโลกันตร์ยังมีกลีบดอกยี่สิบสี่กลีบที่ลุกไหม้ดั่งเปลวเพลิงด้วย
แต่ด้วยความที่มันมีดอกปารมิตาเยอะมากดั่งน้ำในมหาสมุทรที่กระจายตัวไปรอบภูเขา ดังนั้นสำหรับคนธรรมดาแล้วการตามหามันจึงเหมือนงมเข็มในกองฟาง
แต่มันไม่เป็นปัญหาสำหรับเฉินซีเลย
ด้วยอำนาจญาณเทวะอมตะของเขาในตอนนี้ ชายหนุ่มจึงสามารถใช้มันแผ่ขอบเขตการตรวจสอบไปทั่วทั้งยอดเขาปารมิตาได้ในพริบตาเดียว เขาจึงพบดอกปารมิตาระดับเพลิงโลกันตร์ได้ไม่ยาก
เกือบเค่อหนึ่งต่อมา เฉินซีก็ได้ดอกปารมิตาระดับเพลิงโลกันตร์กว่าหนึ่งร้อยดอก
สิ่งที่น่ากล่าวถึงคือ ในกระบวนการเก็บเกี่ยวดอกปารมิตาเหล่านี้ จะใช้สมบัติธรรมดาเก็บรวบรวมมันไม่ได้ เพราะสิ่งใดที่ถูกมลทินของดอกไม้นี้เข้า สิ่งนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นผุยผงทันที
เฉินซีจึงเก็บรวบรวมมันไว้ด้วยวิชาผนึกมิติจองจำที่หม้อใบจิ๋วสอนไว้ ชายหนุ่มทำการปิดผนึกพวกมันไปทีละดอก
ตอนนี้เขามาถึงความสูงระดับสี่สิบสองลี้ของยอดเขาปารมิตาแล้ว!
จากที่ผู้บ่มเพาะหญิงแห่งเผ่าปรภพคนนั้นบอกไว้ มีแต่ผู้ที่เข้าใจเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาขอบเขตขั้นสูงเท่านั้นจึงจะสามารถเข้ามาที่นี่ได้
เฉินซีมีความเข้าใจเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาอยู่ที่ขอบเขตขั้นสูงระดับเก้า อีกแค่สามระดับก็จะถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว
น่าเสียดายที่การเข้าใจเต๋ารู้แจ้งอันลึกล้ำเช่นนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยากมาก ดังนั้นอีกสามระดับที่ว่าจึงยากยิ่งกว่าการปีนป่ายขึ้นสู่สวรรค์เสียอีก ยกตัวอย่างเช่น ร่างอวตารของเขาได้ทำความเข้าใจและทำสมาธิภายในโลกแห่งดารา ทว่าร่างอวตารนี้กลับทำความเข้าใจเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาและเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือนได้เพียงขอบเขตขั้นสูงเท่านั้นทั้งที่เวลาผ่านไปหลายปี
โชคดีที่ว่า หากเขาได้ผลปารมิตามาครอบครอง ชายหนุ่มก็จะสามารถเข้าถึงเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาขั้นสมบูรณ์ได้… เฉินซีกวาดสายตามองรอบกาย ก่อนจะสังเกตเห็นผู้บ่มเพาะไม่ถึงสิบคนที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาอยู่แถวนี้ ซึ่งทุกคนล้วนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้า อีกทั้งยังมีกลิ่นอายล้ำลึกดั่งมหาสมุทร เป็นผู้มีฝีมือน่าเกรงขามยิ่ง
การมาถึงของชายหนุ่มจึงดึงดูดความสนใจคนเหล่านี้ นัยน์ตาทั้งหลายล้วนแสดงความประหลาดใจออกมาขณะจ้องมองเฉินซี
เพราะกลิ่นอายที่เฉินซีปลดปล่อยออกมาตอนนี้อยู่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหนึ่ง ขณะที่รูปกายของเขาดูมีอายุไม่มาก ชายหนุ่มจึงดูโดดเด่นดั่งกาในฝูงกระเรียง
แต่ไม่นานคนพวกนั้นก็ถอนสายตากลับไปสนใจเรื่องของตนเอง
หลังจากหาสถานที่เหมาะสมได้แล้ว เฉินซีจึงใช้กระแสปราณถามหม้อใบจิ๋วว่า “ผู้อาวุโส ข้าควรทำอย่างไรดี?”
“ไม่ยาก บดดอกปารมิตาทั้งหมดที่ได้มา จากนั้นนำมันไปบ่มกับสุรา ก่อนพ่นใส่ดอกปารมิตาดอกอื่น และที่เหลือให้ข้าจัดการเอง” หม้อใบจิ๋วแนะ
“เอามาผสมกับสุราหรือ?” เฉินซีรู้สึกสงสัย แม้ไม่อาจคาดเดาความลับที่ซุกซ่อนอยู่ได้ แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของหม้อใบจิ๋ว อย่างไรเขาก็ทำตามอยู่ดี
ขณะนี้ชายหนุ่มยืนอยู่ในพื้นที่ราบอันเงียบสงบ ส่วนเหวอยู่ทางงด้านข้าง ในขณะที่ดอกปารมิตาสีแดงสดผลิบานอยู่รอบปากเหว
หลังจากเขาผสมดอกปารมิตาที่ถูกขยี้แล้วลงไปในสุรา ก่อนจะพ่นไปยังดอกไม้ดอกอื่น เฉินซีก็เคลื่อนตัวออกมาจากจุดที่ยืนก่อนหน้านี้
ครืน!
ในขณะเดียวกัน หม้อใบจิ๋วพลันเรืองแสงขึ้นมา ส่งกระแสแห่งความศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมาปกคลุมดอกปารมิตาที่เฉินซีเอาสุรามาผสมบุปผาพ่นไปเมื่อครู่
ไม่นานเฉินซีก็ได้กลิ่นหอมที่หวานล้ำไปถึงจิตวิญญาณ ทำให้รู้สึกคล้ายตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย ดวงจิตแห่งเต๋าคล้ายว่าเหม่อลอยไป จากนั้นเขาก็ได้สติกลับคืน “นั่นมันกลิ่นอะไรกัน?”
ด้วยดวงจิตแห่งเต๋าของเขาในปัจจุบัน …ชายหนุ่มกลับรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับกลิ่นหอมหวานนั้นได้ แม้จะแค่ชั่วพริบตาเดียว แต่ก็เป็นเรื่องน่าตกใจมากแล้ว!
เพราะดวงจิตแห่งเต๋าเมื่อครั้งผ่านแว่นฟ้าทัณฑ์สวรรค์ก็ไม่ได้ถูกรบกวนแต่อย่างไร ทั้งที่มันเป็นทัณฑ์สวรรค์ที่เน้นโจมตีดวงจิตแห่งเต๋าเสียด้วยซ้ำ
ทว่ากลิ่นหอมหวานนี้กลับมีอำนาจถึงขนาดนั้น ย่อมต้องไม่ใช่กลิ่นธรรมดาแน่
“ก็แค่ใช้วิชาเล็กน้อย เจ้ารอเก็บผลปารมิตาไปเถอะ” หม้อใบจิ๋วเอ่ยอย่างคลุมเครือ
กรอบแกรบ!
รอไม่นานก็เกิดแสงสว่างส่องออกมาจากมวลดอกปารมิตา ดูแล้วคล้ายกับเปลวเพลิง คล้ายสายลมอ่อนโยนพัดผ่านต้นหลิว เป็นสายลมอ่อนเสียจนไม่ได้ยินเสียง
แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นหูตาของเฉินซีไปได้ จิตวิญญาณรู้สึกสดชื่นยิ่งในขณะที่สูดลมหายใจเข้าทำสมาธิ พยายามไม่ทำให้ผลปารมิตาแสนรู้เหล่านั้นตื่นตกใจ และไม่กล้าใช้ญาณเทวะอมตะเพื่อตรวจสอบรอบกายอีก
ไม่นานภาพอันน่าตกใจก็ปรากฏขึ้น ผลปารมิตาขนาดเท่าไข่นกพิราบที่เหมือนเปลวไฟลุกโชนได้ปรากฏขึ้นภายในทุ่งดอกปารมิตานั้น
ผลลูกเล็กเหล่านี้คล้ายกับถูกกลิ่นหอมหลอกล่อมา ทำท่าทางเหมือนกำลังมึนเมา ทั้งดอกและใบเคลื่อนไหวไปมา เมื่อนับดูคร่าว ๆ แล้วมีมากกว่าสิบเลยทีเดียว! เฉินซีรู้สึกตื่นเต้นนัก หากเขาจับพวกมันได้ทั้งหมด ก็คงสามารถทะลวงเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาขอบเขตสมบูรณ์ได้!