บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 960 วานรผีพันเนตร
บทที่ 960 วานรผีพันเนตร
บทที่ 960 วานรผีพันเนตร
ภายในห้องที่สามบนชั้นห้าของหอการค้าสัพพัญญู
ชายในชุดคลุมสีดำค่อย ๆ นั่งลงที่ด้านหลังโต๊ะ ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมองชาร้อน ๆ บนโต๊ะ และคิดในใจ ‘ตอนนี้ไอ้สารเลวน้อยนั่นน่าจะติดอยู่ในค่ายกลแสงเทวะผันแปรโลหิตแล้ว บางทีผลลัพธ์อาจจะออกมาในไม่ช้า’
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็สะบัดแขนเสื้อ จากนั้นร่างหนึ่งพลันทรุดลงคุกเข่ากับพื้นดังตุ้บ
คนผู้นี้มีผมสีดอกเลาและดูชราวัย ทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น อีกฝ่ายคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวด้วยความตั้งใจที่จะลุกขึ้นจากพื้น แต่ชายในชุดคลุมสีดำกลับกระทืบใบหน้าของอีกฝ่าย และกดคนผู้นั้นลงบนพื้น
“ตาแก่โม่คุน ข้าก็แค่ยืมห้องนี้สักครู่ไม่ใช่หรือ? ไยต้องโกรธเกรี้ยวนัก?” ชายในชุดคลุมสีดำหัวเราะเบา ๆ และกล่าวอย่างไม่เร่งรีบ
“ที่นี่คือหอการค้าสัพพัญญู เจ้าคิดว่าจะมีชีวิตรอดหลังจากที่ทำให้ข้าขุ่นเคืองได้หรือ?” ดวงตาของโม่คุนแทบจะถลนออกมาด้วยความเดือดดาล ในขณะที่จับจ้องไปยังชายในชุดคลุมสีดำ และกู่คำรามด้วยเสียงแหบแห้ง
เขาหยุดดิ้นรนเพราะกำลังของชายในชุดคลุมสีดำแข็งแกร่งกว่าตนมาก ดังนั้นการดิ้นรนจึงไร้ประโยชน์
“ข้ากำลังทำภารกิจในนามของตระกูลชุย และข้าจะกลับไปที่ตระกูลชุยเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น หากหอการค้าสัพพัญญูคิดจะจับตัวข้า ก็ต้องผ่านตระกูลชุยเสียก่อน” ชายในชุดคลุมสีดำยกถ้วยชาขึ้นและค่อย ๆ เป่ามัน ก่อนจะกล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเป็นเพียงผู้อาวุโสตัวเล็ก ๆ ของหอการค้าสัพพัญญู เจ้าคิดว่าพวกมันจะยืนหยัดเพื่อเจ้าหรือไม่”
“ตระกูลชุย!”
สีหน้าของโม่คุนแปรเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ เจ้าตัวก็กล่าวขึ้นมาว่า “ในเมื่อเจ้ากล้าปลอมตัวเป็นเจ้าหอเหริ่นแห่งหอใต้พิภพทมิฬของหอการค้าสัพพัญญู หรือเจ้าไม่กังวลว่าพวกเขาจะมาเอาเรื่องกับเจ้า?”
“ช่างโง่เขลายิ่งนัก ทั้งที่เจ้าเป็นถึงผู้อาวุโสของหอการค้าสัพพัญญู เหตุใดเจ้าถึงยังคิดไม่ตก ในเมื่อข้าสามารถปลอมรูปลักษณ์เป็นเหริ่นฉางเฟิงได้ ข้าย่อมปลอมตัวเป็นคนอื่นได้อยู่แล้ว เมื่อถึงเวลานั้น จะมีผู้ใดแยกแยะตัวตนที่แท้จริงของข้าได้!”
ชายในชุดคลุมสีดำกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “นอกเสียจากจะเป็นผู้ที่มีเนตรเทวะแห่งความจริง เนตรเพลิงทองคำ หรือเนตรหยกวิญญาณสุริยัน และแม้แต่ผู้เป็นเซียนสวรรค์ก็ยังพบว่ายาก เช่นนั้นจะมีผู้ใดแยกแยะตัวตนของข้าได้กัน?”
ใบหน้าของโม่คุนมืดหม่นลง จากนั้นดูเหมือนเขาจะคิดอะไรบางอย่างได้ และกล่าวด้วยความตกใจว่า “แซ่ของเจ้าคือโหว หรือเจ้าเป็นลูกหลานของเผ่าวานรผีพันเนตร?!”
วานรผีพันเนตร เป็นเผ่าพันธุ์แปลกประหลาดที่สูญพันธ์ไปจากยมโลกเมื่อนานมาแล้ว พวกมันมีรูปร่างหน้าตาเหมือนลิงดุร้าย แต่ร่างกายของพวกมันถูกปกคลุมไปด้วยดวงตาแปลกประหลาด และมีความสามารถพิเศษโดยกำเนิดนั่นคือ เคล็ดวิชาเงาสะท้อนเทวะ!
หลังจากใช้เคล็ดวิชานี้แล้ว วานรผีพันเนตรจะสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้เป็นใครก็ได้ในโลก ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งกลิ่นอาย รูปลักษณ์ และแม้แต่เสียงของบุคคลนั้น จะถูกคัดลอกมาอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นแม้แต่เทพเจ้าก็ไม่สามารถแยกแยะได้ ทำให้มันค่อนข้างน่ากลัว
แต่เมื่อนานมาแล้ว ผู้อาวุโสของเผ่าวานรผีพันเนตรได้ปลอมตัวเป็นจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม และสร้างความเดือดร้อนอย่างมาก ในท้ายที่สุด เขาทำให้จักรพรรดิยมโลกขุ่นเคือง จนพานให้ทั้งเผ่าต้องประสบกับหายนะจากการทำลายล้าง
ตั้งแต่นั้นมา มันจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะเห็นร่องรอยของเผ่าวานรผีพันเนตรในยมโลก
“เจ้าสามารถแยกแยะตัวตนที่แท้จริงของข้าได้ ดูเหมือนว่าคนของหอการค้าสัพพัญญูจะไม่ได้โง่เขลาไปเสียทีเดียว น่าเสียดายที่มันสายเกินไป และมันก็หามีประโยชน์อันใดไม่” ชายในชุดคลุมสีดำหัวเราะเบา ๆ และไม่มีทีท่าสนใจเลยสักนิด
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าตระกูลชุยกลับกล้าที่จะฝ่าฝืนคำสั่งของจักรพรรดิยมโลก และรับตัวลูกหลานของเผ่าวานรผีพันเนตรมาอยู่ใต้อาณัติ หากท่านจักรพรรดิยังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องกวาดล้างตระกูลชุยอย่างแน่นอน!” โม่คุนกัดฟันในขณะที่แสดงความไม่พอใจออกมา
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป ชายในชุดคลุมสีดำก็ดูเหมือนว่าจะถูกสะกิดแผลใจเข้า และทันใดนั้น เขาก็กระทืบโม่คุน ในขณะที่ร้องออกมาอย่างไม่พอใจด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด “จักรพรรดิยมโลกรึ? ไอ่แก่บัดซบที่สมควรถูกสับเป็นพันชิ้นนั่นถูกทวยเทพทำลายล้างไปนานแล้ว แม้แต่ศพของมันก็ไม่เหลือซาก แล้วจะกล่าวถึงมันเพื่ออันใด!?”
แรงที่เขาใช้นั้นมหาศาลยิ่ง มันกดทับลงมาที่โม่คุนจนทำให้กระดูกนับไม่ถ้วนในร่างกายแตกหัก โม่คุนนอนขดตัวอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร เขาก็ไม่สามารถหลบหนีได้ ก่อนจะหมดสติไปในที่สุด
หลังจากระบายเปลวเพลิงแห่งโทสะในใจแล้ว โหวจ่านผู้สวมชุดดำก็ดื่มชาในถ้วยของตัวเองจนหมดเกลี้ยง ก่อนกล่าวพึมพำออกมาว่า “เหตุใดถึงยังไม่มีข่าวคราว ช่างมันเถิด เราไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไป เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น”
เขายืนขึ้นขณะที่กล่าว จากนั้นลดศีรษะลงและจ้องมองโม่คุนที่อยู่บนพื้น ในขณะที่จิตสังหารฉายชัดในดวงตาคู่นั้น
เอี๊ยด!
ในขณะนี้ ประตูห้องถูกผลักเปิดออก ก่อนที่ร่างสูงที่มีท่าทางสงบและรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาจะเดินเข้ามา เขาคือเฉินซีนั่นเอง!
เฉินซีชำเลืองมองโม่คุนที่อยู่บนพื้นก่อนจะเหลือบมองชายในชุดคลุมสีดำ จากนั้นรอยยิ้มอันเย็นเยียบได้ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของเขาอย่างช่วยไม่ได้ “อภัยให้ข้าด้วย แต่เจ้าคงหนีไปไหนไม่ได้แล้ว”
โหวจ่านตะลึงงัน จากนั้นเขาก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “สหายนักพรตเต๋า เจ้ากลับมารวดเร็วนัก เจ้าได้เบาะแสที่อยู่ของเข็มทิศปรโลกแล้วหรือยัง?”
ในขณะที่กล่าว จู่ ๆ เขาก็ออกแรงที่ขาด้วยความตั้งใจที่จะปลิดชีพโม่คุน แต่ก่อนจะทันได้ลงมือ กลับพบว่าที่บริเวณขามีแรงมหาศาลอันไม่สามารถต้านทานได้จู่โจมเข้ามา ทำให้ร่างกายของโหวจ่านเซไปข้างหลังและเกือบจะล้มลงกับพื้น
ส่วนโม่คุนก็ได้รับการช่วยเหลือจากเฉินซีและถูกพากลับมาที่ด้านข้างของของชายหนุ่มแล้ว
“เจ้าหลอกข้าแล้วยังตั้งใจจะฆ่าคนต่อหน้าต่อตาข้าอีก เจ้าไม่ถือดีเกินไปหรือ?” สายตาของเฉินซีนั้นเย็นชา ในขณะที่เขามองไปยังโหวจ่านอย่างไม่แยแส
“สหายนักพรตเต๋า! เจ้าหมายความว่าอันใดกัน?” โหวจ่านกล่าวด้วยเสียงต่ำ
“เอาล่ะ! ในเมื่อเจ้ายังแสร้งทำเหมือนไม่รู้เรื่อง งั้นข้าจะให้เจ้าตายอย่างผู้รู้แจ้ง” เฉินซีสะบัดแขนเสื้อ
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
กระแสเสียงอู้อี้ดังขึ้น ในขณะที่ศีรษะเปื้อนเลือดกว่าสิบหัวปรากฏขึ้นบนโต๊ะตรงหน้าโหวจ่าน มันเรียงกันเป็นแถว ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเขาจะพบกับความหวาดกลัวสุดขีดก่อนที่จะเสียชีวิต ทำให้รูปร่างหน้าตาของพวกเขาบิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยความสยดสยอง ขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นความไม่เต็มใจและความสิ้นหวัง
ร่างกายของโหวจ่านแข็งทื่อเมื่อเห็นฉากนี้ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวว่า “คนพวกนี้เป็นใครกัน? เหตุใดข้าถึงไม่รู้จักสักคนเลย”
“คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีในหอวีรบุรุษ น่าเสียดายที่พวกเขาไม่รู้ว่าเข็มทิศปรโลกอยู่ที่ใด ดังนั้นข้าจึงได้แต่กลับมาหาเจ้า” เฉินซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาไม่ใส่ใจว่าชายในชุดคลุมสีดำยังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้หรือไม่ และกล่าวตรง ๆ ว่า “ถ้าเจ้าไม่ให้คำอธิบายกับข้าในวันนี้ ข้ารับประกันได้เลยว่า ผลลัพธ์ที่เจ้าจะต้องเผชิญ ย่อมต้องน่ากลัวมากกว่าพวกเขาแน่นอน”
“สหายนักพรตเต๋า เจ้ากำลังกล่าวเรื่องอันใด? เหตุใดข้าถึงไม่เข้าใจ” โหวจ่านฝืนยิ้มในขณะที่เขากล่าว
“ที่นี่คือหอการค้าสัพพัญญู ข้าคิดว่าเจ้าคงกังวลมากว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นเช่นกันใช่หรือไม่?” ทันใดนั้น เฉินซีก็เริ่มหัวเราะ ก่อนที่จะปิดประตูอย่างช้า ๆ ด้วยการใช้หลังมือผลัก
หัวใจของโหวจ่านกระตุกวูบเมื่อเขาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินซี แต่เจ้าตัวก็ยังกล่าวว่า “ข้าเป็นผู้อาวุโสของหอการค้าสัพพัญญู ข้าจะทำร้ายคนของข้าเองได้อย่างไรกัน?”
“เราจะได้รู้ว่าเจ้ากลัวจริงหรือไม่ ด้วยการทดสอบ” รอยยิ้มของเฉินซีสดใสมากขึ้น
ในช่วงเวลาถัดมา เสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพชได้ดังขึ้นภายในห้อง และมันยังคงดำเนินต่อไปจนธูปทั้งก้านมอดดับลง เสียงร้องนั้นน่าสยดสยองอย่างยิ่ง จนอาจทำให้ผู้ได้ยินมีสีหน้าซีดเผือด
ทว่ากลับไม่ได้ยินเสียงใดแม้แต่น้อยจากนอกห้อง เพราะที่นี่คือหอการค้าสัพพัญญู ทุก ๆ ห้องล้วนวางค่ายข้อจำกัดไว้ ซึ่งแม้แต่ญาณเทวะอมตะก็ไม่มีทางแทรกแซงเข้าไปได้ แล้วนับประสาอะไรกับเสียงที่จะเล็ดลอดออกมาได้?
“ข้ายอมพูดแล้ว! ได้โปรด ข้าขอร้องให้เจ้าปล่อยข้าไป…” เสียงโหยหวนที่น่าสมเพชและสิ้นหวังของโหวจ่านดังขึ้นภายในห้อง จากนั้นเสียงทั้งหมดก็หยุดลงทันที
ร่างกายของโหวจ่านเต็มไปด้วยเลือด ในขณะที่เขาคุกเข่าบนพื้น เผยใบหน้าแหลกเหลว ผิวหนังไหม้เกรียม ซึ่งคนไม่มีใครจดจำคนคนนี้ได้อีกแล้วว่าที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่
“เจ้าควรกล่าวความจริง อย่าได้บังคับให้ข้าต้องค้นจากดวงวิญญาณของเจ้า เพราะความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวนั้น เป็นสิ่งที่เจ้าอาจรู้ดีกว่าข้า” เฉินซีนั่งบนเก้าอี้ และจ้องมองโหวจ่านเงียบ ๆ
ร่างกายของโหวจ่านสั่นสะท้าน ในขณะที่สายตาซึ่งจ้องมองไปยังเฉินซีได้เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวอย่างไม่อาจควบคุม
เขาในตอนนี้ไม่กล้าปกปิดอะไรอีกต่อไป และสารภาพโดยไม่เก็บสิ่งใดไว้
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากได้ยินสิ่งที่โหวจ่านกล่าวออกมา
แม้เขาจะพอคาดเดาได้ตั้งแต่ต้นว่า ผู้อาวุโสรองของตระกูลชุยจะใช้อุบายสกปรกสารพัด เพื่อหยุดชุยชิงหนิงไม่ให้เข้าสู่เมืองภูษาไหมม่วง แต่ชายหนุ่มก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าผู้อาวุโสรองของตระกูลชุย จะวางกองกำลังจำนวนมากไว้ในเมืองทั้งสามร้อยแปดสิบเมืองในภูมิภาคราชหกวิถี เนื่องจากกองกำลังนี้เกินขอบเขตของคำว่า ‘น่าสะพรึงกลัว’ แล้ว
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ในฐานะหนึ่งในขุมอำนาจที่น่าเกรงขามของยมโลก ทรัพยากรหรือกำลังพลของตระกูลชุยนั้นลึกล้ำและน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
“ส่วนเข็มทิศปรโลกก็ถูกราชาฉู่เจียงหยิบยืมไปใช้เป็นการส่วนตัว ซึ่งแม้แต่บรรพบุรุษของตระกูลชุยก็ไม่ทราบเรื่องนี้ และคนที่รับผิดชอบเรื่องนี้ก็คือข้า…” โหวจ่านถูกทรมานอย่างน่าสยดสยอง ก่อนหน้านี้ เฉินซีไม่มีความหวังใด ๆ ในการสืบหาที่อยู่ของเข็มทิศปรโลก แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าโหวจ่านจะทำให้เขาประหลาดใจได้
ด้วยความผันผวนของดวงวิญญาณของโหวจ่าน ทำให้ชายหนุ่มตระหนักได้ว่าโหวจ่านนั่นไม่ได้โกหก
ส่วนสาเหตุที่ราชาฉู่เจียงต้องการยืมเข็มทิศปรโลกจากชุยฟางจวินนั้นคาดเดาได้ง่ายมาก นั่นก็เป็นเพราะราชาฉู่เจียงได้รับคำแนะนำจากปิงซื่อเทียน ที่คิดพึ่งพาพลังของเข็มทิศปรโลก เพื่อนำชิงซิ่วอี้เข้าสู่ยมโลกในช่วงเวลาวิกฤต!
“ราชาฉู่เจียง!”
“ชุยฟางจวิน!”
“ดีมาก! พวกเจ้าสองคนกล้าที่จะแทรกแซงเรื่องระหว่างข้ากับปิงซื่อเทียน ดังนั้นก็จงรอรับผลกรรมที่บังอาจล่วงเกินข้า!”
หลังจากทราบเรื่องราวทั้งหมดนี้ สีหน้าของเฉินซีก็ยิ่งมืดมน อีกทั้งสายตายังทอแววน่ากลัวและเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“ข้าได้บอกเจ้าเกี่ยวกับทุกเรื่องที่ข้ารู้แล้ว ดังนั้นข้าขอร้องล่ะ ฆ่าข้าซะ! โปรดอย่าได้ทรมานข้าอีกต่อไปเลย!” โหวจ่านหวาดกลัวอย่างมากเมื่อเห็นสีหน้าของเฉินซีแปรเปลี่ยนไปมาอย่างไม่รู้จบ และเจ้าตัวก็ขอร้องให้ช่วยปลิดชีพเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ความตายรึ?” เฉินซีจ้องมองอีกฝ่ายสักครู่ ก่อนเขาจะตบไปที่โหวจ่านจนอีกฝ่ายกระเด็นออกไป หลังจากนั้นเฉินซีก็จับโหวจ่าน และโยนคนผู้นั้นเข้าไปในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์
ที่ชั้นหนึ่งของหอการค้าสัพพัญญู ชายชราที่อยู่หลังโต๊ะซึ่งรับผิดชอบในการรับแขกมีสีหน้านิ่งสงบ และเขายังคงตรวจสอบบัญชีอย่างพิถีพิถัน
เฉินซีเดินไปข้างหน้าและเคาะโต๊ะก่อนจะกล่าวว่า “ข้าขอแนะนำให้เจ้าไปดูห้องที่สามบนชั้นห้าตอนนี้เสียดีกว่า”
ทันทีที่กล่าวจบ ร่างของเฉินซีก็หายไป
ชายชราเงยหน้าขึ้นด้วยความไม่พอใจ และพึมพำพร้อมกับขมวดคิ้ว “ไร้สาระ จะมีผู้ใดในยมโลกนี้ที่กล้าสร้างปัญหาในหอการค้าสัพพัญญูของข้า?”
เขาก้มศีรษะลงและตั้งใจที่จะตรวจสอบบัญชีอีกครั้ง แต่ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ชั้นห้าด้วยการก้าวยาว ๆ
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวก็ดังขึ้นจากทางเดินในชั้นที่ห้า “อันใดนะ? วานรผีพันเนตรที่ตระกูลชุยรับเข้ามาหรือ? ไอ้สารเลว! พวกมันกล้ารังแกผู้อาวุโสของหอการค้าสัพพัญญูของข้า! เราปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้เป็นอันขาด!”
หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบ
…
เฉินซีเลือกที่จะเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ หลังจากกลับมาที่เรือนวิหคอมตะ
พิธีบวงสรวงบรรพบุรุษของตระกูลชุยจะมีขึ้นในสิบวัน แม้เวลาจะไม่นานนัก แต่มันก็ไม่สั้นเช่นกัน ในเวลานั้น เขาจะพาชุยชิงหนิงไปด้วย และหาทางเข้าไปในเมืองภูษาไหมม่วงให้จงได้!
แต่ก่อนอื่น ชายหนุ่มต้องตั้งใจทุ่มเทบ่มเพาะเพื่อพาตัวเองไปสู่จุดสูงสุดเสียก่อน
เพราะตระกูลชุยนั้นเป็นถ้ำเสือวังมังกร!
ด้วยความมั่นใจของเฉินซีที่มีต่อความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา ประกอบกับความช่วยเหลือจากหม้อใบจิ๋ว เขายังต้องเตรียมการให้สมบูรณ์อีกหน่อยจึงจะมั่นใจ!